มารดาปีศาจ ตอนที่ 25 หนี้ที่ติดค้างจ่ายคืนด้วยชีวิต
ตอนที่ 25 หนี้ที่ติดค้างจ่ายคืนด้วยชีวิต
จากในเต็นท์มีศีรษะของเด็กหนุ่มคนหนึ่งโผล่ออกมา เส้นผมของเขากึ่งยาวกึ่งสั้น เลยโคนผมมาครึ่งหนึ่งถูกย้อมเป็นสีแดง กำลังกัดก้นบุหรี่ไว้ลวกๆ เขามองออกมาข้างนอก
เห็นว่าเป็นเหยียนฮ่านชิง สีหน้าของเขาก็เผือดซีดลงเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยสงบลง “โอ้ ฉันก็คิดว่าจะเป็นใครซะอีก ใครจะคิดว่าแกจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้”
เหยียนฮ่านชิงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสะกดข่มเพลิงแค้นของตนเองลงไป ในพื้นที่นี้เป็นสถานที่พักอาศัยของมนุษย์ธรรมดา จะดีหรือเลวล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคลเพียงอย่างเดียว เพื่อให้มารดาได้พักผ่อนอาศัยอยู่ในบริเวณที่สุขสบายขึ้นมาเพียงนิดหน่อยนี้ ไม่อาจนับได้ว่าเขาต้องต่อสู้แย่งชิงกับผู้อื่นไปกี่ครั้งแล้ว จากนั้นเขาจึงเอาชนะและได้เต็นท์ที่พักสำหรับสองคนมาครอบครอง
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าสายตาเขานี้ ก็เป็นคนหนึ่งที่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขามาก่อน ซึ่งเคยได้ยินมาว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์กับผู้ใช้พลังพิเศษบางคน เหยียนฮ่านชิงไม่เคยคาดคิดเลยว่า หลังจากออกเดินทางไปเพียงไม่กี่วัน เด็กหนุ่มคนนี้จะมาขโมยที่พักอาศัยของเขา ซ้ำยังกล้าโยนมารดาของเขาออกมา
เหยียนฮ่านชิงไม่ประหลาดใจแล้ว เพราะ ‘เพื่อน’ ที่เขาฝากฝังให้ดูแลมารดาให้นั้นก็หลบซ่อนอยู่ภายในเต็นท์เช่นกัน เพื่อนคนนั้นมองมาด้วยสีหน้าซีดเผือด “นาย... นายกลับมาได้?”
ต่อให้ใช้ต้องหัวแม่เท้าคิดก็ยังคาดเดาได้ ว่าขณะนี้เป็นสถานการณ์เช่นไร เพราะคิดว่าเหยียนฮ่านชิงต้องตกตายอยู่ที่ข้างนอกนั่น พวกเขาจึงตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อครอบครองที่พักของเหยียนฮ่านชิง
ถึงอย่างไร ทีมสำรวจไม่น้อยก็มักจะว่าจ้างพลเรือนคนธรรมดาทั่วไปไว้ใช้งานจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เป็นเป้าปืนใหญ่คอยรับศึกทัพหน้า อัตราการเสียชีวิตจึงสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทว่าถึงแม้จะต้องเผชิญความเสี่ยงสูงเช่นนี้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เป็นจำนวนมากเช่นกันหากรอดมาได้ นี่ก็คือเหตุผลหลักที่ทำให้คนปกติธรรมดายังคงยินดีจะเข้าร่วมทีมสำรวจ
คนทั้งสองคิดคำนวณว่าเหยียนฮ่านชิงก็ต้องประสบชะตากรรมอันน่าอนาถ พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเหยียนฮ่านชิงจะกลับมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
“ออกมา!” สุ้มเสียงของเหยียนฮ่านชิงแหบแห้ง เขาขบกรามกรอด พายุพิโรธอันบ้าคลั่งปั่นป่วนหมุนวนอยู่ในดวงตา เด็กหนุ่มท่าทางเลินเล่อนั้นกลืนน้ำลายลงไปและลูบลำคอของตัวเอง “ที่นี่เป็นทรัพย์สินของฉันแล้วตอนนี้! แกกำลังบอกให้ใครออกไป”
เขายังพูดไม่ทันจบ เหยียนฮ่านชิงก็ลากเขาออกมาจากเต็นท์โดยการคว้าจับไปที่คอเสื้อ หลังจากเหวี่ยงเด็กหนุ่มคนนั้นออกไป สิ่งแรกที่เขาทำก็คือมองหายารักษาที่เก็บไว้ใต้เตียง
ยาทั้งหมดที่จ้าวฉิงมอบให้เขามาล้วนถูกซ่อนอยู่ใต้เตียง อย่างไรก็ตาม เพื่อนสารเลวผู้นั้นของเขาก็รู้เรื่องนี้ด้วย
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าโอกาสที่ยาเหล่านั้นจะยังอยู่มันเป็นไปได้ยากมาก แต่เหยียนฮ่านชิงก็ยังยึดกุมความหวังไว้ใยหนึ่ง
อย่างไรก็ดี หลังจากเลิกผ้าปูเตียงออกไปแล้ว เหยียนฮ่านชิงก็เห็นเพียงเตียงนอนที่ว่างเปล่า เขาหันไปหาเพื่อนคนนั้นด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “ยาของฉันอยู่ไหน”
“ใคร.... ใครจะไปรู้ล่ะ.....” คนผู้นั้นก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่ง ยามนั้นเขาละโมบโลภมากขึ้นมา จึงตัดสินใจแลกเปลี่ยนยากับเด็กหนุ่มคนนั้นเพื่อแลกกับแต้มสะสม และเขาก็ใช้แต้มสะสมเหล่านั้นแลกเอาอาหารและเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งมาแล้ว เป็นแบบนี้แล้วเขาจะไปหายามาคืนเหยียนฮ่านชิงได้จากที่ไหนกันเล่า
เหยียนฮ่านชิงยืดแขนออกไป และคว้าคอของเพื่อนผู้นั้นขึ้นมา เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนขึ้นมา เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉัน... ฉันเชื่อแก! ฉันพึ่งพาแก ให้แกดูแลแม่ของฉัน ฉันไม่คิดเลย... ไม่คิดเลยว่าแกมันจะเป็นไอ้คนตอแหลเนรคุณ!”
หลังจากตะโกนใส่หน้าคนผู้นั้น เหยียนฮ่านชิงก็โยนอีกฝ่ายไปด้านหนึ่ง กระแทกชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนนั้นซึ่งเพิ่งจะตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นให้นอนล้มลงไปอีกครั้ง
จ้าวฉิงโอบอุ้มเสี่ยวเปาจื่อไว้ในอ้อมแขนขณะที่เดินเข้าไปช่วยดูแลมารดาของเหยียนฮ่านชิง หลังจากมองเห็นเธอแล้ว จ้าวฉิงก็ส่ายศีรษะ หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง เธอก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบาดแผลและอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากมัน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เธอยังรับใช้กองทัพ เธอมักจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ หลังจากนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเกษียณออกจากกองทัพแล้ว เธอก็กลายเป็นเหมือนหมอภาคสนามไปได้ครึ่งตัวแล้ว
ตอนนี้เพียงปรายตามองแวบเดียว เธอก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามารดาของเหยียนฮ่านชิงนั้นเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แค่เพียงที่ผู้หญิงคนนี้อดทนกล้ำกลืนจนเหยียนฮ่านชิงกลับมาหาได้นั้นก็นับว่าเป็นปาฏิหารย์แล้ว
เหยียนฮ่านชิงเองก็ย่อมจะเห็นได้ถึงความจริงข้อนี้ จึงโอบกอดมารดาของเขาไว้แน่น ก้มศีรษะหลุบตา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงค่อยบังคับตัวเองให้เอ่ยถ้อยคำออกมาได้ ในขณะที่อารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างล้วนเต็มตื้นขึ้นมา
“ตอนที่ผมยังเด็ก พ่อของผมจากไปเร็ว เป็นแม่ที่เลี้ยงดูผมมาด้วยความยากลำบาก ตอนที่ผมสอบผ่านเข้าโรงเรียนทหารได้ แม่ของผมก็ต้องไปขอยืมเงินจากทุกหนทุกแห่ง ขายบ้านขายที่ดิน จึงค่อยเก็บรวบรวมเงินได้มากพอให้ใช้เป็นค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของผม ในวินาทีนั้น ผมก็สาบานกับตัวเองว่า ผมจะต้องทำให้แม่ของผมได้สัมผัสกับความสุขสบายให้จงได้... แต่ผมก็กลับทำมันไม่ได้....”
“หลังจากเกิดภัยพิบัติ ผมก็ไม่สามารถปกป้องแม่ได้ ถึงแม้ผมจะคุ้มครองไม่ให้แม่ถูกซอมบี้กัดได้ แต่เธอก็แทบจะต้องตายเพราะซอมบี้ตัวนั้น หลังจากผมเที่ยวมองหาไปทั่วทั้งฐาน ผมก็ไม่มีกำลังความสามารถจะทำให้เธอได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสมได้ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมยังทำให้เธอมีชีวิตดีๆ ที่สุขสบายไม่ได้เลยสักวันเดียว”
เสียงคร่ำครวญของเหยียนฮ่านชิงยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มารดาคนนั้นบีบมือบุตรชายของเธออย่างอ่อนแรง “อาชิงบ้านฉันกลับมาแล้วหรือ”
“แม่ เป็นผม เป็นผมเอง” เหยียนฮ่านชิงจ้องมองไปยังหญิงชราผู้หลงเหลือสตินึกคิดอยู่เพียงเล็กน้อย บีบมือเธอแน่นโดยไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย เพราะกังวลว่าจะทำให้มารดาผู้เฒ่าตกใจ เขาจึงลดเสียงต่ำลง “แม่ครับ แม่รู้สึกยังไงบ้าง”
“ยังดีอยู่...” มารดาของเหยียนฮ่านชิงยังคงส่งยิ้มให้เขาเช่นเดิมโดยไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ขณะที่กุมกระชับมือของเหยียนฮ่านชิงแน่นขึ้น “ในชีวิตของฉัน มีความเสียใจอยู่เพียงอย่างเดียว สิ่งเดียวที่ฉันเสียใจ ก็คือไม่อาจจะได้มองเห็นลูกชายแต่งภรรยา และให้กำเนิดหลานๆ ให้กับแม่.... อาชิง หลังจากนี้ ถ้าหากวันไหนลูกได้พบผู้หญิงที่ตัดสินใจจะใช้ทั้งชีวิตของเธอกับลูกเข้าแล้ว ลูกจะต้องดูแลเธอให้ดีๆ นะ.... ผู้หญิงน่ะ ถ้าหากพวกเธอตัดสินใจแต่งงานกับชายใดแล้ว นั่นก็คือยอมส่งมอบทั้งชีวิตของเธอให้กับคนผู้นั้น....”
“แม่ครับ ผมรู้ ผมเข้าใจ” เหยียนฮ่านชิงวางศีรษะของเขาลงในอ้อมกอดของมารดาผู้เฒ่า สะอึกสะอื้นรุนแรงกว่าเดิม หญิงชราลูบศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยน เอ่ยอย่างโศกเศร้าเสียใจ “ฉันยังปล่อยวางไม่ได้... ปล่อยวางไม่ได้....”
“คุณป้าคะ สบายใจได้ ในวันข้างหน้า ฉันจะเป็นคนดูแลเขาให้คุณเอง” จ้าวฉิงมิอาจไม่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไปได้ หญิงชราเหลือบมองมายังจ้าวฉิงแล้วแย้มยิ้ม ใบหน้าแก่เฒ่าสกปรกนั้นไม่แสดงถึงร่องรอยของความเสียใจใดๆ อีกแล้ว ค่อยๆ เกี่ยวนิ้วของเธอเข้ากับนิ้วก้อยของจ้าวฉิง คล้ายกับเธอจะยึดมั่นการเกี่ยวดึงครั้งนี้เป็นดั่งคำสัญญา ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะได้กระชับจับเกี่ยวกันอย่างแน่นหนา หญิงชราก็ผ่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา
ทั้งร่างกายของเหยียนฮ่านชิงสั่นสะท้านไปหมด ยังคงฝังศีรษะอยู่ในอ้อมอกมารดาของเขา ไม่มีสุ้มเสียงร่ำไห้ดังเล็ดรอดออกมาแม้แต่เสียงเดียว หลังที่ตั้งตรงอยู่เสมอของชายหนุ่มสะท้านหวั่นไหว แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางอ่อนแอของเขา
จ้าวฉิงไม่ได้เอ่ยคำใด เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนเขา หญิงสาวเพียงมองดูอย่างเงียบงันไปยังที่ด้านนอกประตูเต็นท์ ชายสองคนนั้นกำลังดิ้นรนคืบคลานจะลุกขึ้นยืน ต้องการจะกระโจนออกวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด
...ชีวิตก็ต้องแลกด้วยชีวิต โลกก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?