ตอนที่ 48 “ขโมยวิชา” อย่างบ้าคลั่ง [อ่านฟรี]
ตอนที่ 48 “ขโมยวิชา” อย่างบ้าคลั่ง
"ซู่เหอ ข้ารอเจ้ามานาน!" ทันใดนั้นหลินกู่เทียนก็ลุกขึ้นยืน ทั่วทั้งร่างกายเผยความกระสันอยากจะต่อสู้
เขาจ้องมองไปที่ร่างของซู่เหอ ดวงตาแฝงอารมณ์ตึงเครียดและตื่นเต้นซ้อนทับกัน ครั้งก่อน เขาพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของซู่เหออย่างน้าอดสู ผ่านไปหนึ่งปี เขาจึงอยากจะท้าประลองอีกครั้ง
"งานชุมนุมชาวยุทย์ยังไม่เริ่มอย่างเป็นทางการ" ซู่เหอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ ดวงตาคู่นั้นของเขาประหนึ่งผ่านประสบการณ์มาโชกโชนได้จ้องมองหลินกู่เทียน เขาส่ายหัวแล้วยิ้ม ก่อนจะพูดว่า "หลินกูเทียน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หรือจะพูดได้ว่า ปีนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้"
ซู่เหอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบราวกับว่าเขากำลังพูดความจริง แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ทั้งที่คำพูดประโยคนี้ของเขาเรียกได้ว่ามีความกำแหงและหยิ่งผยองอย่างยิ่งยวด หากแต่มิได้กระตุ้นความโกรธของผู้ใดเลย
แม้แต่หลินกู่เทียนที่พรวดพราดเข้ามาคนแรกยังสื่ออารมณ์ไม่พอใจเล็กน้อยอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้แสดงความโกรธแค้นหรือความรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูหมิ่น รวมถึงห้าผยองคนที่เหลือ อย่างลั่วเทียนหย่างแห่งตระกูลลั่ว เฉินอู๋เสียแห่งตระกูลเฉิน พวกเขาแค่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
เมื่อดูฉากนี้ ทำให้หลินหานแอบรู้สึกหวั่นใจ
ซู่เหอ ผู้เป็นอันดับหนึ่งของห้าผยองแห่งเมืองต้วนเทียน คำพูดของเขาถูกมองว่าเป็นดั่งกฎเหล็กของคนรุ่นเยาว์เกือบทุกคน
"หือ?"
ทว่า เมื่อสายตาของซู่เหอละจากร่างของหลินกู่เทียน แล้วมองร่างของคนผู้หนึ่งในตระกูลหลิน ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายขึ้น ร่างกายกระตุ้นจิตใจที่อยากจะต่อสู้
"คำพูดเมื่อครู่ข้าขอคืนคำ ปีนี้ บางทีอาจจะมีใครบางคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้" ซูเหอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงจิตแห่งการต่อสู้
"อะไรนะ ?!"
"ใคร? ใครที่ทำให้ซู่เหอเพ่งเล็งได้ขนาดนี้"
กลุ่มของผู้มีฝีมือรุ่นเยาว์มองตามสายตาของซู่เหอ พลันสายตาไปจับจ้องร่างของชายหนุ่มชุดสีเขียวที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนของตระกูลหลิน
"เป็นเขาเหรอ?" ลั่วชิงเฉิงที่อยู่ไม่ไกลนัก ดวงตาของนางเปล่งประกายสีสัน
“เจ้าหนูนี่ทำให้ซู่เหอสนใจได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?” สีหน้าของหลินกู่เทียนดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม
หลินหานกำลังดื่มชาอยู่ ตอนนี้สายตาของเขาก็เคลื่อนไหวมามองเช่นกัน เพราะคนที่ซู่เหอกำลังจ้องอยู่ในเวลานี้ก็คือตัวของเขาเอง
ดวงตาของหลินหานหรี่ลงเล็กน้อย เขาปลดปล่อยเนตรนภาแห่งนักพรตวิญญาณออกไปอย่างไม่แสดงอารมณ์ พยายามสอดแนมข้อมูลของซู่เหอ แต่ผลที่ได้ทำให้หลินหานตกใจ
ไม่ว่าจะส่องด้วยเนตรนภาซ้ำไปซ้ำมายังไง แต่จากที่มองซู่เหอก็ตรวจสอบได้แค่ว่าเขามีตบะของขอบเขตปรามาจารย์ยุทย์ครึ่งก้าว ส่วนลมปราณของเขา คุณสมบัติสสารถ่องแท้ในร่างกายของเขา เคล็ดวิชา การโคจรของจุดชีพจรและอื่นๆ ไม่สามารถตรวจสอบได้เลย
ราวกับมีหมอกมาห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้
ทั้งลึกลับและทรงพลัง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหานพบเจอคนที่เขาไม่สามารถมองทะลุด้วยเนตรนภาได้
"น่าสนใจ" หลินหานยิ้มเบา ๆ
ในเวลานี้เกิดเสียงพูดคุยดังระเบิดระเบ้อในตำหนัก
"ชายหนุ่มคนนี้คือใคร? ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อน"
"ดาวรุ่งดวงใหม่ของตระกูลหลิน เป็นอันดับสามของทำเนียบภายในแห่งตระกูลหลิน เจ้าไม่รู้จักเหรอ?"
"ข้าได้ยินมาบ้างว่าศิษย์อัจฉริยะคนหนึ่งจากทำเนียบภายนนอกของตระกูลแกร่งกล้าสามารถ ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มคนนี้หรือ? ดูเหมือนว่าจะชื่อว่าหลินหานใช่ไหม?"
น้ำเสียงพูดคุยกันของผู้คนดังขึ้นในทันใด
ซู่เหอคือใคร?
สามารถกล่าวได้ว่าซู่เหอเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในคนรุ่นใหม่ของเมืองต้วนเทียน ผู้ที่สามารถทำให้เขาเพ่งเล็งว่าสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ จะต้องมีคุณสมบัติที่สามารถทำให้เขาพูดอย่างนั้น
เมื่อมาถึงจุดนี้ ใครหลายคนต่างมองไปที่ใบหน้าไม่คุ้นเคยของหลินหาน พร้อมเผยความรู้สึกนับถือโดยไม่รู้ตัว
แต่หลินหรูเยียน หลินยู่และคนอื่นๆที่อยู่ด้านข้างหลินหานต่างมีสีหน้าเเปลกใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าหลินหานจะปกปิดตัวตนได้ลึกล้ำปานนี้ แค่มาที่นี่ครั้งแรก เขาก็ได้รับการชื่นชมจากซู่เหอซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของห้าผยองซะแล้ว
หลินกู่เทียนที่ยืนอยู่ที่นั่น ร่างกายของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ทั้งที่เขาเสนอตัวที่จะต่อสู้กับซู่เหอ แต่นอกจากซู่เหอไม่สนใจเขา แต่กลับเผยใจที่อยากจะต่อสู้ต่อบุคคลอื่นในตระกูลหลิน
สิ่งนี้ทำให้หลินกู่เทียนรู้สึกเสียหน้ามากในขณะนี้ เขามองหลินหานที่อยู่ด้านข้าง ลึกเข้าไปในดวงตาเผยให้เห็นความประสงค์ร้ายอยู่ลึกๆ
"เอาหล่ะ การประลองฝีมือในระดับของผยองแห่งนภา ยังต้องรอจนกว่าจะถึงตอนสุดท้าย" ลั่วชิงเฉิงลุกขึ้นยืนในทันใด
นางเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองต้วนเทียน ทั้งยังเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลลั่ว แถมยังเป็นหนึ่งในผ้าผยองแห่งนภา คำพูดของนางจึงมีพลังมาก
เมื่อคำพูดนี้จบลง ซู่เหอเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมที่จะต่อสู้กับหลินหานในตอนนี้ เขาจึงยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า "ดี งั้นเอาตามที่แม่นางชิงเฉิงว่าละกัน"
หลังจากที่พูดจบ เขาหันไปมองหลินหานอีกครั้งก่อนจะเดินไปที่ตำแหน่งที่นั่งศิษย์ของตระกูลซู่ทันที
"คราวนี้ คงมีอะไรสนุกๆให้ดู ... "
หลายคนดูเหมือนจะได้กลิ่นดินปืนที่หนาแน่น พวกเขาพลันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หลินหานถูกซู่เหอจับตามอง สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความสดใหม่
ห้าผยองแห่งเมืองต้วนเทียนครอบตำแหน่งมานานหลายปีแล้ว หรือในปีนี้จะมีปาฏิหาริย์ ผู้มาใหม่จะทำลายรูปแบบของห้าผยอง?
ต่อจากนั้น งานชุมนุมชาวยุทย์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เริ่มจากบรรดาศิษย์วัยเยาว์ที่มีตบะต่ำที่สุด พวกเขาสามารถมองหาจอมยุทย์ที่มีพลังในระดับเดียวกันเพื่อท้าประลองและเรียนรู้ฝีมือ หรืออาจขอเชิญผู้ที่มีฝีมือสูงกว่ามาชี้แนะ
ส่วนการประลองของห้าผยองต้องรอตอนท้ายสุด ดังนั้น ในช่วงแรกจึงมีแต่ศิษย์ที่ค่อนข้างอ่อนแอขึ้นมาแสดงฝีมือ
"สิ่งที่ข้าต้องการแสดงก็คือ'13กระบี่บรรพต'แห่งตระกูลเฉิน อันเป็นวิชายุทย์รูปแบบกระบี่ระดับสูง" ลูกศิษย์คนหนึ่งที่สวมชุดสีขาว มีตบะแห่งยุทย์ปัญจสวรรค์ เขาเดินไปบนสังเวียนต่อสู้ที่อยู่ในใจกลางตำหนัก แล้วดึงดาบสามฟุตที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝัก เริ่มบรรเลงเพลงกระบี่
เพลงกระบี่ดุดัน แสงจากการโจมตีด้วยกระบี่หมุนเป็นเกลียว
เมื่อโจมตีด้วย13กระบี่บรรพตจะสร้างความรู้สึกเสมือนเป็นภูเขาที่อ้างว้าง กระบี่จู่โจมออกไปทำให้อากาศเปลี่ยนแปลง
หลินหานนั่งอยู่ด้านล่างสังเวียนอย่างเงียบๆ ใช้เปลวไฟศักดิ์สิทธิย์สีทองแจกแจงวิชากระบี่ของชายหนุ่มชุดสีขาว เพื่อผสานเข้ากับดาบของเขาเอง
ด้วยเพราะหลินหานมีความสามารถในการวิเคระห์ที่แกร่งกล้า ทำให้งานชุมนุมชาวยุทย์ในครั้งนี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับเขาที่จะ "ขโมย" เรียนรู้วิชายุทย์แบบไร้ขีดจำกัด
คนอื่นอาจจะสามารถทำควาวเข้าใจวิชากระบี่นั้นได้อย่างคร่าวๆ แต่สำหรับหลินหาน มันคือการคัดลอกแล้วประทับวิชากระบี่ทั้งบทลงในเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีทอง เพื่อนำไปใช้เรียนรู้ได้โดยตรง แถมยังอาจจะเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น
ต่อจากนั้น บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ต่างขึ้นไปแสดงวิชาบนสังเวียน มีบางคนขอท้าให้ใครขึ้นมาวัดฝีมือด้วยกัน
ศิษย์ที่สามารถขึ้นไปบนสังเวียนได้ ล้วนเป็นอัจฉริยะในขุมอำนาจต่างๆ วิชายุทย์ของพวกเขาจึงเป็นแก่นแท้ของวิชายุทย์จากขุมอำนาจต่างๆ
ตลอดการร่วมงานครั้งนี้ หลินหานได้แต่มองดูอย่างเงียบๆโดยไม่แสดงอารมณ์ แต่ภายในลึกๆเขามีความสุขดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง ใช้เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีทองคัดลอกแล้วตราตรึงวิชายุทย์แต่ละบทอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเอาไว้ทำความเข้าใจ
"วิชาดัชนีดาวตก ... "
"เก้ากระบี่อัสนีบาส ... "
"13หอกทะลวงเมฆา ... "
......
วิชาฝ่ามือ วิชากำปั้น วิชาย่างกราย วิชากาย วิชาป้องกัน วิชามีด แม้กระทั่งศิลปะการต่อสู้ที่หาได้ยากล้วนถูกหลินหานคัดลอกได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะมีวิชายุทย์บางบทที่ไม่ต้องการ ทว่า หลินหานยังคงคัดลอกเอาไว้ทั้งหมด
เพราะวิชายุทย์มีการเชื่อมต่อกัน เมื่อใดที่สามารถเข้าใจวิชายุทย์หลายสิบบทนี้ได้ ก็จะสามารถซึมซับแก่นแท้ได้ในภายหลังแล้วผสานรวมกับวิชายุทย์ของตัวเอง สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มแสนยานุภาพของวิชายุทย์ตัวเอง และอาจจะทำให้คิดค้นวิชายุทย์บทใหม่ขึ้นมาได้
หลินหานสบายอุราอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ขึ้นสังเวียน หากแต่นั่งเงียบๆรับชมอยู่ด้านล่างสังเวียน ในช่วงเวลานี้ หลินยู่ หลินฉาย หลินเจียวและคนอื่นๆต่างก็ประลองกันอยู่บนสังเวียน
สำหรับพวกเขา งานชุมนุมชาวยุทย์นี้เป็นโอกาสที่ดีในการยกระดับพลังให้เพิ่มขึ้น พวกเขาจึงไม่คิดที่จะออมพลังของตัวเอง
ทุกครั้งที่สิ้นสุดการประลองฝีมือ ห้าผยองก็จะวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นเช่นกัน จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากจะได้รับประโยชน์อย่างมหันต์
เมื่อเวลาผ่านไป ศิษย์ที่ขึ้นสังเวียนก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
"ต่อไป เฉินหยู่แห่งตระกูลเฉิน"
ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ก้าวขึ้นไปบนสังเวียน
ใบหน้าของเขากักขฬะ เขายกมือคำนับรอบ ๆ จากนั้นเขามองไปทางหลินหานที่อยู่ด้านล่างของสังเวียน เปี่ยมจิตสังหารในสายตา ก่อนจะพูดอย่างดุเดือด "สหายหลิน ประมือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่"
……………………………………