มารดาปีศาจ ตอนที่ 19 แปลกประหลาด
อาถูตกใจจนถึงขั้นสะดุ้งโหยง เขากระโดดถอยกลับมาหนึ่งก้าวเต็มๆ เขาถึงขั้นกระตุ้นใช้พิเศษของตัวเองออกมาโดยสัญชาตญาณ จนกระทั่งเขาค้นพบว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงมนุษย์ไม่ใช่สิ่งอื่นใด เขาจึงได้ผ่อนคลายและพ่นลมหายใจออกมา “พวกเราเป็นทีมสำรวจจากฐานผู้รอดชีวิตเมือง S พวกเราเพิ่งจะผ่านเข้ามาในบริเวณนี้ เราจะขอพักอยู่กับคุณสักคืนหนึ่งได้หรือเปล่า”
คนผู้นั้นใช้สายตาอันแปลกประหลาดเหลือบมองไปยังอาถู จากนั้นจึงเปิดปากออกเอ่ยคำ “ได้ ได้สิ ว่าแต่ฐานผู้รอดชีวิตคืออะไรหรือ”
อาถูหันมองไปยังบริเวณโดยรอบ “คุณให้พวกเราเข้าไปก่อนได้ไหมครับ จากนั้นผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง”
“เข้ามาสิ” คนผู้นั้นถอยหลังให้จ้าวฉิงและคนอื่นๆ เดินเข้าไปข้างใน จ้าวฉิงขมวดคิ้วขณะที่เดินเข้าไป หญิงสาวรู้สึกว่าสายตาของคนผู้นั้นดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง สำหรับเรื่องที่ว่าแปลกประหลาดที่ตรงไหน จ้าวฉิงเองก็ไม่สามารถบ่งบอกให้ชัดเจนได้
หลังจากเข้าไปแล้วจ้าวฉิงและคนอื่นๆ จึงพบว่าพวกเขาได้เข้ามาในลานกว้าง ด้านในลานบ้านนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีร่างกายผอมบาง ยืนอุ้มเด็กหันหน้ามาทางประตู ดวงตาของหญิงสาวไร้ประกายแห่งชีวิตโดยสิ้นเชิง
หญิงสาวคนนั้นสาวสวมใส่เสื้อโค้ทตัวนอกเพียงชั้นเดียว มันหลวมโพรกเสียจนเผยให้เห็นตลอดทั้งช่วงไหล่และทรวงอกเกินกว่าครึ่งที่สัมผัสกับอากาศ ตั้งแต่คอถึงหน้าท้อง มีร่องรอยบาดแผลสีม่วงช้ำเห็นได้ชัดเจน
ขณะที่จ้าวฉิงและคนอื่นๆ เดินเข้ามาใกล้ข้างกายเธอ หญิงสาวคนนั้นก็ลนลานขยับแขนบีบเด็กทารกที่เธออุ้มแนบเข้าไปในอกอย่างหวาดกลัว และยังพูดโวยวายออกมาอย่างตื่นตระหนก “อย่ากินลูกของฉัน ได้โปรดอย่ากินลูกของฉันเลย...”
ตอนนั้นเองที่จ้าวฉิงเห็นว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เธอแนบเข้าไปกับอกนั้นไม่ใช่เด็กทารก แต่กลับเป็นผ้าคลุมเตียงสกปรกๆ ฝืนหนึ่งที่พาดพันรอบหมอนใบเล็กๆ เอาไว้
สายตาของจ้าวฉิงเย็นชาลงทันทีแต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา ในทางกลับกันบุคคลที่นำทางพวกเขามากลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เธอเป็นพวกสติไม่สมประกอบน่ะ บางทีลูกของเธออาจจะโดนสามีของเธอกินเข้าไปแล้วด้วยซ้ำ แล้วก็คงจะกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วละมั้ง ได้ไปเห็นภาพแบบนั้นเข้า ช่างน่าสงสารจริงๆ พวกเราก็เลยให้เธอมาพักอยู่ที่นี่แล้วก็ให้การดูแลเธอ”
“จริงๆ แล้วหน้าตาของเธอก็ดูสะสวยดีนะ” ฝ่ายสามีจากคู่รักวัยหนุ่มสาวเอ่ยปากขึ้นมา หลังจากเขาพูดถ้อยคำไม่กี่คำนั้นออกมาแล้ว ฝ่ายภรรยาก็ตบเขาอย่างแรงทันที
หลังจากเข้าไปในตัวบ้าน คนที่นำทางมาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “นายใหญ่ มีผู้คนจากฐานผู้รอดชีวิตมาที่นี่น่ะ” หลังจากเขาตะโกนเรียกคำว่านายใหญ่ออกมาก็มีสายตามืดมนหลายคู่หันมามองที่ร่างกายจ้าวฉิง
ภายในบ้านนั้นมีคนอยู่ไม่น้อย เอนเอียงตัวโซเซไปทางนั้นทีทางนี้ที คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ผอมแห้งอย่างถึงที่สุด และใส่เสื้อผ้าเก่าขาด อย่างไรก็ตามฝ่าย ‘นายใหญ่’ ที่คนนำทางผู้นั้นเรียกขานกลับสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยมิดชิด ดูราวกับว่าเขาพยายามโอ้อวดอะไรบางอย่าง
“ฐานผู้รอดชีวิตงั้นหรอ” นายใหญ่นั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ กลุ่มของจ้าวฉิง เมื่อได้เห็นชายผู้นี้ในระยะประชิด ทุกอย่างของเขาก็ดูปรกติดี ยกเว้นดวงตาสามเหลี่ยมคู่นั้นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ยามเมื่ออีกฝ่ายแย้มยิ้มดวงตาคู่นั้นก็จะแคบลง ทำให้ดูคล้ายคนที่คิดไม่ซื่ออยู่ตลอดเวลา
ขณะที่เดินวนผ่านไป เขาก็หยิบบุหรี่ออกมา ส่งให้กับอาถู, กู้ชวน, ฝ่ายชายของคู่รักหนุ่มสาว และสุดท้ายจึงส่งให้เหยียนฮ่านชิงคนละตัวตามลำดับ กู้ชวนและเหยียนฮ่านชิงนั้นปฏิเสธไม่รับบุหรี่ ในขณะที่อาถูและฝ่ายสามีคนนั้นยอมรับบุหรี่ไป
อาถูเผยอยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข “ตั้งแต่ภัยพิบัติวันสิ้นโลกมาถึง ผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ว่าไม่ได้สูบบุหรี่ดีๆ ที่หายากแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
สิ่งที่อาถูกล่าวเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่วันสิ้นโลก คนจำนวนมากแม้แต่อาหารจะยาไส้ยังแทบมีไม่พอ พวกเขาจะไปหาบุหรี่มาสูบได้จากที่ไหนกันเล่า
ฝ่ายนายใหญ่นั้นส่งไฟแช็กของเขาให้กับอาถู เพื่อจุดบุหรี่ให้อีกฝ่ายสูบ จากนั้นจึงจุดบุหรี่ให้ตัวเอง จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “คุณผู้หญิงแสนสวยเหล่านี้ก็น่าจะมีคนที่ชอบบุหรี่เช่นกันใช่หรือเปล่าครับ?”
กู้พ่านพ่านและเหล่าสุภาพสตรีที่อยู่ในทีมพากันส่ายหน้าและโบกมือไปมา แสดงให้เห็นว่าพวกเธอไม่ต้องการจะสูบบุหรี่
ฝ่ายนายใหญ่นั้นก็ไม่ได้พยายามเอ่ยเคี่ยวเข็ญแต่อย่างใด เพียงแย้มยิ้มเอ่ยคำ “ผมก็ได้เคยยินมาว่ามีฐานผู้รอดชีวิตอยู่ข้างหน้าโน่น ก่อสร้างได้มั่นคงแข็งแรงดีทีเดียว ผมก็อยากจะพากลุ่มน้องชายเหล่านี้ไปเข้าร่วมอยู่เหมือนกัน แต่ว่า พวกเรามีคนอยู่เยอะเลย ถ้าหากเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่ฐานผู้รอดชีวิตกันเอง ก็ไม่รู้ว่าน้องชายพวกนี้จะต้องเสียชีวิตกันไปสักกี่คน ดังนั้นแล้ว พวกเราก็เลยยังไม่เคยพยายามเดินทางไปที่นั่นมาก่อน แต่ตอนนี้ พอพวกเราได้พบกับพวกคุณ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกคุณย่อมต้องมีความสามารถอย่างมากถึงได้ออกมาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นแล้ว ผมคงต้องขอรบกวนให้พวกคุณพาพวกเราไปส่งที่ฐานผู้รอดชีวิตด้วยแล้ว?”
ฝ่ายชายจากคู่รักหนุ่มสาวคนนั้นรีบตบอกรับรองทันที “ไม่มีปัญหา!”
เพราะการกระทำอย่างใจร้อนไร้หัวคิดของเขาครั้งนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงกู้ชวน แม้แต่กู้พ่านพ่านก็ต้องขมวดคิ้วบึ้งตึง อยากตำหนิเขาที่เร่งรีบเอ่ยคำเกินไป
“เช่นนั้นก็น่ายินดีเป็นที่สุด โปรดเข้ามาพักผ่อนอยู่ที่นี่ทั้งคืนได้อย่างสบายใจ จากนั้นพรุ่งนี้เราจะได้ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่” ขณะที่เดินนำทางไปนายใหญ่นั้นก็ปล่อยให้คนที่นำทางพวกเขามาก่อนหน้านี้ พาทุกคนไปที่ห้องพักด้านใน ซึ่งพวกเขาจะได้ใช้พักผ่อนกันในคืนนี้
หลังจากรอให้คนที่นำทางพวกเขามาเดินออกไปจนหายลับตาแล้ว กู้พ่านพ่านก็เริ่มพูดขึ้นทันที “คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ถึงได้รีบร้อนรับปากไปแบบนั้น”
“ถึงยังไงพวกเราก็จะกลับไปที่ฐานผู้รอดชีวิตอยู่แล้ว แถมพวกเรายังมีแต่ได้ประโยชน์อีกต่างหาก ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ” ฝ่ายสามีเอ่ยตอบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็คิดได้ “นอกจากนั้น เอาพวกเขาไปด้วยก็ใช่ว่าจะสร้างความรำคาญอะไรให้เรานักหนานี่นา”
“คุณนั่นแหละที่น่ารำคาญ” กู้ชวนแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“คุณ...หมายความว่ายังไง” ชายผู้นั้นมองเขาอย่างว่างเปล่า ทว่ากู้ชวนกลับไม่ต้องการจะใส่ใจคนผู้นี้อีกต่อไป จึงเดินตรงไปยังมุมหนึ่ง แล้วทรุดการนั่งลง จ้าวฉิงก็พาเหยียนฮ่านชิงไปหาพื้นที่ว่างนั่งลงเช่นกัน
ฝ่ายชายคนนั้นดูอึดอัดเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ไม่นาน ราตรีกาลก็ย่างกรายลงมา มีคนมาเคาะประตู แล้วชวนให้ทีมของจ้าวฉิงไปร่วมทานอาหารมื้อค่ำกับพวกเขา ทั้งกลุ่มจึงตามคนผู้นั้นไป จ้าวฉิงยกเสี่ยวเปาจื่อออกมาจากเป้สะพายหลังที่เธอใช้พาเขาไปไหนต่อไหน แล้วเปลี่ยนมาอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยแนบไว้กับอ้อมอกของเธอแทน หญิงสาวหันไปหยิบขวดนมออกมาจากกระเป๋าด้วย
ทว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนมกลับไม่ใช่นมผงที่ชงแล้ว มันคือน้ำแกงไก่ตุ๋นที่เธอได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ หญิงสาวตักชั้นไขมันด้านบนออกไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงสามารถนำมันมาอุ่นให้ร้อนเมื่อใดก็ได้ จากนั้นก็จะได้น้ำแกงไก่ตุ๋นเข้มข้นพร้อมทานได้ทันที นอกจากนี้ เสี่ยวเปาจื่อเองก็ไม่ได้ต้องการน้ำแกงร้อนๆ อยู่แล้ว แต่เดิมเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกลัวว่าความเย็นจะมีผลอะไรต่อกระเพาะ
เสี่ยวเปาจื่อถือขวดนมไว้ในมือแน่นไม่ยอมปล่อย ขณะที่จ้าวฉิงทรุดกายลงนั่ง ที่โต๊ะนั้นมีคนนั่งอยู่แล้วสองคน หนึ่งคนก็คือ ‘นายใหญ่’ ส่วนอีกคนคือวัยรุ่นที่ดูสกปรกคนหนึ่ง คนอื่นๆ พากันนั่งหลบอยู่ตามซอกมุมและกัดแทะอะไรบางอย่าง
“โอ้โห นั่นเนื้อนี่นา!” ดวงตาของคู่รักหนุ่มสาวนั้นสว่างจ้าขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ถึงอย่างไร ตั้งแต่ยุควันสิ้นโลก พวกเขาก็แทบจะไม่มีโอกาสได้กินเนื้อที่ดูสดใหม่เช่นนี้เลย
บนโต๊ะ นอกจากเนื้อเหล่านั้นแล้ว ยังมีพืชผักสีเขียว มีอาหารอยู่พูนจานทั้งสี่ใบ และยังมีถ้วยซุปถ้วยหนึ่ง
ถึงแม้ว่าการจัดการเช่นนี้อาจจะไม่ดูหรูหราเป็นพิเศษอะไรนักหากได้พบเห็นมันก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้คือยุควันสิ้นโลก มื้ออาหารเช่นนี้สามารถเรียกว่าหรูหราฟุ่มเฟือยได้อย่างแน่นอน
ฝ่ายนายใหญ่นั้นทำท่าทางเชิญชวน “ทุกคนเดินทางกันมาไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ และถือได้ว่าเป็นแขกของผม โปรดนั่งลงได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
คู่พี่น้องแซ่กู้และจ้าวฉิงมองสบตากันไปมา จากนั้นจึงสังเกตเห็นได้ว่าแววตาของอีกฝ่ายต่างดูเย็นเยียบลงเรื่อยๆ มีเพียงคู่รักวัยหนุ่มสาวและอาถูที่ยังมีท่าทีตื่นเต้นดีใจ
“ทุกคนเชิญนั่งลงทานได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจไป” นายใหญ่นั้นแย้มยิ้ม หยิบชิ้นเนื้อขึ้นมา จากนั้นเขาก็วางมันลงในชามเปล่าตรงหน้าจ้าวฉิง