มารดาปีศาจ ตอนที่ 22 ดอกไม้กินคน
“ถ้าคุณอยากจะเข้ามานอนพัก ก็แค่บอกออกมาตรงๆ” มุมปากของจ้าวฉิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มล้อเลียน ยังคงจงใจกลั่นแกล้งเขา “ฉันก็ไม่มีอารมณ์จะนอนอยู่แล้วล่ะคืนนี้ งั้นเรามาคุยกันซักหน่อยเป็นไง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความรู้สึกกันบ้างก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวเลย”
“ผม.... ผมกลับไปนอนก่อนนะ” หลังจากเหยียนฮ่านชิงตะกุกตะกักออกมาจนจบคำ เขาก็วิ่งฉิวออกไปราวกับถูกไล่ล่าโดยตัวประหลาดอะไรสักอย่าง วูบเดียวก็หายลับตาไป
จ้าวฉิงหัวเราะเสียงใสออกมา โอบอุ้มเสี่ยวเปาจื่อกลับเข้าไปในห้องนอนของพวกเธอ ก่อนที่เธอจะได้ล้มตัวลงนอน กู้พ่านพ่านก็โผล่เข้ามาจากที่ไหนไม่รู้ หอบผ้าห่มมาหาจ้าวฉิง
ตอนนี้จ้าวฉิงเป็นหญิงสาวคนเดียวที่อยู่ใกล้ๆ กู้พ่านพ่านจึงรู้สึกว่าอยู่กับจ้าวฉิงให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเธอมากกว่า
กู้พ่านพ่านทำความสะอาดเตียงเล็กน้อย จากนั้นก็ใช้ผ้าห่มห่อตัวเองจนมิดชิดราวกับหลอด ในใจเธอยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ก็เลยพยายามหาหัวข้อมาพูดคุยไม่หยุดปาก
“พี่ชายกับฉันก็เลยคาดเดากันว่าเธอคนนั้นคงถูกซอมบี้กัดแบบเฉี่ยวๆ หรือไม่ก็โดนข่วนแบบถากๆ เข้าไป” กู้พ่านพ่านหดตัวเข้าไปในผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้นอีก เสียงพูดของเธอเบาหวิวจนแทบฟังไม่ได้ยิน
“คนๆ นั้นคงคาดหวังอย่างสุดหัวใจว่าจะมีเรื่องปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ที่รอยแผลเพียงเล็กๆ น้อยๆ จนแทบมองไม่เห็นอาจจะไม่ทำให้เธอกลายเป็นซอมบี้ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ดังนั้นเธอก็เลยปิดบังมันไว้ สุดท้ายแล้ว ก็กลับกลายเป็นว่าเธอฆ่าสามีของตัวเองจนตาย” กู้พ่านพ่านถอนหายใจ “สิ่งเดียวที่เหนือความคาดหมายของฉันอย่างแท้จริง นั่นก็คือเรื่องที่ว่ามีผู้รอดชีวิตอยู่มากมาย หนำซ้ำพวกเขาเหล่านั้นก็ยังเป็นมนุษย์กินคน”
กู้พ่านพ่านยังเอ่ยปากสนทนาซุบซิบต่อไป ตั้งแต่แรกจ้าวฉิงก็ไม่ได้ง่วงนอนสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ยามนี้จึงตื่นขึ้นมาเต็มตาไปโดยปริยาย เธอเพียงแต่หวังว่ากู้พ่านพ่านจะพูดพล่ามไปโดยไม่หยุดยั้งแล้วก็เหน็ดเหนื่อยจนหลับใหลไปเอง
สุดท้ายตอนที่ดึกดื่นมากแล้ว กู้พ่านพ่านก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วนอนหลับไปในที่สุด ยามนั้นจ้าวฉิงจึงได้พ่นลมหายใจออกมาได้อย่างผ่อนคลาย
ในรุ่งเช้าวันต่อมา กู้พ่านพ่านก็ตื่นนอนและพบว่าข้างกายเธอไม่มีใครอยู่เลย จ้าวฉิงพาเสี่ยวเปาจื่อออกไปล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว
กู้พ่านพ่านรีบลุกออกมาจากเตียง พับเก็บสิ่งของต่างๆ ของเธอ เตรียมตัวออกไปจากสถานที่ผีสางแห่งนี้ คราวนี้เมื่อพวกเขาจากไป ย่อมจะไม่พาสิ่งใดไปด้วยทั้งสิ้น รวมถึงมนุษย์ด้วย
ถึงอย่างไรนอกจากพวกเขาแล้ว ทุกคนที่นี่ก็เคยกินเนื้อมนุษย์มาก่อน ไม่มีใครอยากจะพามนุษย์ที่เคยกินเนื้อคนด้วยกันเองกลับไป ดังนั้นถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะจดจ้องมองพวกเขา รอคอยอย่างกระสับกระส่าย ทีมสำรวจทุกคนก็ยังกัดฟันแน่นแล้วเดินทางจากมาทันที
พวกเขาละทิ้งทุกสิ่งเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง เพียงมุ่งตรงต่อไปข้างหน้า เดินทางกลับไปตามเส้นทางของพวกเขา เมื่อถึงยามเที่ยงวัน จู่ๆ ก็มีหมอกควันและกระแสลมพัดพลิ้วหมุนวนอยู่รอบๆ ความเร็วในการขับเคลื่อนของพวกเขาจึงช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่สายรุ้งบนท้องฟ้าก็ถูกกลืนหายไป
“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร พวกเราก็ต้องผ่านไปให้ได้ ถ้าเรายังคงอยู่ในพื้นที่นี้ต่อ มันจะอันตรายเกินไป” จ้าวฉิงอาสารับบทบาทที่แสนท้าทายด้วยตัวเอง “ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบในการเคลียร์เส้นทางเอง”
หลังยุคภัยพิบัติวันสิ้นโลกเริ่มต้นขึ้น สภาพอากาศก็แปรปรวนอยู่ยิ่งอยู่ตลอดเวลา บางครั้งทั้งที่ท้องฟ้าเปิดกว้างแสงแดดสว่างจ้าอยู่แท้ๆ แต่ในชั่วอึดใจต่อมากลับกลายเป็นพายุฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตาไปแล้ว บางคราก็เป็นกระแสลมกับหมอกหนา ทั้งหมดนี้มักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ใช้ระยะเวลาเพียงครู่เดียว ชวนให้ผู้คนกระวนกระวาย
จ้าวฉิงยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ขณะที่แอบตรวจนับสิ่งของในมิติพิเศษของเธออย่างลับๆ เศษผลึกในมือของเธอมีอยู่ไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังมีผลึกที่เธอเพิ่งได้มาจากซากศพของซอมบี้หญิงคนนั้น หลังจากได้ดูดซับผลึกพิเศษเหล่านี้ จ้าวฉิงคาดการณ์ว่าเธอน่าจะเพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้นได้ในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ดี หากเธอจะเลื่อนระดับแล้วละก็ เธอควรกลับไปที่ฐานก่อนจึงน่าจะปลอดภัยที่สุด มิฉะนั้นก็ไม่รู้เลยว่าจะมีสิ่งใดที่เธอต้องประสบบ้างขณะที่กำลังเลื่อนระดับอยู่
ขณะนั้นเอง ยามที่เธอผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอกหนา จ้าวฉิงก็มองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยสายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภาพเงานั้นปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียว ในพริบตาก็หายวับไปอีก
เงาร่างนั้นดูคล้ายคลึงกับเอ้อร์ไต เจ้าซอมบี้ซื่อบื้อนั่น... จ้าวฉิงรู้สึกอยากจะออกไปจากรถอย่างแรงกล้า เธออยากไปจับร่างนั้นมาดูว่าเป็นเจ้าซื่อบื้อของเธอจริงหรือไม่
ทว่า นี่ย่อมไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาสำรวจตรวจตราด้วยความอยากรู้อยากเห็น หญิงสาวล้มเลิกความคิดที่อยากตรวจสอบทิ้งไป เธอยังขับรถไปตามเส้นทาง ถ้าหากนั่นเป็นเอ้อร์ไตของเธอจริงๆ อีกไม่ช้าก็เร็วจะต้องได้พบกันแน่
ขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จู่ๆ รถของจ้าวฉิงก็พลันทรุดเอียงไปข้างหนึ่งอย่างรุนแรง แม้ว่าจ้าวฉิงจะหมุนพวงมาลัยให้ล้อหักเลี้ยวไปอย่างเต็มกำลังแล้ว แต่พวกเขาก็ยังวิ่งชนเข้ากับก้อนหินบนเส้นทาง
หลังออกมาตรวจสอบดู เธอก็เห็นว่ายางล้อรถข้างหนึ่งระเบิดออก อันที่จริงมันถึงกับหลุดสะบั้นออกมา บนพื้นเต็มไปด้วยกองกระดูกและเศษซากอาวุธ ไม่แน่ชัดนักว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้ยางแตกเช่นนี้
จ้าวฉิงขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “มีใครซ่อมเจ้านี่ได้บ้าง”
เหยียนฮ่านชิงที่นั่งอยู่ด้านหลังพลันตอบคำอย่างเฉียบขาด “ผมเอง” หลังกล่าวตอบแล้ว เขาก็ยกยางอะไหล่ที่สำรองไว้หลังรถออกไปตรงที่จ้าวฉิงยืนอยู่
หลังจากจัดวางเครื่องมือที่เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่ได้สร้างเกราะกำบังใดๆ เหยียนฮ่านฃิงเริ่มซ่อมแซมรถทันที คนอื่นๆ ในกลุ่มก็ลงจากรถมามองดูอยู่ด้วย จ้าวฉิงยังคงขมวดคิ้วมุ่น ทั้งร่างยังตื่นตัวระมัดระวังป้องกันทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะลอบเข้ามาโจมตี
หญิงสาวแบกเสี่ยวเปาจื่อไว้บนหลังเหมือนทุกครั้ง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินสุ้มเสียงกรอบแกรบดังขึ้น เธอเตรียมพร้อมอย่างระแวดระวังทันที ตั้งท่าเตรียมรับมือกับซอมบี้ที่ใกล้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม ในชั่วขณะนั้น พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของจ้าวฉิงก็หลวมคลายและขยับเคลื่อนตัวออก ดอกไม้ดอกหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากหนแห่งใดก็ไม่ทราบที่ใต้เท้าของเธอ กลีบดอกที่งดงามละเอียดอ่อนเปิดอ้าออกในวินาทีนั้นเอง จ้าวฉิงที่กำลังตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก ดอกไม้งามประณีตดอกนี้สดสวยอย่างถึงที่สุด ทว่าหลังจากคลี่กลีบออกมาแล้ว ส่วนปากที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมก็เผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน สิ่งที่จ้าวฉิงคิดว่าเป็นซอมบี้นั้น อันที่จริงแล้วคือส่วนแขนของซอมบี้ครึ่งหนึ่งที่ติดอยู่กับคมเขี้ยวในปากของดอกไม้
ดอกไม้กินคน? จ้าวฉิงนิ่งอึ้งโง่งมไปทันที เธอเพียงเห็นว่าส่วนดอกอันใหญ่มหึมานั้นกางพรึ่บออกจนสุด แล้วเปิดปากอ้าทะยานเข้ามาหาเธอ คล้ายอยากจะกัดเข้าไปคำโต
จ้าวฉิงถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดอกไม้กินคนสะบัดก้านดอกเข้ามาหาเธอ กลีบดอกนั้นอ้าๆ หุบๆ ดูเหมือนว่ามันอยากจะกลืนกินจ้าวฉิงเข้าไปใจจะขาด แล้วก็ย่อยเธอไปพร้อมกับมือข้างที่คาอยู่ในปากของมัน
หญิงสาวถอยหลังกลับไปไม่หยุดยั้ง จ้าวฉิงกำลังเตรียมพร้อมเพื่อจู่โจมกลับไปในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังเธอก็ตอบสนองได้ในฉับพลัน เพื่อสนับสนุนจ้าวฉิง พลังพิเศษหลากหลายรูปแบบถูกกระตุ้นใช้ประเคนใส่เจ้าดอกไม้เต็มไปหมด ทว่านอกจากจะขัดขวางเจ้าดอกไม้ได้เพียงอึดใจสั้นๆ แล้ว มันก็ไม่มีสัญญาณของอาการบาดเจ็บใดๆ แสดงให้เห็นเลย
หลังหยิบเอามีดขึ้นสนิมขึ้นมาถือไว้เล่มหนึ่ง จ้าวฉิงก็สังเกตดูดอกไม้กินคนนี้อย่างระมัดระวัง กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พืชนั้นไม่อาจจะเคลื่อนที่ขยับกายวิ่งไปไหนต่อไหนได้ เจ้าดอกไม้นี้ก็เช่นกัน ทว่ามันกลับใช้ประโยชน์จากก้านดอกที่ยืดหยุ่นเป็นเถายาวนั้นในการไล่ตามจ้าวฉิง
หากว่าถอยออกไปจากบริเวณนี้ เจ้าดอกไม้กินคนนี่ก็ย่อมติดตามไล่ล่าพวกเขาต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากทีมสำรวจเลือกจะล่าถอย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหาเส้นทางอ้อมเพื่อเดินทางกลับไป
ถ้าทำเช่นนั้นแล้ว อันตรายที่ต้องเผชิญจะยิ่งหนักหนาสาหัสกว่านี้ และยิ่งทำให้การเดินทางกลับของพวกเขาล่าช้าลงไปอีกมากอย่างแน่นอน
การตัดสินใจครั้งนี้ช่างน่าปวดหัวอย่างแท้จริง