92 ผู้รอดชีวิตที่น่าเป็นห่วง
92 ผู้รอดชีวิตที่น่าเป็นห่วง
หวังเย้ากินขนมและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ครอบครัวของเขาจึงหยุดพูดเรื่องของถงเวยไป มื้ออาหารของวันก่อนปีใหม่นั้นจะเป็นวันที่คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า และทานเกี๊ยวด้วยกัน
หวังเย้านอนค้างคืนที่บ้าน ซึ่งเขาไม่ได้กลับมานอนนานมากแล้ว วันต่อมา หวังเย้าทักทายสวัสดีปีใหม่พ่อแม่และพี่สาวของเขา รวมทั้งเพื่อนบ้านและญาติๆที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันด้วย หลังจากที่เขาได้สวัสดีปีใหม่กับทุกคนเรียบร้อยก็เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เขาได้นำตะกร้าที่ใส่เนื้อปรุงสุกและเกี๊ยวมาด้วย
ทั้งซานเซียนและต้าเซี่ยต่างก็ดีใจเมื่อเห็นหวังเย้า ซานเซียนส่ายหางและวิ่งเข้าไปหาหวังเย้า ในขณะที่ต้าเซี่ยนั้นกระพือปีกของมันอย่างดีใจ
“พวกนายรู้สินะว่าฉันเอาของกินมาให้ ใช่ไหม?” หวังเย้านำของกินใส่ลงไปในจานข้าวของพวกมัน
“อะนี่ ฉันเอาเนื้อกับเกี๊ยวมาให้ ฉันไม่ได้เอากระเทียมกับไวน์มาให้ เพราะเดาว่าพวกนายคงไม่ชอบมัน” หวังเย้ายิ้ม
หลังจากที่หวังเย้าเตรียมอาหารให้ซานเซียนและต้าเซี่ยเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปรดน้ำสมุนไพรรากแล้วจึงกลับบ้าน
หวังเย้าไม่มีอะไรให้ทำมากนักเมื่ออยู่ที่บ้าน เขานอนอยู่บนเตียงและดูทีวี แล้วไปพูดคุยกับครอบครัวและเล่นอินเตอร์เนตผ่านมือถือของเขา ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แต่หวังเย้าก็ไม่ได้กลับไปที่เนินเขาหนานชาน
วันต่อมา ตามธรรมเนียมของหมู่บ้าน หวังเย้าจึงได้ไปเคารพสุสานของบรรพบุรุษ ปู่และย่าของหว้งเย้าต่างก็เสียชีวิตแล้วทั้งคู่และถูกฝังเอาไว้บนเนินเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน พี่น้องของพ่อของหวังเย้านั้นได้กลับมาที่หมู่บ้านพร้อมกับครอบครัวของพวกเขา ในวันที่สองของปีใหม่เพื่อเคารพบรรพบุรุษและทานอาหารกลางวันที่บ้านของหวังเย้า
บนเนินเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน มีหลุมศพอยู่สองหลุ่มซึ่งเป็นของปู่ย่าของหวังเย้า การเคารพศพนั้นคือการ เผากระดาษ และจุดประทัด หวังเย้าและครอบครัวของเขาอวยพรให้ปู่ย่าที่อยู่บนสวรรค์มีความสุขและคอยปกปักรักษาสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่
คล้ายกับพลังที่คอยค้ำจุนและมอบความหวังแก่ทุกคน
หลังจากที่เคารพบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างรวมตัวกันที่บ้านของหวังเย้าเพื่อทานอาหารกลางวันด้วยกัน
พ่อของหวังเย้านั้นมีพี่น้องอยู่สามคน หนึ่งในนั้นได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อหลายปีก่อน และยังเสียชีวิตก่อนหน้าปู่และย่าของเขาอีกด้วย มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ลูกต้องมาจากไปก่อนพ่อแม่ของตัวเอง นี่เป็นสาเหตุที่ปู่และย่าของเขาได้จากไปหลังจากนั้นไม่กี่ปี ภรรยาของลุงที่เสียชีวิตไปแล้วของหวังเย้านั้นได้แต่งงานใหม่และไม่ได้ติดต่อครอบครัวของหวังเย้าอีกเลย ลูกชายของพวกเขามักจะกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อเยี่ยมหลุมศพพ่อของเขา แต่สองปีมานี่เขาไม่ได้กลับมาเลย
หวังเย้าจำได้ว่า พ่อของเขาเคยโทรคุยกับหลานชายคนนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันมากมายสักเท่าไหร่
“เขาไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวของเราแล้ว” แม่ของเขาพูด
เมื่อพวกเขายังเด็ก หวังเย้าและลูกพี่ลูกน้องของเขามักจะเล่นด้วยกันเสมอ ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นเด็กที่เงียบและหัวแข็ง ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอลูกพี่ลูกน้องก็คือปีใหม่จีนเมื่อสามปีก่อน แล้วพวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนเคย
ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากพวกเขาได้เจอกันอีกครั้งในอนาคต
พี่น้องอีกสองคนของพ่อนั้นต่างก็ชื่นชอบการดื่มไวน์ โชคดีที่หวังเย้ามีไวน์ดีดีเก็บไว้อยู่ ซึ่งเป็นไวน์ที่ได้รับจากเทียนหยวนถู เหอฉีเชิงและหวังหมิงเปา
พ่อของหวังเย้าเติมไวน์ใส่ลงไปในแก้วของน้องชายทั้งสอง พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“ฉันว่าฉันจะลาออกจากงานแล้วเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง” น้องชายคนเล็กสุดพูด
น้องชายคนเล็กของพ่อนั้นทำงานอยู่ในบริษัทผลิตเครื่องจักรทางการเกษตร ในปีแรกๆงานในบริษัทนั้นค่อนข้างหนัก บริษัทได้เข้าสู่ตลาดหุ้นและอาของเขาได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทและได้เงินมาจำนวนมาก ตอนนี้เขาจึงอยากที่จะเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง
“ฉันว่าการทำงานอยู่ในบริษัทต่อไปนั้นมันมีความเสี่ยงน้อยกว่านะ” พ่อของหวังเย้าพูดหลังจากที่คิดแล้ว
“ค่าแรงที่ได้ก็แค่สองสามพันต่อเดือน มันไม่พอน่ะสิ” น้องชายคนสุดท้องพูด และได้หยิบบุหรี่หยูชี่ออกมาจากกระเป๋าของเขา
สามพันต่อเดือนยังไงก็ไม่พอถ้าสูบบุหรี่หยูชี่แบบนี้ หวังเย้าคิด
“ฉันอยากจะเปิดร้านขายบาบีคิว ฉันได้เลือกที่ตั้งร้านเอาไว้แล้วด้วย” น้องชายคนเล็กพูด
ร้านขายบาบีคิวนั้นได้กำไรสูงมาก เนื้อที่ร้านบาบีคิวขายนั้นมีราคาแพงจนน่าตกใจ แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีความสามารถที่จะหาเงินจากการทำธุรกิจได้ทุกคน
คนที่จะทำธุรกิจนั้นต้องทำงานหนัก ยืดหยุ่นได้ มีความคิดสร้างสรรค์และไม่สนใจกำไรเล็กๆน้อยๆเพื่อให้กิจการเป็นไปได้ด้วยดี
“ฉันไม่คิดว่าคุณควรจะลาออกนะคะ” ภรรยาของน้องชายคนเล็กพูด
“เธอจะไปรู้เรื่องอะไร!” ลุงของเขาตะคอก
“นายต้องคิดให้ดีดีนะ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำธุรกิจ” หวังเฟิงฮวาพูด
“ฉันได้หาข้อมูลมาหมดแล้ว ฉันได้ยินมาว่าการเปิดร้านบาบีคิวนั้นใช้เงินลงทุนไม่มาก เพราะไม่ใช่ร้านหรูอะไร ฉันแค่ต้องหาที่ตั้งร้านดีดีและมั่นใจว่าอาหารที่เอามาขายนั้นมีคุณภาพดี ฉันได้ยินมาว่าแค่ปีเดียวก็ได้เงินเป็นแสนๆแล้ว!” อาของหวังเย้าพูดอย่างตื่นเต้น
หวังเฟิงฮวาถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
อาอีกคนของหวังเย้านั้นไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาใส่แว่นตาและดูเรียบร้อย เขาอายุ40ในปีนี้และบนหัวก็เหลือผมอยู่ไม่มากนัก เขายังไม่มีลูก ถึงแม้ว่าเขาและภรรยาอยากจะมีลูกมาก พวกเขาไปพบหมอมาหลายครั้งแล้ว แต่ภรรยาของเขาก็ไม่ท้องสักที
อาทั้งสองของหวังเย้านั้นดื่มไวน์เข้าไปเยอะมากตอนที่กำลังทานอาหารกลางวันกันอยู่ พวกเขาทั้งสองจึงดูเมาเล็กน้อย
“ฉันว่าพวกนายควรจะทิ้งรถเอาไว้ที่นี่แล้วให้เย้าขับรถไปส่งแทนนะ” หวังเฟิงฮวาพูด
“ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นอะไร!” อาทั้งสองของหวังเย้าพูด
พวกเขายืนยันที่จะขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง อาคนรองของเขานั้นขี่มอเตอร์ไซด์และอาคนเล็กนั้นขับรถตู้ พวกเขาขับรถออกไปจากบ้านของหวังเย้า แต่ไม่มีใครที่ขับรถได้ตรงสักคน
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลย!” จางซิวหยิงพูด
“เย้า ขับรถตามไปดูพวกเขาที ดูให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เกิดอุบัติเหตุหรือว่าไปชนใครเข้า” หวังเฟิงฮวาพูด
“ได้ครับ” หวังเย้าขับตามรถของอาไป พวกเขานั้นอาศัยอยู่คนละที่กัน
อาทั้งสองคนของหวังเย้านั้นขับรถเร็วและอันตรายมาก ทำให้หวังเย้ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับพวกเขา มันคงจะกลายเป็นหายนะทันทีถ้าเกิดว่าคนใดคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุ เพราะพวกเขามีผู้โดยสารอยู่ในรถด้วย โชคดีที่ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น อาทั้งสองของเขากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย หวังเย้าจึงกลับไปที่บ้านของเขา
“พวกเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หวังเฟิงฮวาถามทันทีที่เห็นหวังเย้า เขาค่อนข้างที่จะเป็นห่วงน้องชายของเขามาก
“ครับ พวกเขาสบายดี ไม่ต้องห่วงครับ!” หวังเย้ายิ้ม เขารู้ว่าพ่อของเขานั้นเป็นห่วงอาของเขามาก
“ดีจริงๆ!” หวังเฟิงฮวาพูด