บทที่ 112 การยับยั้งของผู้แข็งแกร่ง
บทที่ 112
การยับยั้งของผู้แข็งแกร่ง
ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดทั้งสองคนนี้มีอายุราวๆ 40 ปีและอยู่ในระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด
ทั้งสองเร็วมากและมาถึงทีที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ในเวลาอันสั้น
“วิชาดาบคลื่นคราม!”
“วิชาดาบทะยานนภา!”
จากซ้ายและขวา พวกเขาอยู่ตรงข้ามกันและกันเข้ามาโจมตีหลี่ฟู่เฉิน
ด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของหลี่ฟู่เฉิน เขาจึงไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของผู้ดูแลฝึกหัดทั้งสองแน่นอน
“วิชาดาบสะพรั้ง!”
ในช่วงเวลาสำคัญ เฉินฟาวหัวรีบเข้ามาและใช้วิชาดาบสะพรั้งเพื่อต่อต้านวิชาดาบคลื่นครามและวิชาดาบทะยานนภาทั้งสอง
“เฉินชิเจี๋ย นี้หมายความว่าอย่างไร?” หนึ่งในนั้นถามด้วยความโกรธ
เฉินฟางหัวตอบกลับ “อย่าลืมว่าเจ้าสองคนเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัด เจ้ากล้าลงมือกับศิษย์นิกายชั้นในจริงๆ? เจ้าต้องการไปที่โถงพิพากษา?”
ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดมีสถานะต่ำกว่าศิษย์ชั้นใน การรุกรานใครบางคนที่มีสถานะสูงกว่าคือการละเมิดกฎนิกาย และสิ่งที่ตามมาจะเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรง
ชายอีกคนพูดด้วยเสียงต่ำ “เฉินชิเจี๋ย ท่านควรทำมันให้ชัดเจน ตระกูลเหลาเราเป็นหนึ่งในตระกูลที่อยู่ภายใต้นิกายคังหลุน และเหลาไห่หลงก็เป็นนายน้อยของเรา คำแนะนำของข้าคือท่านอย่าได้มีส่วนร่วม เกรงว่านั้นจะเป็นการเผาผลาญตัวเองเสียเปล่า”
“ใช่แล้ว การรุกรานตระกูลเหลาเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง”
เหตุผลที่ทั้งสองกล้าลงมือกับหลี่ฟู่เฉินก็เพราะพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเหลา ตระกูลเหลาเป็นตระกูลโบราณที่มีนักสู้ขอบเขตปฐพีมากมายและยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์อยู่ด้วยเช่นกัน ตระกูลของพวกเขาเป็นบางสิ่งที่แม้แต่ในนิกายก็ต้องกล่าวถึง
เฉินฟางหัวหัวเราะเย็นชา “ข้าเองก็อยากรู้นักว่าตระกูลเหลาจะจัดการกับข้าเช่นไร เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเหลานั้นเหนือกว่านิกายคังหลุน?”
ขณะนี้เอง ที่เหลาไห่หลงดึงความรู้สึกของตนเองกลับมาได้ “หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากล้าตบข้า?! เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเพิ่งก่อโทษร้ายแรงอะไรไป?! บาปที่ยกโทษให้ไม่ได้! คุกเข่าลงแล้วตัดแขนทั้งสองข้างออก จากนั้นข้ายังคงสามารถให้อภัยเจ้าได้ แม้แต่สวรรค์ก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้! ไม่แม้แต่เฉินฟางหัว! จะดีกว่าหากเจ้าจากไปซะตั้งแต่ตอนนี้ไม่เช่นนั้นข้าขอสาบานว่าจะทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต!”
“อวดดี!” ตอนนี้เฉินฟางหัวรู้สึกโมโหมาก
เธอผู้ซึ่งเป็นศิษย์ขอบเขตต้นกำเนิดระดับแปดไม่เคยถูกคุกคามจากใครมาก่อน ไม่แม้แต่ตระกูลเหลา รอจนกระทั่งเธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลัก แม้แต่ตระกูลเหลาก็ไม่กล้าแตะต้องเธอ
“อวดดี? ในแขนเสื้อของข้าย่อมมีของอยู่มากมาย ในอนาคตข้าจะหาเวลาทำให้เจ้าต้องเสียหน้าและเสียเกียรติของเจ้าไป”
เหลาไห่หลงไม่กลัวเฉินฟางหัว ในแง่ของความสามารถ เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินฟางหัวและเขามั่นใจว่าเขาจะทัดเทียมเธอได้ภายในไม่กี่ปี
ได้ยินเช่นนั้น จ้าวหมิ๋งเยวี่ยก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหลาไห่หลง เจ้าคิดว่าตระกูลเหลาของเจ้าดีมาก?”
“โดยธรรมชาติแล้วตระกูลเหลาย่อมแข็งแกร่ง…” เหลาไห่หลงมองไปที่จ้าวหมิ๋งเยวี่ยและไม่สามารถกล่าวประโยคต่อไปของเขาได้
ตระกูลเหาอาจจะเป็นตระกูลโบราณและมีชื่อเสียง แต่ภูเขาลูกหนึ่งก็มักจะมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าอยู่เสมอ แม้ว่าตระกูลจ้าวของจ้าวหมิ๋งเยวี่ยจะไม่มีข้อได้เปรียบในเรื่องของจำนวนสมาชิกและไม่มีเชื้อสายโบราณ แต่ปู่ของจ้าวหมิ๋งเยวี่ยเป็นผู้อาวุโสชั้นในและพ่อของเธอก็เป็นผู้อาวุโสชั้นในด้วยเช่นกัน และตระกูลจ้าวของพวกเธอก็ยังมีผู้อาวุโสชั้นในที่น่าเกรงขามอยู่อีกหนึ่งคน จ้าวหวูจี๋ ด้วยอำนาจและความสามารถที่ทั้งสามมี แม้แต่กระทั้งตระกูลเหลาก็ยังต้องกราบไหว้เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา
ในโลกนี้ ภูมิหลังของใครเพียงคนหนึ่งนับว่าสำคัญ แต่เมื่อเผชิญกับอำนาจที่แท้จริง คนเหล่านั้นก็ยังคงต้องลดหัวของพวกเขา หากเป็นผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด แม้แต่นิกายก็ยังต้อนรับพวกเขาด้วยความเคารพ หนึ่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดความสามารถที่มีอาจเทียบเท่านิกายๆ นึง
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูด? ไม่ใช่ว่าตระกูลเหลาเอาแต่ใจมากเกินไป? เจ้าสามารถฆ่าใครก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ? แม้แต่กระทั่งศิษย์นิกายชั้นในก็สามารถฆ่าได้ใช่หรือไม่?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยไม่มีชะงักกักกันใดๆ ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยคำวิจารณ์
เหลาไห่หลงสวมสีหน้าอาจหาญ “จ้าวหมิ๋งเยวี่ย ข้าไม่ได้ยั่วยุเจ้า เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงยังต่อต้านข้าเพื่อคนที้เจ้าไม่รู้จัก?”
“เกิดอะไรขึ้น?” ทันใดนั้นเองที่ผู้คนได้ยินเสียงที่น่าประทับใจ
“ลุงจ้าว” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยหันไปทางต้นกำเนิดเสียงอย่างรวดเร็ว
จ้าวหมิ๋งเยวี่ยยืนอยู่กลางอากาศ เขาเผชิญหน้ากับจ้าวหมิ๋งเยวี่ยและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หมิ๋งเยวี่ย อธิบายสถานการณ์ที่นี่ให้ข้าฟัง”
จ้าวหมิ๋งเยวี่ยชี้ไปที่เหลาไห่หลงและผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดทั้งสอง “พวกเขาเป็นคนจากตระกูลเหลา ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินชิ
เจี๋ยแทรกแซง หลี่ฟูเฉินอาจต้องตกตายภายใต้เงื้อมมือของพวกเขาไปแล้ว พวกเขายังกล้าที่จะใช้ชื่อของตระกูลเหลาเพื่อขมเหงเฉินชิเจี๋ยด้วย ข้าไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป”
“ตระกูลเหลา!” ในทันทีจ้าวหวูจี๋หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“อาวุโสจ้าว พวกเราไม่ได้ต้องการทำเช่นนั้น แต่สนุขเวรนี่มันดุร้ายเกินไป เขากล้าทำให้นายน้อยตระกูลเหลาของเราขายหน้าจริงๆ” หนึ่งในผู้ดูแลชั้นในพยายามที่จะอภิปาย
ปลดปล่อยพลังฉีที่น่าหวาดกลัว มันกดดันผู้ดูแลชั้นฝึกหัดทั้งสองให้คุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นจ้าวหวูจี๋กล่าว “ตระกูลเหลามีสิทธ์ในการลงมือกับศิษย์ชั้นในตั้งแต่เมื่อไหร่? ตระกูลเหลาใช่ต้องการมาแทนที่นิกายคังหลุนใช่หรือไม่?”
“อาวุโสจ้าว โปรดเมตตา ตระกูลเหลาของเราไม่กล้า!”
ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดที่กำลังจะทรุดตัวลง ด้วยสภาวะที่หวาดกลัว พวกเขาไม่แข็งขืนอีกต่อไป
“เมื่อเจ้ากลับไปที่นิกาย ไปที่โถงพิพากษาและรับการลงโทษ” จ้าวหวูจี๋กล่าวอย่างเฉยเมย
“ขอรับ” พวกเขาทั้งสองรีบโค้งตัวอย่างเร่งร้อน
เหลาไห่หลงลดหัวของตนเองและกำหมัดแน่น เจตนาสังหารของเขาเกือบจะรั่วไหลออกมาจากภายใน
จ้าวหวูจี๋อาจจะน่าเกรงขาม แต่ปู่ใหญ่ของเขาเองก็เป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ เช่นกัน แน่นอน เขาย่อมไม่กล้าโอ้อวดต่อหน้าจ้าวหวูจี๋ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยหลี่ฟู่เฉินและเฉินฟางหัวไปอย่างง่ายดาย
เขาจะทนกับความอัปยศในวันนี้และจะทำให้พวกมันชดใช้เป็นร้อยเท่าในอนาคต
มองไปยังเหลาไห่หลง จ้าวหวูจี๋แจกแจง “ปู่ใหญ่อาวุโสเหลาของเจ้าเป็นบุคคลที่โดดเด่น อย่าได้ทำให้เขาเดือนร้อน กฎของนิกายไม่อาจได้รับการผ่อนปลน”
ทั้งคู่เป็นผู้อาวุโสชั้นใน จ้าวหวูจี๋ยังคงต้องแสดงความเคารพขั้นพื้นฐานต่อผู้อาวุโสเหลา
“เอาหล่ะ กลับไปทำธุระของตนเอง” โบกมือของเขา จ้าวหวูจี๋ก็บินออกไป
“เพียงแค่รอ” มองไปที่หลี่ฟู่เฉินและเฉินฟางหัวอย่างชั่วร้าย จากนั้นเขาก็หันและจากไป
“ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสอง”
เมื่อเหลาไห่หลงจากไป หลี่ฟู่เฉินประสานมือเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเฉินฟางหัวและจ้าวหมิ๋งเยวี่ย
หากไม่ใช่เพราะพวกเธอทั้งสอง อย่างมากสุดเขาก็คงตกตายอยู่ที่นี่
เขาไม่ได้คิดว่าตระกูลเหลาจะมีคนที่กล้าหาญมากพอที่จะฆ่าศิษย์ชั้นใน
ขณะนี้เอง ที่เขาตระหนักได้ว่าตัวเองยังอ่อนแอ่เกินไป
เขาไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ให้ได้ภายในไม่กี่ปี
เพราะมันเป็นไปไม่ได้และไม่สมจริง
แต่เขาสามารถกลายเป็นศิษย์หลักได้ถ้าเป็นภายในไม่กี่ปีนี้
ศิษย์หลักคือเสาหลักในอนาคตของนิกายคังหลุน ใครก็ตามที่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับศิษย์หลัก มันก็คล้ายกับการเผยว่าตนเองจะรุกรากนิกายคังหลุนและจะได้รับความโกรธแค้นของสมาชิกระดับสูงในนิกายคังหลุน
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าต้องระวัง เหลาไห่หลงมีลุง เหลาเทียนจุน ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ชั้นในด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด เมื่อเห็นว่าเจ้าทำให้เหลาไห่หลงต้องอับอาย ลุงของเขาคงจะไม่ปล่อยให้เจ้าเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บ” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยให้คำแนะนำ
ตระกูลโบราณน่ากลัว พวกเขายากหยั่งถึง รากฐานที่มั่นคงและจึงสามารถผลิตบุคคลที่มีความสามารถออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เหลาเทียนจุนอาจไม่ใช่คนที่มีโครงกระดูกระดับ 4 ดาว แต่อย่างน้อยก็เป็นโครงกระดูกระดับ 3 ดาว ความเร็วในการฝึกฝนของเขานั้นเท่ากับของหลี่ฟู่เฉิน หลี่ฟูเฉินปัจจุบันยังไม่สามารถจัดการกับเหลาเทียนจุนได้
“เหลาเทียนจุน? อ่า ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่ฟู่เฉินจดจำชื่อนี้ไว้ในใจของเขา
เขาไม่กลัวเหลาเทียนจุนที่จะมาแก้แค้น ศิษย์ชั้นในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากังวล ภายในหนึ่งปี เหลาเทียนจุนจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา
เฉินฟางหัว “ข้าเองก็ไปรุกรานตระกูลเหลาด้วยเช่นกัน หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ มาหาข้า”
เธอรู้สึกหดหู่ใจ การรุกรานตระกูลเหลาไม่ได้เป็นผลลัพธ์ที่เธอต้องการ เธอไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลเหลานั้นจะเย่อหยิ่งมาก เพียงแค่หยุดพวกเขาจากการฆ่าหลี่ฟู่เฉินก็ทำให้เกิดการล้างแค้นได้
ในใจของเธอคิดว่า ‘หลี่ฟู่เฉิน ข้าหวังว่าเจ้าจะยังคงท้าทายสวรรค์และรักษาความเหนือกว่าเช่นนี้ไว้ เช่นนั้นแล้วความพยายามในการช่วยชีวิจเจ้าของข้ามันจะไม่สูญเปล่า’
“เฉินชิเจี๋ย วันนี้ข้าได้รับการช่วยชีวิตไว้ ข้าจะตอบแทนเจ้าในอนาคตเป็นสิบเท่า” หลี่ฟู่เฉินกล่าวอย่างจริงจัง
“ตราบเท่าที่เจ้ายังจำได้” เฉินฟางหัวหัวเราะคิกคัก