DC บทที่ 150: ห้องบรรยาย (ฟรี)
DC บทที่ 150: ห้องบรรยาย
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยผู้อาวุโสระดับสูงที่มีพลังการฝึกปรือลึกล้ำของสถาบันสี่ฤดู ซูหยางยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าสถาบันหญิงด้วยท่าทางสงบ ไม่มีความกดดันใดๆทั้งสิ้นแม้ว่าจะถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนที่ทรงอำนาจมากหลาย
“เขาเป็นคนที่ให้ตำรับยากับผู้อาวุโสเติ้ง ช่างอายุน้อยมาก…”
เจ้าสถาบันหญิงมองดูซูหยางด้วยสายตาแปลกประหลาด แม้ว่าเธอจะได้ยินเรื่องเขามาก่อนหน้านี้จากผู้อาวุโสเติ้ง แต่ก็ยังคงประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นเขาด้วยตนเอง
สามารถวางตัวสงบเยือกเย็นในขณะที่อยู่ต่อหน้าผู้เก่งกาจจำนวนมากมาย รวมไปถึงเจ้าสถาบันหญิงของสถาบันสี่ฤดู เขาต้องมีความมั่นใจอย่างแท้จริงว่าจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้นกับตัวเองแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
“ข้าจะพูดให้ตรงจุด” เจ้าสถาบันหญิงนำเอาตำรับยาโอสถแยกวิญญาณออกมาแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครและมีจุดมุ่งหมายอะไรในการให้กระดาษแผ่นนี้กับพวกเรา”
“โอสถแยกวิญญาณเป็นของขวัญจากเซียนหานซิน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของผู้ก่อตั้งสถาบัน ไม่นานนักหลังจากที่สถาบันสี่ฤดูก่อตั้งขึ้น นอกจากนี้เท่าที่เรารู้ ยานี้มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ อีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นสมบัติที่ทรงค่าหาที่เปรียบ”
“พวกเราพยายามที่จะสร้างยานี้ขึ้นมาใหม่นับตั้งแต่พวกเราได้รับมัน แต่น่าเสียดาย พวกเรามิอาจแม้กระทั่งเข้าใกล้เป้าหมายหลังจากที่ใช้เวลาหลายร้อยปี”
“แต่ชายหนุ่มที่โผล่มาจากไหนโดยไม่มีใครรู้ มาพร้อมด้วยตำรับยาสำหรับโอสถแยกวิญญาณ…”
“เจ้าต้องการอะไรจากพวกเรา”
ทั้งห้องพลันเงียบลงหลังจากที่เจ้าสถาบันหญิงกล่าวจบ ทุกคนในห้องจับตามองไปยังซูหยางและชิวเยวี่ย
แม้ว่าจะไม่มีอะไรแสดงให้เห็นบนใบหน้า แต่พวกเขาล้วนกระวนกระวายรอคอยให้ซูหยางพูด กระทั่งเจ้าสถาบันหญิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการนั้นง่ายดายมาก โอสถแยกวิญญาณของพวกท่าน”
ได้ยินคำพูดของเขา นอกจากถอนหายใจเล็กน้อย เจ้าสถาบันหญิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอื่นอีก
“เจ้ายังคงคาดหวังเช่นนั้นอีก เฮ้อ”
เจ้าสถาบันหญิงพยักหน้า และกล่าวว่า “ถึงเป็นเช่นนั้น แต่โชคร้าย ข้ามิอาจตอบรับคำขอของเจ้าได้”
“มีสองเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเจ้าจึงต้องการโอสถแยกวิญญาณทั้งที่มีตำรับยาอยู่แล้ว หนึ่งก็คือเจ้าไม่มีความสามารถในการปรุงมันขึ้นมาด้วยตัวเอง สองตำรับยาเป็นของปลอม”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เจ้าสถาบันหญิงหรี่ตามองดูซูหยางด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ถ้าเป็นเหตุผลข้อหลัง ไม่ว่าเจ้าจะมีอิทธิพลหนุนหลังมากแค่ไหน ข้ายังมั่นใจว่าเจ้าต้องชดใช้สำหรับความระห่ำนี้
"..."
ห้องกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่บรรยากาศแตกต่างกันมหาศาล
ซูหยางสามารถรู้สึกได้ถึงความกดดันที่มองไม่เห็นทับลงมายังตัวเขา ถ้าคำพูดต่อไปที่ออกมาจากปากเขาเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการได้ยิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องโจมตีเขาในทันที
อย่างไรก็ตาม สำหรับการโต้ตอบ ซูหยางกลับหัวเราะเสียงดังลั่น ไกลจากการคาดคิดของทุกคนในที่นั้น
“คงผิดความคาดหมายสำหรับท่าน เหตุผลทั้งสองล้วนผิดพลาด” เขากล่าวขณะฉีกยิ้ม
“เจ้าว่ากระไร” เจ้าสถาบันหญิงและทุกคนในห้องต่างพากันขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา ถ้าเขามีความสามารถที่จะผลิตยาและมีตำรับยา เขาจะมาที่นี่ทำอะไร มาเพื่อขอโอสถแยกวิญญาณเช่นนั้นหรือ
“เหตุผลข้อเดียวที่ข้ามาที่นี่นั้นง่ายดาย เพราะว่ามันต้องใช้เวลามากเกินไปในการเก็บรวบรวมวัตถุดิบและสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง มันยุ่งยากเกินไป” เขากล่าวด้วยเสียงสดใส สร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่นั่น
“ว่ากระไร”
ทุกผู้คนที่นั่นเกือบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาต้องการแลกเปลี่ยนตำรับยาที่ทรงค่ามากเพียงนั้นเพียงเพราะว่ามันยุ่งยากเกินไปที่จะทำมันด้วยตนเองงั้นรึ ไม่น่าเชื่อ คงเป็นอีกเรื่องถ้าเขาเป็นเจ้าของตำรับยา แต่เกือบทุกคนในนั้นมั่นใจว่านั่นเป็นของตระกูล และเขาก็เป็นแกะดำของตระกูล
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะเพราะจนคำพูด เจ้าสถาบันหญิงกล่าวว่า “ถ-ถึงเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าเกรงว่า ข้ายังมิสามารถที่จะให้โอสถแยกวิญญาณแก่เจ้าได้ ในเมื่อมันเป็นของขวัญมอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเราจากเซียนหานซินผู้ยิ่งใหญ่ การละทิ้งของขวัญของเขาก็เหมือนกับการละทิ้งความปรารถนาดีและตบหน้าเขา”
“ฮาาา...ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้...ช่างโชคร้ายนัก” ซูหยางถอนหายใจ ทำให้ผู้คนที่นั่นต่างพากันรู้สึกไม่ดีขวัญหาย
“จ-เจ้าจะทำอะไรต่อไป” เจ้าสถาบันหญิงถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“แทนที่จะเป็นโอสถแยกวิญญาณ ข้าต้องการวัตถุดิบทุกอย่างในตำรับที่ข้าให้พวกท่านแทน ข้าจะปรุงมันด้วยตัวเอง นี่คงเป็นสิ่งที่พวกท่านสามารถทำได้ ใช่หรือไม่”
“เขาคงหมายความอย่างนี้นี่เอง” เจ้าสถาบันหญิงอุทานอยู่ในใจ
เธอจึงหันไปมองที่กระดาษสองสามวินาที
“เช่นนี้ก็ดี” เธอกล่าวขึ้นในที่สุด “แต่มันต้องใช้เวลาสองสามวันเพื่อเตรียมวัตถุดิบบางอย่าง ในเมื่อบางอย่างค่อนข้างหายากแม้กระทั่งในสำนักใหญ่เช่นพวกเรา”
ซูหยางพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว เขาสามารถใช้เวลาสองสามวันนี้เพื่อฝึกฝนปราณหยินจำนวนมากที่เขาได้รับมาจากวูจินจิงและทะลวงเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ ถ้าเขาปล่อยให้ปราณหยินจำนวนมากเช่นนี้อยู่ภายในจุดตันเถียนนานเกินไป มันอาจจะเกิดปัญหาให้กับพลังการฝึกปรือของเขาได้ง่าย ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าในการเปลี่ยนปราณหยินให้กลายเป็นปราณไร้ลักษณ์ในขณะที่เขายังคงมีเวลา
“ถ้าเจ้าต้องการ เรายังสามารถเตรียมห้องให้เจ้าได้ในเวลานั้น” เธอกล่าวเสริม
“ข้าย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ซูหยางไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธข้อเสนอนั้น
“งั้นก็ดี ข้าจักเริ่มตระเตรียม จนกว่าจะถึงเวลานั้น เจ้าสามารถเดินเล่นในสถาบันสี่ฤดูของข้าพร้อมกับหนึ่งในผู้อาวุโสเพื่อฆ่าเวลา”
“สำนักที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา หือ…”
แม้ว่าซูหยางจะไม่ได้สนใจเรื่องการปรุงยามากมายนักเช่นเดียวกับกระบี่ แต่มันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในใจเขา ในเมื่อมันทำให้เขานึกถึงเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
“ข้ายินดีรับข้อเสนอ” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“อื้อ”
เจ้าสถาบันหญิงมองดูผู้อาวุโสเติ้งและกล่าวว่า “ดำเนินการพาเพื่อนตัวน้อยนี่เที่ยวชมรอบบ้านของเรา และอย่าให้ใครสร้างปัญหาให้กับเขา นี่เป็นคำสั่งตรง ใครก็ตามที่ยังไม่เชื่อฟังก็ให้มาพบข้าโดยตรง พวกท่านได้ยินไหม”
เธอกล่าวในทำนองที่เหมือนกับว่าจะมีใครสักคนที่จะสร้างปัญหาให้กับซูหยาง หรือบางทีเธอกังวลว่าซูหยางจะสร้างปัญหาและต้องการให้ผู้อาวุโสเติ้งคอยเฝ้าดูเขา เพื่อป้องกันเขาทำอะไรน่าสงสัย
“ขอรับ ท่านเจ้าสถาบันหญิง”
แม้ว่าผู้อาวุโสเติ้งจะรู้สึกลังเลไม่อยากอยู่ใกล้กับซูหยางนานไปกว่านี้ แต่ก็ยอมรับภารกิจอย่างรวดเร็ว
หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับการเตรียมการ ผู้อาวุโสเติ้งก็พาซูหยางกับชิวเยวี่ยออกจากห้องและเริ่มพาพวกเขาเที่ยวชมรอบสถาบันสี่ฤดู
ครั้นเมื่อพวกเขาไปแล้ว ห้องที่เงียบสงบอยู่ตลอดเวลาพลันมีชีวิตชีวาขึ้น
“ท่านเจ้าสถาบันหญิง ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าเราสามารถเชื่อถือคนเช่นเขาได้ จะเป็นอย่างไรถ้าเขามีความคิดแอบแฝงอยู่”
“ผู้อาวุโสสูงสุดพูดถูก ท่านเจ้าสถาบันหญิง เรายังคงไม่มีเบาะแสว่าเขามาจากไหน อีกทั้งไม่มีการยืนยันตัวตน จะเป็นอย่างไรถ้าเขาต้องการสร้างปัญหาให้กับสถาบัน”
ข้อเสนอแนะและความกังวลถูกนำขึ้นมาพูดทันทีที่ซูหยางออกไปจากห้อง
“เราควรกดดันเขาให้เปิดเผยข้อมูลกับพวกเรามากกว่านี้ก่อนที่เราจะให้วัตถุดิบล้ำค้ามากมายเช่นนั้น เขาอาจจะดูสำรวมในตอนนี้ แต่ถ้าเรา---”
“พอแล้ว” เจ้าสถาบันหญิงยกมือห้าม และเธอกล่าวต่อครั้นเมื่อห้องกลับคืนสู่ความสงบ
“พวกท่านให้ความสนใจกับชายหนุ่มนั่นมากเกินไป...มิใช่เขาที่ข้าเป็นกังวล แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขาราวกับเป็นผู้คุ้มกัน”
“ว่ากระไร หญิงสาวคนนั้น เธอมีอะไร”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันงุนงง ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาที่จะให้ความสนใจกับชิวเยวี่ย เพราะการปรากฏตัวอย่างโดดเด่นของซูหยางในห้อง บ้าไปแล้ว พวกเขาทุกคนคิดว่าเธอเป็นเพียงคนรับใช้
“พลังการฝึกปรือของชายหนุ่มนั่นเพียงแค่เขตสัมมาวิญญาณขั้นต้น และข้าสามารถบอกได้ว่านั่นเป็นพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเขา ส่วนสำหรับหญิงสาวด้านหลังเขา... ข้ากลับมิรู้สึกถึงการมีตัวตนของเธอแม้ว่าเธอจะยืนอยู่ต่อหน้าสายตาของข้า ราวกับว่าข้ามองไปยังภูติผี”
“และวิธีการที่เธอมองข้า...มันเหมือนกับว่าเธอเตือนข้าว่าอย่าตัดสินใจอะไรง่ายๆ”
“เมื่อท่านพูดถึง ข้าก็มองไม่ทะลุถึงพลังการฝึกปรือของเธอเหมือนกัน”
เหล่าผู้อาวุโสต่างมีท่าทางตกตะลึง ครั้นเมื่อเขานึกขึ้นได้เช่นกัน เพราะว่าชิวเยวี่ยดูแล้วธรรมดาเกินไปจนกระทั่งพวกเขาละเลยการคงอยู่ของเธอ พวกเขามุ่งเป้าไปยังซูหยางผู้ที่ดูเหมือนเป็นคนรับผิดชอบ
เจ้าสถาบันหญิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ฮ้าาาาา...ไม่ว่าความสามารถในซุกซ่อนตัวตนระดับท้าทายสวรรค์ของเธอ หรือระดับ...ที่กระทั่งข้าผู้มีฝีมือเขตราชันวิญญาณระดับสูงสุด ไม่สามารถมองเห็นแม้เพียงเล็กน้อยถึงระดับพลังฝีมือของเธอ”
“นั่นมันเป็นไปไม่ได้ ท่านเจ้าสถาบันหญิงเป็นถึงหนึ่งในสามเขตราชันวิญญาณในทวีปแห่งนี้ คนที่อยู่จุดสูงสุดของวิชาฝีมือ เหตุใดจึงจะมีใครก็ไม่รู้ที่--”
“จุดสูงสุดของวิชาฝีมือรึ” เจ้าสถาบันหญิงพลันหัวเราะเสียงดัง สร้างความสับสนให้กับผู้อาวุโสของสถาบัน
“ลืมเรื่องข้าไปก่อน กระทั่งผู้เฒ่าของสำนักเทพกระบี่ยังมิกล้าที่จะพูดว่าเขาอยู่จุดสูงสุดของวิชาฝีมือ ไม่มีทางในเมื่อ”เธอ“ยังอยู่ที่นี่”
เมื่อเธออ้างถึงเจ้าสำนักของสำนักเทพกระบี่ เธอไม่ได้กล่าวถึงตำแหน่งฐานะแต่หมายความถึงพลังการฝึกปรือของเขาที่เข้าสู่เขตเทพวิญญาณระดับหนึ่ง ผู้ซึ่งถือว่าอยู่ในจุดสูงสุดของเขตปุถุชน
“เธอ...ท่านหมายถึง…”
ผู้อาวุโสต่างพากันนึกถึงผู้ที่เจ้าสถาบันหญิงพูดถึง แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอธิบายอะไรเลย
“ใช่แล้ว ธิดาเทพเซียนซูเยวี่ย ผู้ที่ข้ามผ่านขอบเขตของปุถุชนไปนานแล้ว ก้าวข้ามไปแม้กระทั่งเซียนหานซินในแง่ของพลังฝีมือ ซึ่งข้าไม่อาจมองเห็นแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้นท่านต้องการสื่อว่า...หญิงสาวคนนั้นมีพลังการฝึกปรือคล้ายกับเซียนซูเยวี่ย”
ผู้อาวุโสเริ่มมีเหงื่อหลั่งไหลครั้นเมื่อพวกเขาคิดถึงความเป็นไปได้นั้น
เพียงแค่การมีตัวตนของธิดาเทพเซียนซูเยวี่ยก็เพียงพอที่จะกลับขั้วพลังอำนาจในโลกนี้ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนอื่นที่มีพลังอำนาจคล้ายคลึงกัน
เจ้าสถาบันหญิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิได้คิดไกลเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่ปฏิเสธว่าความเป็นไปได้นี้มีอยู่”
“ท้ายที่สุด เป็นการดีที่พวกเราไม่ไปล่วงเกินพวกเขา แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีพลังอำนาจกล้าแกร่ง พวกเรามิอาจที่จะทำการเสี่ยง มิฉะนั้นรากฐานนับพันปีอาจจะล้มลงเพียงชั่วข้ามคืน”
"!!!"
ผู้อาวุโสต่างพากันพยักหน้าอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาโง่เกินที่จะทำการเสี่ยงเช่นนั้น
“นับแต่นี้ต่อไป พวกเราควรตั้งใจในการเตรียมวัตถุดิบในรายการนี้ซึ่งเขาจะได้จากไปโดยเร็วที่สุด”
เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันพยักหน้าเห็นพ้อง
-
-
-
“นี่คือห้องบรรยาย ผู้อาวุโสจะมาที่นี่อาทิตย์ละครั้งเพื่อที่จะบรรยายให้กับเหล่าศิษย์ซึ่งพวกเขาจะได้เปิดหูเปิดตา”
ผู้อาวุโสเติ้งชี้ไปยังพื้นที่กว้างเบื้องหน้าพวกเขา ในตอนนี้ห้องบรรยายคลาคล่ำไปด้วยบรรดาศิษย์หลายร้อยโดยมีผู้อาวุโสคนหนึ่งอยู่เบื้องหน้า เขานั่งอยู่หน้าเตาหลอมขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่ากำลังดำเนินการปรุงยา
เปรียบเทียบกับห้องบรรยายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ปกติว่างเปล่า ซึ่งยากจะมีผู้อาวุโสเข้าไปบรรยาย บรรยากาศในสถานที่แห่งนี้แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
ซูหยางหยุดเดินเพื่อมองไปยังห้องบรรยายจากระยะห่าง หรือให้เฉพาะเจาะจง เตาหลอม
“เจ้ามีความสนใจในยาที่เขาปรุงรึ” ผู้อาวุโสเติ้งถามหลังจากที่เห็นเขาจ้องมองไปยังห้องบรรยาย
“ยากระตุ้นวิญญาณขั้นสูง” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“ประทานโทษ” ผู้อาวุโสเติ้งมองดูเขาด้วยดวงตาที่มีแต่คำถาม
แต่ซูหยางไม่สนใจเขาและกล่าวต่อไปว่า “ตัดสินจากกลิ่น มันควรจะได้ออกมาโดยมีความบริสุทธิ์ประมาณ แปดสิบเปอร์เซนต์ อย่างมากที่สุดก็จะได้เป็นยาคุณภาพขั้นกลาง”
"..."
ถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสเติ้งได้แต่ยืนที่นั่นด้วยท่าทางโง่งม
“ข-ขออภัย...ข้าจักกลับมาโดยเร็ว”
หลังจากที่กล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็วิ่งไปยังห้องบรรยาย ปล่อยให้ซูหยางยืนอยู่ในที่ห่างไกลตรงนั้น