เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0081
ตอนที่ 81 : ราชันยุทธ์หลันเซียว
ขณะที่ผู้คนของจักรวรรดิเทียนชี่คิดทะยานเข้าหาด้วยโทสะ กลุ่มนักเรียนกว่าสิบคนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงพลันเร่งร้อนมาที่นี่ด้วยอาการแตกตื่น
หนึ่งในนักเรียนตะโกนดังขึ้น “ปรมาจารย์เว่ย แย่แล้วขอรับ! นายน้อยเว่ยถูกสัตว์ปีศาจสังหาร ศิลาวิญญาณว่างเปล่าก็โดนมันเอาไปแล้ว...”
พอพูดถึงตรงนี้ นักเรียนคนนั้นคล้ายตระหนักได้ว่าผิดท่า
สีหน้าของปรมาจารย์เว่ยนับว่าน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าบุตรชายของตนเสียชีวิต เขาแทบไม่เชื่อเรื่องราว แต่แล้วเมื่อได้ยินคำกล่าวว่าศิลาวิญญาณว่างเปล่าเป็นคำถัดมา มันทำเอาเขาหน้าแดงก่ำเพราะความโกรธ
ฝูงชนฮือฮา เมื่อครู่ปรมาจารย์เว่ยยังบอกว่าไม่เคยเห็นศิลาวิญญาณว่างเปล่ามาก่อน แต่แล้วนักเรียนตรงหน้าเหล่านี้กลับพูดถึงศิลาวิญญาณว่างเปล่าและเว่ยเสวียนคุน
หยางฉีเย่ว์แค่นเสียง “หว่านโปรยอะไรไว้จงเก็บเกี่ยว ศิลาวิญญาณว่างเปล่าเป็นสิ่งล้ำค่า มันเปี่ยมไปด้วยพลังมิติอันแรงกล้า ดังนั้นจึงล่อความสนใจของสัตว์ปีศาจได้อย่างดีเยี่ยม ในเมื่อเว่ยเสวียนคุนตายไปแล้ว ผู้ติดตามอย่างแม่ทัพหยวนหรือคนอื่นที่ไม่อยู่ที่นี่ ก็คงไม่รอดเช่นกันแล้ว สำหรับนักเรียนหลายสิบคนเหล่านี้ที่รอดมาจนกระทั่งถึงที่นี่ได้ นับว่าโชคดีใหญ่หลวงนัก!”
“แล้วหยุนเอ๋อละ?” พระยาเยี่ยนเอ่ยถามเสียงดังขณะเดินเข้ามา สีหน้าตอนนี้น่าเกลียดเหลือจะกล่าว
“เสียชีวิตขอรับ... พวกเขาล้วนตายกันทั้งสิ้น เป็นแม่ทัพหยวนเรียกพวกเราบอกให้ไปตรวจตราในป่า เพราะแบบนั้นพวกเราจึงไม่โดนพยัคฆ์ตัวนั้นโจมตี ตอนพวกเรากลับไปถึง มีแต่หยวนหยานหยิงที่ยังรอด นางนั่งกับพื้นร้องไห้เสียงดังไม่หยุด” ใบหน้าของนักเรียนที่เล่าเรื่องนี้เปี่ยมด้วยความหวาดกลัว
ปรมาจารย์เว่ยและพระยาเยี่ยนพลันโศกเศร้า
หยางฉีเย่ว์แค่นเสียงคล้ายพอใจไม่น้อยขณะกล่าวกับปรมาจารย์เว่ย “หากไม่ใช่เพราะเจ้าคิดฉกชิงศิลาวิญญาณว่างเปล่าและดึงข้าไปทางอื่น พวกมันคงไม่โดนสัตว์ปีศาจสังหารเช่นนี้ น่าเวทนานัก!”
“หุบปาก!” ปรมาจารย์เว่ยคำราม
“กระนั้น แม้เสียศิลาวิญญาณว่างเปล่าไป แต่ด้วยเพราะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเพราะมัน ข้าจึงค่อยรู้สึกว่ายุติธรรมอยู่บ้างแล้ว” หยางฉีเย่ว์หัวเราะอย่างไม่หวั่นเกรงปรมาจารย์เว่ยแต่อย่างใด
ปรมาจารย์เว่ยและพระยาเยี่ยน ทั้งสองโกรธขึ้ง ทว่าพวกเขาหาได้กล้ากล่าวอะไรตอบคำ ต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้แก่หยางฉีเย่ว์
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อำนวยการจางก็อยู่ที่นี่
ภายนอก ปรมาจารย์เว่ยเป็นสุภาพบุรุษ แต่สิ่งที่ผู้คนไม่รู้คือเขานั้นแท้จริงภายในเป็นเช่นไร
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเจ็บแค้นเพราะเงื้อมมือของปรมาจารย์เว่ย
หลังได้ทราบว่าเว่ยเสวียนคุนตายแล้ว พวกเขาที่ได้เห็นเองกับตาถึงกับรู้สึกยินดีโห่ร้องอยู่ภายใน!
เว่ยเสวียนคุนและเยี่ยนหยุนฝึกฝนวิชาปีศาจ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์เว่ยและพระยาเยี่ยนจะไม่ทราบ ฉินหยุนไม่หลงเหลือหลักฐานใดไว้ ทั้งยังไม่ได้กล่าวกับผู้อื่น จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองทำได้เพียงยอมถอยและยอมรับแล้ว
ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันตรงหน้าประตูหลักของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ทว่ามันเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ตำหนักดวงดาวยังมีสภาพสมบูรณ์ เขารู้สึกราวกับว่าต้องมีคนอยู่ภายในนั้น
ดังคาด ประตูหยกสีน้ำเงินงดงามค่อย ๆ บรรจงเปิดพร้อมกลุ่มคนที่เดินออกมา
พวกเขาเหล่านี้ล้วนสวมใส่ชุดสีน้ำเงินที่ปักลายเอาไว้งดงาม ชายวัยกลางคนที่นำมาสวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ม
เบื้องหลังชายวัยกลางคน มีเด็กหนุ่มสาวกว่าสิบคนเดินตามมา เสื้อผ้าพวกเขาเป็นสีน้ำเงินที่อ่อนกว่า
ชายวัยกลางคนผู้นี้ระดับการฝึกตนไม่สูงนัก เพียงแค่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดเท่านั้น
ทว่า เมื่อสายตานั้นสำรวจมองกลุ่มคน ดวงตากลับเปลี่ยมไปด้วยความเดียดฉันท์และโอหัง ราวกับมองต่ำต่อทุกผู้คนที่อยู่ที่นี่ แต่แล้ว เมื่อได้เห็นหยางฉีเย่ว์ ดวงตานั้นคล้ายเผยแสงประหลาดออกมา
“ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามของเรามาที่นี่ในเวลานี้ เพราะได้รับคำสั่งจากราชันยุทธ์หลันเซียวให้ส่งมอบวิชายุทธ์” ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเข้มเอ่ยเสียงดัง ท่าทีนี้ภูมิอกภูมิใจราวหน้าที่อันทรงเกียรติ
เขามองฝูงชนและกล่าว “ราชันยุทธ์หลันเซี่ยวถือกำเนิดขึ้นที่ชายแดนของแดนยุทธ์อ้างว้างทั้งเก้า ท่านได้เรียนรู้วิชายุทธ์ตั้งแต่เข้าสู่แดนยุทธ์อ้างว้าง ภายหลังท่านได้ส่งต่อวิชายุทธ์เพื่อก่อสร้างขึ้นเป็นสถาบันยุทธ์จำนวนหนึ่ง”
พอฉินหยุนได้ยินดังนี้ เขาลอบยินดี เขาไม่เคยคิดว่าตำนานจะเป็นความจริง!
ในตำนานโบราณ โลกอันไร้ที่สิ้นสุดของเก้าตะวันนี้ถูกแบ่งออกเป็นดินแดนอ้างว้างทั้งเก้า
แดนยุทธ์อ้างว้างถือว่ามีจำนวนมนุษย์มากที่สุด วิถียุทธ์ได้รับทำนุบำรุงโดยพลังวิญญาณของเก้าตะวันที่สาดส่องลงมา มันทำให้เกิดขึ้นเป็นสมุนไพรโอสถหายากล้ำค่ามากมาย ราวกับสวรรค์และผืนดินประทานสมบัติ
พวกเขาตอนนี้อยู่ที่บริเวณชายขอบของดินแดนอ้างว้างทั้งเก้า มันคือสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณบางเบาที่สุด ทรัพยากรก็นับได้ว่าหายาก ทั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะมีผู้ฝึกตนสามารถเข้าสู่ระดับขอบเขตวรยุทธ์เต๋า
ผู้อำนวยการจางแห่งสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงนำเอาตราหยกออกมาและก้าวเดินเข้าหา “ข้าคือรองผู้อำนวยการของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง”
รองผู้อำนวยการคนอื่นของสถาบันยุทธ์ต่างก็นำเอาตราหยกออกมาและก้าวเดิน
ผู้อำนวยการใหญ่ไม่อยู่ที่นี่ เขาคล้ายเป็นตัวตนอันลึกลับยิ่ง
“บรรดาผู้ที่เข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดจะสามารถเข้าสู่ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามเพื่อฝึกฝน อายุเท่าไหร่ล้วนไม่เกี่ยง!”
หลังชายวัยกลางคนกล่าวคำจบ เขาหันมองบรรดานักเรียนหนุ่มสาวและกล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าเป็นนักเรียนของสถาบันยุทธ์ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่พวกเจ้าได้เป็นประจักษ์พยานต่อการเคลื่อนคล้อยลงของตำหนักดวงดาว ด้วยเหตุนี้ ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามของพวกเราจะมอบเคล็ดวิชายุทธ์ระดับลึกล้ำขั้นต่ำให้!”
สิ่งแรกที่เขาทำยังนับเป็นการมอบเคล็ดวิชาระดับลึกล้ำขั้นต่ำ เรื่องนี้ทำเอานักเรียนทุกผู้คนในที่นี้ตื่นเต้นยินดี
ชายกลางคนในชุดสีน้ำเงินเข้มไหวมือขณะหนุ่มสาวข้างกายเขานำเอาตำราออกมา นักเรียนกว่าห้าสิบคนของสถาบันยุทธ์ล้วนได้รับกันทั้งสิ้น
นักเรียนเหล่านี้ล้วนมาจากสถาบันยุทธ์ระดับต้นอย่างสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ระดับการฝึกฝนของพวกเขาอย่างดีที่สุดก็คือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก
ฉินหยุนและกลุ่มนักเรียนก้าวเดินออก พวกเขาแทบยื่นคอออกไปรับชม ไม่ช้าจึงได้ตระหนักว่าตำราเหล่านี้ล้วนเหมือนกัน ทั้งยังใหม่มาก ราวกับเพิ่งถูกจัดทำขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
หลันเซียวถือกำเนิดขึ้นที่มุมขอบของดินแดนอ้างว้างทั้งเก้า ดังนั้นเขาจึงมีความรักและผูกพันต่อภูมิภาคนี้เป็นพิเศษ เขาได้พัฒนาวิชายุทธ์ขึ้นที่นี่อยู่หลายปี ไม่เช่นนั้นแล้ว ผู้คนในดินแดนแห่งนี้คงได้ร่วงหล่นถูกทิ้งอยู่เบื้องหลังของวิถียุทธ์กันไปแล้ว
คราครั้งนี้ ระดับของการส่งถ่ายวิชายุทธ์ต้องเหนือล้ำยิ่งกว่าครั้งอดีตที่เคยเป็น กระทั่งนำตำหนักดวงดาวลงมาด้วยเจตนา แต่แล้ว ทุกคนกลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายพร้อมคิดว่าต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝง
เมื่อบรรดาเด็กหนุ่มสาวได้แจกจ่ายเคล็ดวิชา พวกเขาได้สอบถามเรื่องเส้นวิญญาณและวิญญาณยุทธ์เพื่อแนะนำเคล็ดวิชายุทธ์ฝึกฝนที่แตกต่างกันออกไป
ศิษย์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามล้วนมีสีหน้าอหังการประดับใบหน้า คล้ายมองต่ำต่อทุกผู้คนของสถาบันยุทธ์ กระทั่งว่าระดับการฝึกฝนของพวกเขาไม่ได้สูงล้ำอะไรก็ตาม
“ชีพจรวิญญาณของเจ้าคือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามฉินหยุนด้วยน้ำเสียงจองหอง
“หนึ่งชีพจรวิญญาณ” ฉินหยุนตอบ
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจไปครู่ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออก เด็กหนุ่มผู้อื่นที่ติดตามมาล้วนหัวเราะออกเช่นเดียวกัน
ฉินหยุนขมวดคิ้ว เขาทราบว่าบุคคลเหล่านี้มองต่ำต่อเส้นวิญญาณหนึ่งตะวัน ดังนั้นเขาจึงหันกลับและคิดจากไป เขาไม่ได้ต้องการฝึกฝนเคล็ดวิชาพวกนี้แต่อย่างใดอยู่แล้ว
“เจ้ามีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน แต่แล้วยังคิดอยากเรียนรู้วิชายุทธ์ของตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามของเราหรือ? ช่างไม่ประมาณตน! แต่ในเมื่อเจ้าก็มาที่นี่ ข้าจะขอมอบเคล็ดวิชายุทธ์นี้ให้! เช่นนี้ นี่คือเคล็ดวิชาฝึกฝนจิตอันเลิศล้ำที่ข้า ตู้หย้าหยวนประทานแก่เจ้า!” เด็กหนุ่มเย้ยหยันทั้งแค่นเสียง เขานำเอากระดาษสองแผ่นที่ดูเก่าแก่และโบราณออกมา จากนั้นจึงขยำมันเป็นก้อนก่อนจะขว้างใส่หน้าของฉินหยุน
ฉินหยุนหันกลับคว้าก้อนกระดาษนั้นเอาไว้ คิ้วของเขาขมวดปรากฏเป็นร่องรอยความโกรธเคืองขณะกล่าว “ตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามถึงกับมีศิษย์เช่นเจ้า จึงทำให้ได้เห็นว่าระดับพลังของเจ้าก็แค่นี้!”
พอปรมาจารย์เว่ยและผู้อื่นได้เห็นเรื่องราว พวกเขาลอบยินดี
ฉินหยุนฉีกหน้าพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ยังคิดตั้งตัวต่อต้านกลุ่มคนของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม พวกเขาล้วนยินดีกับเรื่องน่าสนุกที่อาจได้รับชมยิ่ง
ต้วนเฉียนและผู้อำนวยการจางเร่งร้อนเดินเข้ามาเพื่อห้ามปรามความขัดแย้ง...
ความโกรธระบายเด่นชัดที่ใบหน้าของตู้หย้าหยวนขณะคำรามขึ้น “คนอย่างเจ้าที่ไม่รู้ว่าสถานที่อย่างตำหนักดวงดาววิญญาณสีครามคืออะไรอย่าได้บังอาจ!”
กล่าวจบคำ เขาพลันถ่มน้ำลายที่เสื้อฉินหยุน!
ฉินหยุนขมวดคิ้วและแค่นเสียง “นี่สินะศิษย์เปี่ยมล้นด้วยคุณภาพของตำหนักดวงดาววิญญาณสีคราม ในที่สุดข้าก็ได้รู้!”
กล่าวคำจบเขาถอดเสื้อของตนออก รอยน้ำลายนี้เด่นชัด เขาเลือกที่ขว้างมันทิ้งกับพื้นพร้อมเผยสีหน้ารังเกียจเหลือคนา “ช่างเป็นเสนียดกับเสื้อของข้านัก!”