มารดาปีศาจ ตอนที่ 16 การออกสำรวจครั้งแรก
ในช่วงเวลาสองวัน จ้าวฉิงก็จัดเตรียมสิ่งของต่างๆ เสร็จเรียบร้อย หญิงสาวติดต่อหากลุ่มผู้ใช้พลังพิเศษที่จัดตั้งทีมสำรวจ จ้าวฉิงเป็นผู้ใช้พลังธาตุไม้ ถึงแม้ว่าจะอยู่เพียงระดับหนึ่ง แต่ผู้ใช้พลังพิเศษธาตุไม้นั้นค่อนข้างจะเป็นที่นิยมอยู่มาก
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จ้าวฉิงก็หากลุ่มที่ยอมรับให้เธอเข้าร่วมได้แล้ว ทีมสำรวจส่วนใหญ่มักจะผสมผสานทั้งผู้มีพลังพิเศษและคนธรรมดาอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรผู้ใช้พลังพิเศษก็ค่อนข้างหายาก หากสามารถจัดตั้งกลุ่มที่มีเฉพาะผู้ใช้พลังพิเศษขึ้นมาได้ กลุ่มนั้นย่อมต้องเป็นทีมสำรวจระดับสูงของฐานผู้รอดชีวิตอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม กองกำลังเหล่านั้นมักจะไม่ยอมรับคนใหม่เข้าไปง่ายๆ
กลุ่มที่จ้าวฉิงเข้าร่วมนี้มีสมาชิกอยู่ไม่มากนัก ในกลุ่มมีผู้ใช้พลังพิเศษอยู่สามคน ประกอบด้วยพี่น้องคู่หนึ่ง เป็นพี่ชายน้องสาว พี่ชายนั้นเงียบขรึมและพูดน้อย รูปร่างสูงโปร่ง ส่วนต่างๆ บนใบหน้าดูละเอียดอ่อนชวนมอง แย่หน่อยตรงที่คนผู้นี้มีอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต[1]
ส่วนน้องสาวตัวน้อยนั้นเป็นคนที่คึกคักเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มีดวงตารูปเมล็ดอัลมอนด์เรียวรีกลมโตและริมฝีปากสีแดงสดราวกับลูกอิงเถา (เชอร์รี่) เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งสะสวยและน่ารัก สวมชุดโชว์สะดือ ใส่กางเกงแบบมีสายเอี๊ยมโยงบ่า เธอเอาแต่พูดคุยไม่หยุดปาก เพราะเหตุนี้ จ้าวฉิงจึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเหตุใดพี่ชายนั้นถึงมีชื่อเรียกว่า ‘กู้ชวน’(พิจารณาอย่างเรียบเฉย) และน้องสาวนั้นมีชื่อเรียกว่า ‘กู้พ่านพ่าน’ (พิจารณาอย่างคาดหวังมุ่งมาด) [2]
ผู้มีพลังพิเศษอีกคนที่เหลือมีชื่อเรียกว่า ‘อาถู’ รูปร่างคล้ายต้นเสาอ้วนกลม เป็นผู้ใช้ธาตุดิน นอกจากผู้มีพลังพิเศษทั้งสามคน ยังมีคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวคู่หนึ่ง รวมกับพวกจ้าวฉิงแล้ว จะกลายเป็นทั้งหมด 7 คน
เมื่อมาถึงยังจุดนัดพบ คนอื่นๆ ก็รออยู่ที่นั่นกันครบแล้ว เมื่อหญิงสาวที่มากับคู่รักนั้นเห็นจ้าวฉิง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปขณะที่พูดพึมพำกับตัวเอง “จะออกไปสำรวจแต่กลับพาเด็กทารกมาด้วย นี่ไม่ใช่วันหยุดพักร้อนซะหน่อย.... ดูเหมือนจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วสินะ!”
ฝ่ายสามีดึงแขนเสื้อภรรยาครั้งหนึ่ง แย้มยิ้มเอ่ยคำ “ต้าเหริน (ท่านผู้ยิ่งใหญ่) โปรดอย่าโกรธเคือง คำพูดของภรรยาผมก็มักจะเถรตรงเกินไปบ้างอย่างนี้เอง...”
จ้าวฉิงสั่นศีรษะ “ที่ในฐานฉันไม่มีคนรู้จักที่สนิทสนมอยู่เลย และลูกรักของฉันก็ยังเด็กมาก ฉันไม่วางใจที่จะปล่อยเขาไว้กับใครทั้งนั้น ก็เลยต้องพาเขามาด้วย แต่ไม่ต้องกังวล ลูกของฉันก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเช่นกัน ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะใช้งานได้อย่างจำกัด แต่เขาก็ยังทำอะไรได้อยู่บ้าง พวกเราจะไม่เป็นตัวถ่วงพวกคุณอย่างแน่นอน”
ทันใดที่พวกเขาได้ยินว่าเจ้าซาลาเปาขาวอวบตัวน้อยนี้ก็เป็นผู้มีพลังพิเศษด้วย ท่าทางที่คู่สามีภรรยาแสดงออกมาก็เปลี่ยนแปลงไปทันที และพวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีกเลย
กู้พ่านพ่านมองไปที่พวกเขาอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง ขณะที่โบกมือของเธอ “เร็วเข้าเถอะ รีบขึ้นไปบนรถ พวกเราจะได้ออกไปกันซะที ครั้งนี้ต้องเดินทางอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง”
จ้าวฉิงพาเสี่ยวเปาจื่อและเหยียนฮ่านชิงไปที่รถยนต์ เหยียนฮ่านชิงแบกถุงบรรจุน้ำและอาหารซึ่งจ้าวฉิงได้จัดเตรียมมา ทั้งยังมีอุปกรณ์ต่างๆ บางส่วนที่เขาพกพามาเอง
ทั้งเจ็ดคนแบ่งกันไปขึ้นรถสองคัน จ้าวฉิงที่อุ้มลูกอยู่, เหยียนฮ่านชิงและคู่พี่ชายน้องสาวนั้นนั่งด้วยกันในรถคันหนึ่ง ขณะที่คู่รักหนุ่มสาวและอาถูที่อ้วนกลมนั้นเข้าไปในรถอีกคัน
บนท้องถนน กู้พ่านพ่านขยับปากพูดคุยไม่หยุดหย่อน ก่อนที่ยุคสมัยวันสิ้นโลกจะมาถึง เธอใช้ชีวิตอยู่ในวงการบันเทิงทั้งยังอยู่ในส่วนของข่าวซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องเล่าข่าวลือต่างๆ นานา ท้ายที่สุดหลังจากรับฟังสาวน้อยคนนี้พร่ำพูดอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ทั้งร่างของจ้าวฉิงก็รู้สึกมึนงงหนึบชาไปหมด ตอนนี้เธอจึงเข้าใจได้แล้วว่า เหตุใดกู้ชวนจึงมีอาการกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต
ถ้าหาเธอมีน้องสาวเช่นนี้สักคน เธอก็คงต้องมีอาการอัมพาตบนใบหน้าเช่นกัน
อันที่จริงอาจจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงยิ่งกว่ากล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตเสียด้วยซ้ำ
ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง พวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางได้ในที่สุด จ้าวฉิงทะยานออกมาจากรถราวกับว่าเธอกำลังจะโผบินสู่อิสรภาพ
กู้พ่านพ่านกลับทำท่าคล้ายยังพูดคุยไม่หนำใจ เธอก้าวออกมาจากเบาะนั่งด้านหน้า ใบหน้าร่าเริงแจ่มใสแสนสดชื่นนั้นหันไปหาจ้าวฉิง “ถ้ามีเวลา ไว้มาคุยกันอีกนะคะ!”
จ้าวฉิง: “....”
ฉันขอปฏิเสธ!
ทีมทั้งเจ็ดคน เอ้อ รวมถึงเสี่ยวเปาจื่อด้วยอีกหนึ่ง มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ด้วยกัน เนื่องจากเหตุผลหลากหลายประการ ถึงแม้จะรู้ดีว่าพื้นที่ในเมืองใหญ่มีทรัพยากรมากที่สุด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเดินสะเปะสะปะไปค้นหาเสบียงกรังหรือวัตถุดิบอะไรที่นั่น พวกเขาตัดสินใจมาที่เมืองเล็กๆ แทน
ภายในเมืองเล็กเช่นนี้ มีบ้านเดี่ยวตั้งอยู่หลายหลัง ความหนาแน่นของประชากรจะไม่มากนัก ดังนั้นจำนวนซอมบี้ก็จะมีน้อยกว่าในเมืองใหญ่ๆ สำหรับกับทีมสำรวจเล็กๆ ของพวกเขา ถึงแม้ว่าทรัพยากรที่หาได้จากเมืองเล็กจะมีปริมาณน้อยกว่า แต่ระดับความปลอดภัยก็สูงกว่ามากเช่นกัน
ขณะที่ก้าวออกมาจากรถแล้ว จ้าวฉิงก็สัมผัสได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเธอ เพิ่มระดับความตื่นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความตื่นตัวเช่นนี้ไม่ใช่เพียงความระแวดระวังในใจเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงร่างกาย กล้ามเนื้อของเขาสะสมพละกำลังอยู่ในท่วงท่าเตรียมพร้อม หากมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น เขาจะเป็นคนแรกที่ตอบสนองได้ทันเวลา
ไม่แปลกเลยที่เขาจะเคยเป็นทหารมาก่อน จ้าวฉิงชำเลืองมองไปทางเหยียนฮ่านชิงและกวาดสายตาวูบหนึ่ง ขณะที่เธอเดินนำไปข้างหน้า เหยียนฮ่านชิงก็ตามหลังมาอย่างใกล้ชิด ยืนอยู่ตำแหน่งเยื้องไปทางซ้ายของจ้าวฉิง ที่ตำแหน่งนี้ทางหนึ่งก็จะช่วยขัดขวางไม่ให้ใครลอบจู่โจมจ้าวฉิงได้ อีกทางหนึ่งก็คือหากมีเหตุไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้น เขาก็สามารถเข้าไปปกป้องจ้าวฉิงได้อย่างทันท่วงที
เพราะเคยได้รับมอบหมายให้ไปเป็นบอดี้การ์ดปกป้องคนใหญ่คนโตมาแล้วมากมาย จ้าวฉิงย่อมเข้าใจดีกว่าใคร ว่าการกระทำของเหยียนฮ่านชิงมีความหมายอย่างไร
จ้าวฉิงอดยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวเร่งจังหวะฝีเท้าเร็วขึ้นเล็กน้อย
ในวินาทีที่เธอได้ตายจากโลกนี้ไปครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ตอนนั้นหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดแค้นที่ไม่อาจแปรเปลี่ยน เธอชิงชังผู้หญิงสารเลวที่ฆ่าเธอและลูก เธอยังเกลียดชังคนทรยศหลินฉีฝานที่ชั่วช้านั่นด้วย
ยังมีช่วงเวลาหนึ่ง ที่เธอได้คิดว่าโลกนี้ไม่มีผู้ชายดีๆ หลงเหลืออยู่อีก ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นเศษขยะไร้ค่า เป็นสิ่งปฏิกูลน่ารังเกียจที่หาดีไม่ได้
ทว่าในวินาทีนี้ เหยียนฮ่านชิงทำให้จ้าวฉิงรู้สึกว่า ไม่ว่าเหยียนฮ่านชิงจะกระทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะทำเพื่อตอบแทนความใจดีของเธอ หรือเป็นเพียงลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขา ถึงอย่างไรเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ เธอช่วยเหลือเหยียนฮ่านชิงเพียงเพราะถือว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานในสาขาอาชีพเดียวกันเท่านั้น
ยามนี้ หญิงสาวจึงรู้สึกได้ว่าการตัดสินใจของเธอเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
“พอเข้าไปในเมืองแล้วต้องระวังตัวไว้ อย่าแยกออกจากกันเด็ดขาด” กู้ชวนผู้เคร่งขรึมในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา นี่เป็นครั้งที่สองที่จ้าวฉิงได้ยินเขาพูด ตั้งแต่ที่เธอได้พบเขาครั้งแรก ก่อนหน้านี้ประโยคที่เขาพูดออกมาก็คือ ‘สวัสดี ให้ผมแนะนำตัวเองก่อน ผมเป็นคนที่มาแทนกู้พ่านพ่าน’
“ถ้าพวกเราแยกกันออกไปแล้วถูกล้อมด้วยซอมบี้ นั่นจะช่วยเหลือได้ยากมาก ฉะนั้น ทุกคนคะ ขอให้พยายามอย่าออกห่างจากกลุ่มไปไกลเกินล่ะ” กู้พ่านพ่านย้ำเตือนทุกคนอย่างรอบคอบ
หลังจากที่เข้าไปในเมืองขนาดเล็กแห่งนี้ ตามปกติธรรมดาเมื่อทีมสำรวจเดินทางออกมาเพื่อค้นหาวัตถุดิบใดๆ ก็ตาม พวกเขาก็จะต้องค้นหาผู้รอดชีวิตไปด้วยพร้อมกัน ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขายังสามารถปกป้องตัวเองได้ ก็มักจะพาพวกผู้รอดชีวิตที่หาเจอกลับไปส่งที่ฐานด้วย
เหตุผลก็เพราะว่า ผู้รอดชีวิตนั้นเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อฐานที่มั่น ผู้รอดชีวิตซึ่งอาศัยอยู่ในฐานมาเป็นเวลานาน จะต้องส่งมอบทรัพยากรในครอบครองของพวกเขาครึ่งหนึ่งให้กับฐาน และทางฐานก็จะแบ่งทรัพยากรจากที่ได้ไปนี้ มาเจียดให้กับผู้รอดชีวิตหน้าใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วมเพียงจำนวนน้อยนิด
เพียงแต่ หากเป็นอย่างจ้าวฉิงก่อนหน้านี้ ที่ดูเหมือนเป็นคนยากจนและขาดแคลนทรัพยากร หากได้พบเจอกับทีมที่ขี้หงุดหงิดและอัธยาศัยไม่ดี ก็ยากจะบอกได้ว่าพวกเขาจะอยากช่วยคนหรือเปล่า
ขณะที่เดินเท้าเข้าไปในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ พวกเขาก็ยังไม่ลดความระมัดระวังตัวลง และเริ่มทำการสำรวจ บ้านพักในชนบทเช่นนี้ มักจะมีคลังเก็บเสบียงหรือยุ้งฉางที่เก็บซ่อนไว้ ทุกๆ ปีพวกเขามักจะประหยัดเวลาในการเก็บเกี่ยวโดยการสร้างเพิงเก็บของขึ้นมาใหม่เพื่อเก็บเสบียงที่กักตุนไว้ใกล้ๆ
ดังนั้น จ้าวฉิงและคนอื่นๆ จึงเดินตรวจสอบบ้านทีละหลัง และพยายามจะหาคลังเก็บเสบียงเช่นนี้ให้เจอและนำกลับไป
โชคไม่ดี เมืองชนบทขนาดเล็กที่อยู่ค่อนข้างใกล้กับฐานผู้รอดชีวิตเช่นนี้ มักจะเคยถูกทีมอื่นเข้ามาสำรวจไปก่อนแล้ว จากสภาพที่เห็นอยู่ วัตถุดิบทรัพยากรส่วนใหญ่น่าจะถูกเก็บออกไปนานแล้ว
หลังจากค้นหาอยู่พักใหญ่ นอกจากซอมบี้แล้ว พวกเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่เมล็ดข้าว
อันที่จริง มันค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง ทุกคนได้เห็นซอมบี้อยู่ที่นี่จำนวนไม่น้อย ครอบครัวส่วนใหญ่มักจะมีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งคนที่กลายเป็นซอมบี้ และผลลัพธ์ก็คือคนทั้งครอบครัวถูกกัดและเปลี่ยนเป็นซอมบี้กันหมด เพียงเพราะซอมบี้คนเดียวในครอบครัวนั่นเอง
ยังมีบางครอบครัวที่เกือบทุกคนล้วนกลายเป็นซอมบี้กันหมดตั้งแต่แรก เหลือคนที่ปกติอยู่แค่คนเดียว เหตุการณ์ในรูปแบบนี้น่ารันทดหดหู่อย่างมาก ซอมบี้ตัวอื่นๆ ในครอบครัวจะกัดกินสมาชิกครอบครัวที่เหลืออยู่คนนั้นทั้งเป็นจนเหลือแต่กระดูก
“ผมจำได้ว่าข้างหน้ามียุ้งฉางอยู่บ้าง เป็นสถานที่ที่พวกพ่อค้าจะเก็บธัญพืชที่รับซื้อมาจากทั้งหมู่บ้านเอาไว้” อาถูผู้อ้วนกลมชี้มือไปข้างหน้า “เราก็มีกันอยู่หลายคน ลองไปดูที่นั่นกันหน่อยเป็นไงครับ?”
-------------------
[1] อาการกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเบี้ยวบางส่วน อันที่จริงถ้าแปลตามตรงคือกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต (面癱) ตามรูป: https://img.laonanren.com/Public/pageimg/20171105/1509867237271548.jpg
[2] ตรงนี้จ้าวฉิงเปรียบเทียบความหมายชื่อของสองพี่น้อง พี่ชายนั้นเงียบขรึม (顧川) ก็ตรงตามชื่อที่ว่าพิจารณาอย่างเรียบเฉย ส่วนน้องสาวพูดคุยไม่หยุดปาก (顧盼盼) ก็คือพิจารณาอย่างคาดหวังมุ่งมาด (เมื่อคาดหวังมุ่งมาดก็ย่อมต้องวิพากษ์วิจารณ์) [ถ้าใครมีข้อเสนอแนะอะไรก็บอกผมได้เลยนะครับ เผื่อว่าผมจะเข้าใจผิดไป]