มารดาปีศาจ ตอนที่ 14 คุณเป็นของฉัน
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นเสี่ยวเปาจื่อดื่มนมแล้วถึงกับทุกข์ทรมานจนต้องพ่นทุกอย่างออกมาหมดไส้หมดพุง จ้าวฉิงเพียงแค่กัดกินไปคำเดียว มันก็ให้ความรู้สึกราวกับจะฉีกกระเพาะของเธอออกมาแล้ว หลี่จิงเห็นท่าทางของเธอเป็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยถามทันที “หรือว่าฝีมือการทำอาหารของผมจะแย่เอามากๆ”
“ไม่ค่ะ ก็แค่ช่วงนี้ท้องไส้ของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” จ้าวฉิงไม่สามารถอธิบายอะไรเพิ่มเติมได้อีก
หลี่จิงหรี่ตาลงแล้วหัวเราะแผ่วเบา “ถึงแม้ว่าท้องของคุณจะไม่ค่อยดี คุณก็ยังต้องทานอะไรสักหน่อยนะครับ ถ้าไม่ทานอะไรเลย แล้วร่างกายของคุณจะดีขึ้นได้ยังไงกันล่ะ”
“ไม่ล่ะค่ะ” ในวินาทีนี้ จ้าวฉิงมีแค่ความคิดอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจ นั่นก็คือการพ่นทุกสิ่งทุกอย่างในกระเพาะของเธอออกมาให้หมด “ขอโทษที่มารบกวนวันนี้นะคะ มันไม่เกี่ยวกับฝีมือทำอาหารของคุณ แค่ฉันกินต่อไปไม่ได้แล้ว วันหลังคุณค่อยชวนฉันมาลองชิมใหม่นะคะ”
เห็นว่าจ้าวฉิงต้องการจะจากไป หลี่จิงเร่งเอ่ยตอบโดยฉับพลัน “ถ้าหากคุณไม่อยากกินของพวกนี้ ลองกินผลไม้ดีกว่านะครับ ผมมีแอปเปิ้ลสดๆ อยู่ด้วย คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน ผมจะเอามาให้คุณสักหน่อย”
ไม่รอให้จ้าวฉิงได้กล่าวปฏิเสธ เขาเดินเข้าไปด้านในเพื่อหยิบมันทันที จ้าวฉิงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากทรุดกายนั่งลงอีกครั้ง กระเพาะอาหารของเธอปั่นป่วนไปหมด เธอแค่ต้องการออกไปอาเจียนเท่านั้น
อีกฝ่ายถือแอปเปิ้ลสีแดงสดสองลูกไว้ในมือ และยังมีองุ่นสีเขียวใสอีกพวงหนึ่ง เขาส่งผลไม้ให้จ้าวฉิง “คุณเอาองุ่นพวกนี้กลับไปให้ทารกน้อยคนนั้นทานก็ได้นะครับ”
อันที่จริงจ้าวฉิงต้องการจะบอกปัดความหวังดีของเขา ทว่าท้องไส้ของเธอยากจะทนทานต่อไปได้แล้ว หญิงสาวจึงรับมันมาทั้งหมด “ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีจริงๆ ค่ะ ไว้วันหลังจะชวนคุณออกไปทานอะไรบ้างนะคะ”
ดวงตาของหลี่จิงวาบประกายแห่งความลิงโลดที่เก็บงำไว้ เขาคิดว่าเป็นเพราะยาที่เขาแอบใส่ลงในอาหารให้จ้าวฉิงทานกำลังออกฤทธิ์แล้ว ดังนั้นเขาจึงเหนี่ยวรั้งให้จ้าวฉิงอยู่ต่อไป
จ้าวฉิงคิดว่าเธอกำลังจะขย้อนของในกระเพาะออกมาใส่หน้าเขาเร็วๆ นี้ แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าเธอก็ไม่อาจรักษามันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ฉันไปก่อนนะคะ” ไม่สนใจว่าหลี่จิงจะพยายามขัดขวางเธออย่างไร หญิงสาวเอ่ยทิ้งท้ายเพียงสองสามคำก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อออกมาข้างนอก จ้าวฉิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าหลี่จิงลอบติดตามมาข้างหลัง หญิงสาวไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่เร่งฝีเท้าขึ้นอย่างเฉียบคม ใช้เทคนิคสลัดการติดตามที่เคยฝึกฝนมานานหลายปี เธอสลัดหลุดจากหลี่จิงได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหลุดพ้นจากการติดตามของหลี่จิง จ้าวฉิงก็หามุมเงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วอาเจียนทุกอย่างออกมาจนหมดกระเพาะ เธอกินเข้าไปเท่าไหร่ก็คายมันออกมาเท่านั้น หลังจากอาเจียนทุกอย่างออกไปจนเกลี้ยง จ้าวฉิงก็เริ่มเป็นห่วงเสี่ยวเปาจื่อที่นอนหลับอยู่ เธอห่มผ้าไว้ให้เขา ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะยังคลุมตัวเจ้าซาลาเปาน้อยดีหรือเปล่า หลังจากล้างปากและกลั้วคอด้วยน้ำแร่ หญิงสาวก็เตรียมเดินทางกลับบ้าน
หลังย่างเท้าเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นเงาร่างที่ดูคุ้นเคยเดินออกมาจากเต็นท์ เช่นเคย แผ่นหลังอันงดงามของเขาเปิดเปลือย เผยให้เห็นช่วงเอวที่ทรงพลัง
อีกฝ่ายก็มองเห็นจ้าวฉิงเช่นกัน ร่างกายของเขาชะงักค้าง หญิงสาวมองดูร่างกายของเขา แล้วจึงตระหนักได้ว่ามีบาดแผลใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมาไม่น้อยเลย
ยังมีรอยฟกช้ำกระจายตัวอยู่บนร่างกายของชายหนุ่มเยอะยิ่งกว่า
เดิมทีจ้าวฉิงต้องการจะจากไป ทว่ายามที่สายตาของเธอประสานสบกับดวงตาอันลึกล้ำของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ชะงักฝีเท้าลง ชายผู้นั้นดูลังเลเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นายท่าน ยังมีงานที่ต้องใช้เรี่ยวแรงเหลืออยู่อีกหรือไม่”
จ้าวฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเธอจดจ้องไปที่รอยฟกช้ำและแผลเป็นบนแผงอกของชายหนุ่ม แย้มยิ้มหยอกล้อ “จู่ๆ ก็มาถามผู้หญิงตัวคนเดียว ว่ายังมีงานที่ต้องใช้เรี่ยวแรงเหลืออยู่หรือเปล่าในตอนค่ำมืดแบบนี้ หรือคุณไม่กลัวว่าฉันอาจจะคิดอะไรฟุ้งซ่าน แล้วก็อยากให้คุณ ‘ใช้เรี่ยวแรงอย่างหนักหน่วง’ เข้าจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก เขายืนนิ่งงันไร้การเคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่ แสงจันทร์บนฟากฟ้าสาดส่องให้เห็นว่าข้างแก้มของอีกฝ่ายกลายเป็นสีชมพูขึ้นมาชั้นหนึ่ง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก “ผม.... ผมไม่ได้คิดแบบนั้น....”
“ฉันรู้ ฉันแค่ล้อคุณเล่น” จ้าวฉิงแอบตำหนิตัวเองเล็กน้อย บางทีรสนิยมในเรื่องขำขันของเธอก็ค่อนข้างย่ำแย่ หญิงสาวแตะไหล่ของชายคนนั้น “บอกฉันได้หรือเปล่าว่าคุณต้องการอะไร”
“ยา.... ยาลดไข้” ดวงตาของเขาโชนแสงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหม่นลงในพริบตา ยารักษาโรคในยุควันสิ้นโลกเช่นนี้เป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างถึงที่สุด ยาส่วนใหญ่ล้วนถูกเก็บรักษาอย่างดีโดยบุคคลระดับสูงของฐาน และจะมอบให้กับผู้มีพลังพิเศษที่ป่วยไข้หรือได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ส่วนน้อยที่เหลืออยู่สามารถใช้ ‘แต้มสะสม’ มาแลกเปลี่ยนได้ แต่แต้มสะสมเหล่านี้ก็จะได้มาจากการนำอาหารหรือวัตถุดิบอื่นๆ ไปแลกเอามา ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต้องใช้แต้มสะสมจำนวนมหาศาลเพียงใดเพื่อแลกเอายารักษาเหล่านั้นมา
มนุษย์ที่ไม่มีพลังพิเศษก็ทำได้เพียงพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเอง ต่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับทีมสำรวจของคนธรรมดา สิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็แทบไม่พอเพียงกับความต้องการในแต่ละวันด้วยซ้ำ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีสิ่งของส่วนเกินให้ไปใช้แลกเป็นแต้มสะสม
ถึงแม้พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยเพียงใด แต่แต้มสะสมที่ได้ก็ยังไม่เพียงพอให้ใช้แลกยาธรรมดาๆ ด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว ตั้งแต่ภัยพิบัติวันสิ้นโลกมาถึง คนธรรมดาที่กลายเป็นคนเจ็บป่วยย่อมไม่สามารถต้านทานความเจ็บป่วยได้
“ฉันมีอยู่บ้าง” จ้าวฉิงหยิบเอายาติดตัวมาไม่น้อย น่าเสียดายที่หญิงสาวได้ค้นพบว่า ทั้งตัวเธอเองและเสี่ยวเปาจื่อนั้นมีร่างกายที่ไม่อาจป่วยไข้ได้ ดังนั้นหยูกยาที่เธอนำมาเหล่านี้จึงไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้เลย โชคดีที่เธอยังไม่ได้โยนมันทิ้งไป
“คุณเอายาให้ผมบ้างได้รึเปล่า ผมช่วยคุณทำงานหนักๆ ได้ พวกงานใช้แรงงาน....” เอ่ยมาถึงตรงนี้ แก้มเขาก็แดงก่ำขึ้นมา ชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่าถ้าข้อตกลงนี้บรรลุผลจริงๆ ก็ถือว่าเขาเอาเปรียบจ้าวฉิงมากเกินไปอย่างไม่อาจเทียบได้
“ได้สิ แต่ฉันมีคำถามที่อยากถามคุณสักหน่อย” หญิงสาวกลับยอมผงกศีรษะตกลงง่ายๆ ขณะที่เธอถามต่อ “ก่อนหน้านี้คุณเคยทำอะไรมา”
“ผมเคยเป็นทหาร แต่ปลดประจำการเพราะได้รับบาดเจ็บ...”
ความประทับใจที่จ้าวฉิงมีต่อชายคนนี้ทะยานขึ้นสูงทันที เพราะเธอเองก็เป็นคนที่ปลดประจำการจากองค์กรของกองทัพ ดังนั้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการทหาร เธอย่อมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับพวกเขาในแง่บวกอยู่บ้าง
อีกทั้งสาเหตุที่ชายคนนี้ปลดประจำการก็เพราะได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับจ้าวฉิงได้ประสบมาโดยไม่ผิดเพี้ยน เธอถามต่อ “คุณอยากได้ยาเยอะแค่ไหน”
“ผมก็ไม่แน่ใจ....” เขาขมวดคิ้วจนเป็นปม จากนั้นก็ผลักม่านคลุมเต็นท์เปิดออก เผยให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนอยู่บนผ้าห่มเก่าขาด
ผู้หญิงคนนี้ดูอายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบปี จากรูปลักษณ์เห็นได้ชัดว่าขาดสารอาหารและเจ็บป่วย รอยแผลลึกยาวบนต้นขาดูสาหัสมากราวกับมันแทบจะตัดขาของเธอออกมา เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที รอยแผลจึงกลัดหนอง และเลือดที่ไหลออกมาก็ทำให้ในอากาศมีกลิ่นอันไม่น่าพิสมัยลอยคละคลุ้ง
เขารู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบอธิบายสถานการณ์ “แผลของแม่ผมอักเสบมาพักใหญ่แล้ว กลิ่นก็เลยไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ จะดีกว่าถ้าคุณไม่เข้ามายืนใกล้เกินไป”
“ไม่เป็นไรหรอก” จ้าวฉิงไม่ได้ถอยเว้นระยะห่างออกมาจากเต็นท์แต่อย่างใด “พรุ่งนี้ไปหาฉันที่บ้านพัก ตอนนี้ฉันไม่ได้เอายาติดตัวมาด้วย”
“ได้ครับ แต่ผมไม่มีอะไรที่จะให้คุณได้เลย....”
สายตาของจ้าวฉิงกวาดมองผ่านกล้ามเนื้อแผงอกบึกบึนล่ำสันของชายหนุ่ม พลันนึกสนุกขึ้นมา ตั้งใจจะกลั่นแกล้งสัพยอกเขาสักเล็กน้อย เธอจึงแตะปลายนิ้วไปที่กล้ามอกของเขาและอมยิ้ม “ไม่เป็นไร ถ้างั้นนับตั้งแต่นี้ไป คุณก็เป็นของฉันก็แล้วกัน”
ชายผู้สัตย์ซื่อหดตัวกลับไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดงก่ำเสียจนคล้ายจะมีโลหิตหยาดหยดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยถูกหยอกล้อเช่นนี้มาก่อน จึงไม่มีประสบการณ์ในการรับมือเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาเกร็งเขม็งแข็งทื่อราวกับไม้กระดาน
จนกระทั่งเสียงของจ้าวฉิงล่องลอยเข้าไปในหูของเขา “คุณชื่ออะไร”
“เหยียนฮ่านชิง” เขาตอบกลับอย่างไร้สติ
“ฉันคือจ้าวฉิง อย่าลืมมาหาฉันในวันพรุ่งนี้”
เมื่อจ้าวฉิงเห็นว่าชายหนุ่มที่ซื่อตรงคนนี้ยังมีสีหน้าว่างเปล่าเลื่อนลอยอยู่อีก เธอก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้อีก แล้วจึงหมุนกายจากไป
เหยียนฮ่านชิงรอคอยจนจ้าวฉิงจากไปไกลแล้ว จากนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของตนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เมื่อกี้... เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?