เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0086
ตอนที่ 86 : พลังของวิญญาณยุทธ์ในตำนาน
ในช่วงเย็น ดวงตะวันตกดินงดงามทั้งเก้ากำลังเริ่มเข้าใกล้เส้นขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน คล้ายกับดวงตะวันเหล่านี้ก็คิดอยู่รับชมการประลองซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป
หลายคนตอนนี้รวมตัวกันที่ลานฝึกยุทธ์ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
ฉินหยุนและเจียงหลางเดินขึ้นสู่ลานประลองยุทธ์ขนาดใหญ่ตรงกลาง
นาฬิกาทรายยังคงมีทรายร่วงหล่นอยู่ ระยะเวลาพักยังไม่สิ้นสุด
ทว่า ใจของพวกเขาตอนนี้เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ พวกเขาแทบคันไม้คันมือจนอดกลั้นไม่ไหว
ฉินหยุนจำได้อย่างชัดเจน ครั้งเขาเพิ่งเข้าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงและปลุกวิญญาณยุทธ์ เป็นเจียงหลางที่อยู่ห้องถัดไป ได้สร้างความฮือฮาด้วยวิญญาณยุทธ์เสียงจนดึงดูดความสนใจของผู้คนจากเขาไปหมดสิ้น
เจียงหลางเองยังเป็นที่รู้จักในฐานะบุคคลซึ่งครอบครองวิญญาณยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเคยถูกปลุกขึ้นในสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ทั้งยังถูกมองเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางเด็กใหม่อัจฉริยะ
ตอนนี้ เขากำลังจะได้คว้าเอาอันดับหนึ่งของเจียงหลางตรงหน้ามาเป็นของตน!
เจียงหลางสวมคลุมสีน้ำเงินงดงามรัดเอาไว้ด้วยสายคาด มือของเขาประสานไว้ที่ด้านหลังขณะเชิดหน้าภูมิอกภูมิใจ มุมปากที่ยกขึ้นนี้เป็นการเหยียดหยันต่อผู้ที่อยู่ตรงหน้า
อย่างกะทันหัน เขากล่าวเสียงดังก้องต่อฉินหยุน “เจ้ามีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน โชคชะตาของเจ้าคือไร้อนาคต! ในช่วงหลายวันมานี้ เจ้าคงฝึกฝนอย่างยากลำบาก เจ้าควรทราบดีว่าตนนั้นติดอยู่ในอาการตีบตันเช่นไร และคงได้รู้ ว่าตัวเจ้านั้นเล็กจ้อยเพียงไรที่ไม่อาจก้าวขึ้นสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้!”
เมื่อเจียงหลางเห็นฉินหยุนเงียบไป เขาจึงแค่นเสียงกล่าวต่อ “หากเจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ต่อให้เจ้ามีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่ง เจ้าคงสามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้ไปนานแล้ว!”
“ด้วยอายุสิบห้าปี มีหลายผู้คนนักที่สามารถก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้ แม้วิชายุทธ์เจ้าดีเยี่ยม ทั้งยังสามารถสร้างยันต์ได้ แต่มันก็แค่นั้น!”
ทุกคนล้วนลอบพยักหน้าเงียบงัน เรื่องนี้เป็นความจริงยากยอมรับ
ฉินหยุนคือผู้ที่สามารถก้าวถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าได้เพราะทรัพยากรการฝึกฝนมหาศาล ในช่วงท้ายของภาคเรียนนี้ เมื่อไร้ซึ่งทรัพยากรการฝึกฝน ระดับการฝึกตนของเขาจึงหยุดนิ่งที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า
หลายคนต่างเชื่อว่า หากพวกเขามีทรัพยากรดังเช่นที่ฉินหยุนมี พวกเขาย่อมสามารถเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้ไปแล้ว
บรรดาผู้อาวุโสจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามต่างหัวเราะดังลั่นกล่าวคำ “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ต่อให้ฉินหยุนสร้างความประทับใจมากมายเพียงใด อย่างไรแล้วก็แค่เปลวเพลิงที่ลุกโชนในช่วงต้น แต่ในอนาคตหรือ... กับผู้ที่มีเพียงชีพจรวิญญาณหนึ่งตะวันไม่มีใครมีอนาคตแม้สักคน”
“ข้าใช้ชีวิตมานานหลายปียิ่ง ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่าผู้ที่มีชีพจรวิญญาณเพียงหนึ่งตะวันสามารถฝึกฝนสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด กระทั่งชีพจรวิญญาณสองตะวันก็ไม่เคยถึงระดับพลังนั้นมาก่อน”
ทุกคนต่างทราบว่าเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งนั้นหมายถึงอะไรในวิถียุทธ์ มันเป็นยากเย็นยิ่งนักที่พวกเขาจะสามารถเพิ่มระดับพลังได้ ด้วยเหตุนี้ ในช่วงท้าย ผลประโยชน์จึงตกเป็นของผู้ที่มีเส้นวิญญาณมากกว่า
ฉินหยุนเพียงเฉยเมย อารมณ์ของเขานั้นหาได้ผันแปรขณะยังคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้
เจียงหลางคล้ายยั่วยุฉินหยุนไม่สำเร็จ เขาจึงพยายามกล่าวต่อทั้งยังแค่นเสียงใส่ “ย้อนกลับไป นับเป็นการถูกต้องแล้วที่จักรวรรดิเทียนฉินถอดถอนเจ้าจากตำแหน่งรัชทายาท นี่เป็นเพราะเจ้าไม่คู่ควรเป็นรัชทายาทหรือจักรพรรดิในภายหน้า”
“เจ้าไม่แม้แต่สมควรจะได้รับวิญญาณยุทธ์ หากเจ้าสามารถส่งต่อวิญญาณยุทธ์ได้ เจ้าก็ควรมอบมันให้แก่องค์รัชทายาทเสียมากว่า เส้นวิญญาณของเจ้ากำลังสว่างไสวอยู่ภายในกายเขาเช่นกัน!”
ฉินหยุนพลันไหวหวั่นเล็กน้อยขณะกำหมัดแน่น เสียงเย็นชาเอ่ยคำ “ในเมื่อเจ้าภักดีต่อฉินเจิ้งเฟิง เจ้าก็ควรมอบวิญญาณยุทธ์ในตำนานแก่เขาแทนเสีย นี่ถึงเป็นการแสดงความภักดีของสุนัขที่มีต่อองค์ชาย ข้าไม่เคยคิดเลยว่าผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์ในตำนานจะปรารถนาเป็นสุนัขข้าทาสผู้อื่นเช่นนี้”
เจียงหลางพลันโกรธขึ้งเพราะคำพูดของฉินหยุน เขาถึงกับสบถออกด้วยความโกรธ “ฉินหยุน เจ้ายังโอหังได้ก็เพราะหยางฉีเย่ว์คุ้มหัวเจ้า ให้ข้าบอกเลยก็แล้วกัน ต่อให้วันนี้เจ้าหลบหนีพ้นจากเภทภัยไปได้ นางก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีกในอนาคต!”
“หลังภาคเรียนนี้จบลง นางจะเข้าตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม นางจะฝึกฝนร่วมกับคู่หมั้นของนาง เหอะ เหอะ เจ้าคงไม่รู้อะไร สามีในอนาคตของนางคือผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าทั้งที่อายุเพียงสามสิบ เพียงเขาดีดนิ้วเจ้าก็ตายอย่างน่าสังเวชแล้ว!”
ฉินหยุนขมวดคิ้วกำหมัดแน่น ความโกรธอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเริ่มสุมลุกโชนในหัวใจ ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกัน ภายในใจของเขาเริ่มปั่นป่วน
เจียงหลางหัวเราะออกเสียงดังลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า เทพธิดาในฝันของเจ้านั้นมีชะตาต้องเป็นภรรยาผู้อื่น น่าสังเวชนัก!”
เชี่ยวเย่ว์หลานเป็นเช่นนี้ หยางฉีเย่ว์ก็เป็นเช่นกัน!
ทุกคนล้วนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่คือโชคชะตา ไม่ว่าใครต่างก็สามารถบอกได้ว่าฉินหยุนมีความรู้สึกต่อหยางฉีเย่ว์เช่นไร!
ใบหน้าของหยางฉีเย่ว์ยะเยือก สายตาของนางราวคมดาบ มันจับจ้องไปยังลานประลองยุทธ์ไม่ไกลออกไป สายลมเริ่มหวีดหวิวคล้ายเสียงหัวเราะน่าสะพรึง มันปลดปล่อยออกซึ่งอากาศเย็นเยือกพัดผ่าน เป็นผลให้ทั่วทั้งลานฝึกยุทธ์แห่งนี้พลันกลายเป็นเย็นเยือก
เจตนาฆ่าฟันของนาง มันเปี่ยมด้วยความโกรธ มันแพร่กระจายออกหลายร้อยเมตรครอบคลุมลานประลองยุทธ์ เป็นผลให้เจียงหลางต้องหลั่งเหงื่อเย็นแทบท่วมแผ่นหลัง
เจียงหลางพลันชะงักปาก นี่คือผลลัพธ์ที่นางต้องการให้เป็น
ทั่วทั้งลานฝึกฝนเย็นเยือกและเงียบงัน เพียงเสียง ‘ซ่า ซ่า’ ของทรายในนาฬิกาที่สามารถได้ยินชัดเจน
ดวงตะวันทั้งเก้าใกล้ตกดิน มันเป็นความงดงามชวนเศร้า เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวบินเชื่องช้าผ่านไปยังเส้นขอบฟ้าที่งดงามและชวนเศร้าแห่งนั้น คล้ายว่ามันเผชิญความโดดเดี่ยวมานานแสนนาน
อากาศยะเยือกทั่วลานฝึกยุทธ์แห่งนี้ค่อยจางหาย หยางฉีเย่ว์ออกไปแล้ว นางไม่แม้กระทั่งรับชมฉินหยุนประลอง!
ฉินหยุนจ้องมองเจียงหลางมาตลอด สีหน้าของเขาสงบลงแล้ว เขากระทั่งสัมผัสได้ว่าหยางฉีเย่ว์ออกไปแล้ว บางทีการจากไปครั้งนี้คงหมายถึงการแยกจากของพวกเขาแล้ว!
เขาถอนหายใจอยู่ภายใน เขาทราบว่าเพื่อช่วยเหลือหยางฉีเย่ว์ปลดโซ่ตรวนแห่งชะตากรรม เขาต้องมีพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้!
เขาสะกดอารมณ์ภายในขณะตั้งสภาพจิตใจเสียใหม่ให้พร้อมสู้!
“เจ้าผิดหวังหรือ? ใช่สิ เจ้าควรเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วงั้นสินะ จะยังไงเจ้ามันก็แค่คนที่มีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่ง เจ้าช่างเป็นขยะไร้ค่านัก ไม่ว่าจะทั้งต่อเชี่ยวเย่ว์หลานหรือหยางฉีเย่ว์ เจ้าก็ล้วนไร้ค่า!” เจียงหลางเริ่มกล่าวเหยียดหยันต่อ
ทุกผู้คนล้วนเห็นอย่างชัดเจน ว่าฉินหยุนคล้ายคนสูญเสียสิ่งสำคัญไป
จักรพรรดินีก็พอใจไม่น้อย นางพยักหน้ารับขณะก้าวเดินเข้าหาตระกูลเจียง ใบหน้าของนางนั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม นี่นับเป็นการชื่นชมผ่านทางสายตาขณะนางหันมองทางเจียงหลาง
เมื่อนาฬิกาทรายร่วงหล่นจนหมด ผู้อำนวยการจึงประกาศเริ่มการประลองยุทธ์!
เจียงหลางหาได้เคลื่อนไหว กลับกัน เขาเพียงอ้าปากและคำราม!
คลื่นเสียงคมกริบแผ่กระจายออกทั่วทิศทางราวคลื่นโหมซัด หลายผู้คนถึงกับต้องปิดหูเอาไว้ พวกเขารู้สึกไม่สบายยิ่งต่อคลื่นเสียงนี้ที่แผ่ออก
กระทั่งว่าลานประลองยุทธ์อยู่ห่างไกลออกไป คลื่นกระแทกนี้กลับยังทำให้อวัยวะภายในพวกเขาสั่นเทิ้ม มันช่างชวนให้รู้สึกไม่ดีอย่างรุนแรง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้ที่อยู่บนลานประลองในระยะใกล้!
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” เจียงหลางหัวเราะดิบเถื่อน คลื่นเสียงที่รุนแรงนี้ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังสนั่น
บรรดานักเรียนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ล้วนตัวสั่นเพราะคลื่นเสียงนี้ มันกระทั่งทำเอาใบหน้าพวกเขาซีดเผือด บางคนกระทั่งมีเลือดไหลที่มุมปาก แต่ก็ยังโชคดีที่อาจารย์ของพวกเขาเข้าคุ้มกันเอาไว้ได้ทัน
กระทั่งจักรพรรดินีแหละผู้อื่นยังต้องอุดหูเอาไว้ ด้วยการใช้พลังปราณเพื่อขวางเสียงหัวเราะทะลุแก้วหูนี้ไม่ให้เข้าโสดประสาท
ยามเมื่อฝูงชนมองฉินหยุนซึ่งยืนนิ่งไม่ไหวติง พวกเขาล้วนรู้สึกเสียใจแทนอีกฝ่าย
พวกเขาเชื่ออย่างเต็มอกว่าฉินหยุนคงไร้ซึ่งความรู้สึกไปแล้วเพราะเผชิญคลื่นเสียงในระยะใกล้ เขาตอนนี้จึงยืนราวคนโง่งมผู้หนึ่งหาได้ป้องกันตัวแต่อย่างใด
บรรดานักเรียนที่ประลองกับเจียงหลางในศึกก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่อาจยืนหยัดรับคลื่นเสียงได้ตั้งแต่แรกเริ่ม ท้ายที่สุด พวกเขาโดนคลื่นเสียงทะลวงถึงสมองได้รับความเสียหาย กลับกลายเป็นคนบ้าผู้หนึ่งไป
และตอนนี้ คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นจากเสียงหัวเราะของเจียงหลางยิ่งมายิ่งดังขึ้น กับผู้คนรอบนอกลานประลองยุทธ์ยังแทบทนไม่ได้ กับฉินหยุนเล่าจะเป็นเช่นไร ใครกันจะต้านทานคลื่นเสียงนี้ไว้ได้!
ร่างของฉินหยุนสั่นไหวเล็กน้อยขณะได้รับผลจากคลื่นเสียง
“ข้าคือเด็กใหม่ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงที่เจิดจรัสที่สุด! เวลาของเจ้าหมดลงแล้ว!” เจียงหลางเคลื่อนไหวพุ่งออกด้านหน้าเตรียมปะทะ สีหน้านี้เปี่ยมด้วยความมั่นใจและเหี้ยมโหด คล้ายเขาคิดฉีกร่างของฉินหยุนออกเป็นชิ้น
อย่างกะทันหัน กล้ามเนื้อและกระดูกในร่างฉินหยุนเริ่มส่งเสียงลั่นออก มันมาพร้อมหมัดที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงแทบปกคลุมทั้งร่างกาย!
เสียงแตกหักปะทุดังสนั่น เปลวเพลิงสีทองม่วงและสายฟ้าสีทองม่วงพลันถูกปล่อยออกจากหมัดของเขานี้ที่สั่นเทิ้ม เมื่อพวกมันทั้งสองรวมกัน จึงก่อเกิดเป็นอสนีบาตอัคคีและอสรพิษสายฟ้า!
ตู้ม!
อสนีบาตอัคคีและอสรพิษสายฟ้าคำรามร้องขณะพุ่งเข้าใส่เจียงหลาง เทียบในพริบตา มันปะทะกับร่างนั้นและทะลวงผ่านร่าง!
ขณะที่อยู่ห่างจากฉินหยุนราวสองเมตร เขาต้องหยุด!
ถัดจากนั้น ออร่าสะกดข่มพลันระเบิดจากลานประลองยุทธ์ มันนำมาซึ่งคลื่นความร้อนมหาศาลคิดหลอมละลายสรรพสิ่ง เป็นผลให้ผู้ชมรู้สึกถึงความร้อนแรงจนทรมาน!
นี่คือกำลังภายใน!
ไม่มีใครไม่คุ้นชินกับออร่าของกำลังภายใน ทว่าสิ่งนี้มีเพียงผู้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกถึงสามารถปลดปล่อยออกมาได้!
เจียงหลางไม่คาดคิดว่าจะโดนโจมตีอย่างฉับพลัน เขาไม่มีแม้เวลาจะหลบ ทั้งนี้ร่างยังถูกทะลุทะลวง
ดวงตานั้นเบิกกว้างมองฉินหยุนที่ยังสงบ ความเดือดดาลไร้สิ้นสุดเริ่มทะลักในใจของเขา...
ตู้ม!
เจียงหลางร่วงหล่นจากลานประลองและสิ้นสติ
ดวงตะวันทั้งเก้าที่ขอบฟ้าลาลับ มันมาพร้อมกับสายลมเปล่าเปลี่ยวเย็นเยือก!
ฉินหยุนผู้ซึ่งได้รับชัยชนะมองไปยังบริเวณที่หยางฉีเย่ว์เคยอยู่จนกระทั่งถึงเมื่อสักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะมองที่ว่างเปล่าตรงนั้นอย่างเปล่าเปลี่ยวในหัวใจจนเกินพรรณนา
ชั่วขณะนี้ ทั้งร่างของเขาเปี่ยมด้วยออร่าแห่งความภาคภูมิ ราวกับเขาคือยอดฝีมือโดดเดี่ยวซึ่งยืนอยู่จุดสุดยอด... นี่คือพลังของราชัน!