เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0083
ตอนที่ 83 : การทดสอบปลายภาคเรียน
ผู้อื่นที่ได้รับเชิญจากตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามต่างหารือกันเรื่องวิชายุทธ์ที่จะได้รับสืบทอด
ฉินหยุนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย มันจะต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน
ผู้อำนวยการจางตามฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์กลับสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
ระหว่างทาง ฉินหยุนพลันเอ่ยถามขึ้น “ผู้อำนวยการขอรับ ข้าพบผลไม้ไร้สีจากเว่ยเสวียนคุน”
พอได้ยินดังนี้ ผู้อำนวยการจางพลันหยุดฝีเท้า
ติงเทียนฉวนทั้งสัตย์ซื่อและภักดี ทั้งยังมีความรับผิดชอบยิ่งกว่าผู้ใด ตอนนี้เขาและบุตรชายกลับถูกวางยาจนเกือบสิ้นชีวิต
ผู้อำนวยการจางถามด้วยน้ำเสียงมืดมน “การเรียนรู้หาประสบการณ์ครั้งล่าสุด เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและอาจารย์ติง? สาเหตุที่เขาได้รับบาดเจ็บต้องไม่ใช่ธรรมดา!”
“เขาและข้าพบวานรเงาวายุขอรับ มันเป็นสัตว์ปีศาจที่มีเจ้าของ ภายหลัง อาจารย์ติงสังหารมันได้” ฉินหยุนถอนหายใจและกล่าว “อาจารย์ติงกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาบอกต่อข้าว่าห้ามบอกผู้ใดโดยไม่ระวัง และยังมอบร่างของมันแก่ข้า”
“เจ้ายังมีปลอกคอของมันหรือไม่?” สีหน้าของผู้อำนวยการจางเย็นเยือกขณะความคิดหลายอย่างผ่านเข้ามา
ฉินหยุนนำเอาปลอกคอออกมาและส่งมอบให้
ผู้อำนวยการจางรับไปและพิจารณามัน ไม่ช้าเขาพลันเปี่ยมด้วยโทสะ “เป็นตาเฒ่าเว่ย! ตอนนี้กลับไปรักษาพิษให้อาจารย์ติงก่อน!”
หยางฉีเย่ว์เผยความกังวลขณะเอ่ยถาม “ผู้อำนวยการ ท่านอยู่ที่นี่ แล้วใครดูอาการพวกเขา?”
ผู้อำนวยการจางกล่าวตอบ “แน่นอนว่ามี เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงดูแลพวกเขาอยู่ อย่าได้กังวลไป!”
บุคคลที่แข็งที่สุดของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ย่อมต้องเป็นผู้อำนวยการใหญ่ที่น้อยครั้งจะปรากฏตัวแล้ว
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ปรากฏกายออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเพราะตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม
* * *
ยาถอนพิษต้องใช้เวลา หลังส่งมอบผลไม้ไร้สีแก่ผู้อำนวยการจาง ฉินหยุนจึงกลับไปยังบ้านพักในป่าไผ่พร้อมหยางฉีเย่ว์
“เจ้ายังมีศิลาวิญญาณลอยล่องสีทองม่วงในมือ แม้จะไม่มีประโยชน์ตอนนี้ แต่ก็อย่าได้คิดขายมัน” หยางฉีเย่ว์เอ่ยเตือนฉินหยุนจริงจัง
“เช่นกัน อย่าได้บอกผู้ใดถึงเรื่องที่พวกเราได้รับศิลาวิญญาณลอยล่อง ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ถึงได้มาที่นี่เวลานี้ และยังต้องมีสาเหตุว่าทำไมวัตถุล้ำค่าถึงหลุดรอดออกมาได้ ในระยะสั้น การมาถึงของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อโครงสร้างของพื้นที่หรือภูมิภาคอย่างแน่นอน”
หลังกล่าวจบคำ นางจึงเร่งรีบกลับเข้าห้องไปฝึกฝน
ฉินหยุนเองก็เร่งร้อนกลับห้องตัวเองขณะนำเอาก้อนกระดาษที่ตู้หย้าหยวนขว้างใส่เขาออกมา
แม้กระดาษจะยับ แต่ชัดเจนว่าทั้งสองแผ่นนี้เก่ายิ่ง
มันคล้ายมีคาถาอะไรเขียนเอาไว้ ทั้งสองแผ่นล้วนแปลกประหลาด
เขาพยายามนึกถึงทุกความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจพวกมันได้แม้พยายามเชื่อมโยงเพียงใด คล้ายไม่มีทางหาพบเจอได้ว่าคำเหล่านี้มีความหมายเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรซุกซ่อนเอาไว้!
“ฉ่วยอี้ฮวยบอกว่านี่คือวิชายุทธ์ที่หลันเซียวสร้างขึ้น และยังถูกใช้เพื่อหยอกล้อพวกเขา แต่ถึงกับต้องใช้เวลาเป็นพันปีกว่าจะรู้ตัว มันจะเป็นเพียงแค่หยอกล้อจริงหรือ?” ฉินหยุนทวนคาถาในกระดาษทั้งสองขณะคิ้วขมวดกันมุ่น “อ่านยังไงก็ไม่เห็นเข้าใจ!”
“มนต์ดวงดาว อารามตะวัน หัวใจเงียบสงบ จิตวิญญาณดวงดาวควบแน่น... นี่มันบ้าอะไรกัน?” เขาอ่านเพียงช่วงขึ้นต้น คิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตระหนักได้ว่าตนไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งหมดที่บอกได้คือมันเกี่ยวข้องกับดวงดาวและดวงตะวัน
“ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน ฝึกฝนก่อน!”
ฉินหยุนฝึกฝนวิถีหัวใจแล้ว เขายังขาดวิถีวิญญาณจากสามมหาวิถี เขาจำเป็นต้องฝึกทั้งหมดก่อนจึงสามารถทะลวงสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้
หนึ่งนั้นต้องใช้พลังจิตเพื่อควบแน่นเป็นวิถีวิญญาณ และมันก็ต้องใช้พลังจิตจำนวนมหาศาลเสียด้วย
เป็นเรื่องดีคือเขามีสร้อยข้อมือวิญญาณเทวะเก้าตะวัน เขาสามารถดูดซับพลังวิญญาณจากดวงตะวันทั้งเก้ามาขัดเกลาและฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็ว...
ผ่านไปสองวัน เขาเพียงรู้สึกว่าพลังจิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และยังห่างไกลนักจากการก่อเกิดซึ่งวิถีวิญญาณ
“ยิ่งสูงเพียงใด มันก็ยิ่งยากขึ้นไปเท่านั้น! ไม่แปลกใจเลยที่เด็กหนุ่มเด็กสาวซึ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกได้จะล้วนนับเป็นอัจฉริยะที่ล้ำค่า เพราะเพียงแค่เริ่มก้าวขึ้นไปมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว” ฉินหยุนถอนหายใจ
ยกตัวอย่างก็อาจารย์ ติงเทียนฉวนมีพลังเพียงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด ผู้ฝึกตนวัยกลางคนหลายคนส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ระดับที่เจ็ด!
ด้วยเหตุนี้ การฝึกฝนวิถีวรยุทธ์แห่งเต๋าจึงต้องใช้พรสวรรค์ระดับสูงล้ำยิ่ง
เหมือนอย่างหยางฉีเย่ว์ ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า
เชี่ยวเย่ว์หลานก็อยู่ระดับที่แปด ทางด้านฉินเจิ้งเฟิงก็ก้าวขึ้นสู่ระดับที่เจ็ดแล้ว อนาคตของพวกเขาล้วนเห็นกันได้อย่างชัดเจน
“อย่าเพิ่งเร่งใจร้อนไป ไม่งั้นจะกลายเป็นบ้าเสียเอง!”
ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนออกจากห้องเพื่อไปผ่อนคลาย เรื่องนี้เป็นหยางฉีเย่ว์บอกต่อเขาบ่อยครั้งให้กระทำ
หยางฉีเย่ว์ตอนนี้กำลังระบำดาบอยู่ในสวน นางสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน ด้วยขาเพรียวยาว กระโปรงที่ยาวพลิ้วไหวไปกับสายลม ท่วงท่าที่นางเคลื่อนไหว มันสามารถสะกดสายตาผู้คนได้ไม่ยาก
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินหยุนได้เห็นหยางฉีเย่ว์ระบำดาบ เขาถอนหายใจอดชื่นชมไม่ได้ขณะยืนรับชมอยู่ด้านข้าง
เขายิ้มแล้วค่อยกล่าว “อาจารย์ขอรับ วิชาดาบของอาจารย์ลื่นไหลมาก ดูเหมือนอาจารย์จะอารมณ์ดีมากด้วย!”
หยางฉีเย่ว์หยุดมือขณะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะหิน นางยิ้มจนแทบเห็นฟันขณะกล่าว “แน่นอน!”
หลังได้รับศิลาวิญญาณลอยล่องสีทองม่วง วิญญาณยุทธ์ของนางเลื่อนระดับขึ้นเป็นวิญญาณยุทธ์จันทราระดับทองม่วงแล้ว พละกำลังของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล จะมีอะไรทำให้นางอารมณ์เสียได้กัน?
“อาจารย์ ท่านพอเข้าใจมนต์พวกนี้หรือไม่?” ฉินหยุนนำกระดาษยับสองแผ่นออกมา
หยางฉีเย่ว์สำรวจมอง นางส่ายหน้าและกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ นี่เจ้าจริงจัง? จากที่เห็นเหมือนคำร่ายพวกนี้ไม่น่าเป็นของจริง นี่ต้องเป็นสิ่งที่ราชันยุทธ์หลันเซียวนึกสนุกละเล่นหยอกล้อเป็นแน่”
ฉินหยุนเม้มริมฝีปาก “ข้าก็ยังอยากลองอยู่ดี โอ้จริงด้วย อาจารย์ติงและบุตรชายดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
“พวกเขาดีขึ้นมาก! ทว่าพวกเขาไปจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงแล้ว และจะไม่กลับมาเป็นอาจารย์ที่นี่อีก นี่ก็เป็นเพื่อปกป้องบุตรชายของเขา” หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เจ้าคงไม่ได้เจอเขาอีก”
นางเพิ่งออกจากห้องเมื่อวาน หลายสิ่งอย่างเกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ไม่แปลกที่ฉินหยุนไม่ทราบ เขาทำได้เพียงฟังนางเล่า
ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามได้ร่วมมือกับสถาบันยุทธ์หลายแห่ง รวมถึงตระกูลผู้สูงศักดิ์ และบรรดาจักรวรรดิก็ด้วย
ผู้ใดที่มีระดับพลังเหนือกว่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด จะสามารถเข้าไปศึกษาในตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามได้
ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามยังคัดเลือกผู้เยาว์ที่มีระดับพลังเหนือล้ำ กล่าวว่าเชี่ยวเย่ว์หลานและฉินเจิ้งเฟิงต่างได้รับเทียบเชิญ
สีหน้าของหยางฉีเย่ว์แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “เจียงหลางมีวิญญาณยุทธ์ในตำนาน และได้ถูกเลือกโดยตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม เมื่อวันก่อนเขาเพิ่งได้รับเชิญให้ไปที่ตำหนัก”
“บุคคลจากตำหนักดวงดาวได้กล่าวว่า พวกเขาจะช่วยชี้แนะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เกิดพื้นฐานหนักแน่นขึ้น เมื่อใดที่ถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ด เขาค่อยเข้าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม”
ฉินหยุนรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าจะต้องกังวล เขายิ้มกล่าว “ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไรแทนเขาหรอกนะขอรับ แต่ไม่ใช่ว่าก็แค่วิญญาณยุทธ์ในตำนานหรอกหรือ?”
วิญญาณยุทธ์สั่นไหวของเขาก็นับเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน ทั้งยังเป็นระดับสีดำที่ลึกลับ!
หยางฉีเย่ว์กล่าว “ปัญหาก็คือ อีกหนึ่งเดือนจะมีทดสอบปลายภาคเรียน ด้วยพลังอำนาจของตำหนักดวงดาว พวกเขาจะสามารถส่งเสริมเจียงหลางให้ก้าวทะยานขึ้นอย่างมหาศาลได้ภายในหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้น เขาจะกลายเป็นคู่แข่งเจ้า!”
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ ฉินหยุนค่อยนึกได้ว่าตนเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว
เมื่อภาคการศึกษานี้สิ้นสุด ถึงตอนนั้น หยางฉีเย่ว์ต้องไปจากเขา พอคิดถึงเรื่องนี้ ภายในใจของเขาก็อดรู้สึกหดหู่และเปล่าเปลี่ยวไม่ได้
หยางฉีเย่ว์ยิ้มและกล่าว “หากเจ้าเลื่อนระดับสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก และผ่านบททดสอบของสถาบันซานเสวียน เจ้าจะได้เข้าร่วมสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน หากเจ้าไล่ตามทันถึงระดับพลังข้า พวกเราจะได้กลายเป็นศิษย์พี่และศิษย์น้องจากสำนักเดียวกัน!”