หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.14 - ความหวัง (ฟรี)
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.14 - ความหวัง
กู่ฉิงซานหยิบแผ่นหยกสีเลือดขึ้นมา หลังจากสำรวจอย่างระมัดระวัง เขาก็ถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป และค่อยๆกระตุ้นมัน
ทันใดนั้นเสียงแปลกๆที่ไม่อาจจินตนาการได้ก็ดังขึ้นจากแผ่นหยก
“เป้าหมายยังคงเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้ พิกัด94ใต้ , 726ตะวันออก คำสั่ง : ไล่ตามรามสูรไร้พักตร์และมารกระหายเลือดอย่างเต็มกำลัง”
ได้ยินแบบนั้น กู่ฉิงซานก็อึ้งไป
นี่คือคำสั่งลับของกองทัพมาร มันคือเหรียญบันทึกการปฏิบัติการทางทหาร
ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์นกตัวนี้ แท้จริงแล้วจะทำหน้าที่เป็นพลส่งสารของกองทัพมารที่เชี่ยวชาญการถ่ายทอดข้อมูลและการระดมกองทัพ
ความว่องไวของพลส่งสารนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก ยามที่มันบินเต็มกำลังบนน่านฟ้า หากไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก กู่ฉิงซานแน่นอนว่าย่อมไม่อาจสกัดอีกฝ่ายไว้ได้
หากไม่ได้รับข้อมูลและคำสั่งจากมอนสเตอร์นกตัวนี้ กองทัพมารจะต้องเบี่ยงเบนจากเป้าหมายที่พวกมันกำลังติดตามอยู่เป็นแน่
กู่ฉิงซานกะน้ำหนักของแผ่นหยกสีเลือดในมือ ก่อนจะเก็บมันใส่ถุงสัมภาระ
ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นเพราะฝีมือของตน ที่ได้ทำลายการควบคุมกองทัพมารลง
นกมารก็ได้ตายลงไปแล้ว สันนิษฐานว่าเหตุการณ์นี้คงทำให้รามสูรไร้พักตร์และมารกระหายเลือดสับสนไปอีกครู่หนึ่ง
ฐานวรยุทธของเขายังต่ำเกินไป สิ่งที่เขาสามารถทำได้จึงยังคงมีขีดจำกัด กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา
ด้วยเหตุเช่นนี้ ตนจึงต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในเวลานี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความแข็งแกร่ง! ฉันต้องการความแข็งแกร่ง!
ในขณะนี้ดวงตาของกู่ฉิงซานอัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนา
หลังจากล้างโคลนดำออกไปแล้ว เขาก็หันไปดูจ้าวหลิว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงสลบไสล กู่ฉิงซานจึงไปหยิบลูกศรมาเพิ่ม ก่อนจะคว้าธนูกองทัพ แล้วเดินออกจากค่ายไป
ยังไม่ทันจะถึงเวลาช่วงเย็น กู่ฉิงซานก็กลับมายังค่ายพร้อมซากมารอสูร
จริงๆแล้วเขาไม่ได้ไปไกลห่างเกินไป เนื่องจากฐานวรยุทธยังต่ำ ทำให้เขาต้องพรางตัวอยู่รอบๆค่ายทหาร คอยหลีกเลี่ยงมารอสูรที่ดูอันตรายเกินไปอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงสามารถล่าสังหารมารอสูรตัวเล็กระดับต่ำได้หลายตัว
มารอสูรเหล่านี้เป็นอสูรที่มีระดับต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งซากของมันนับว่าเหมาะสมสำหรับขอบเขตปราณปรับแต่ง
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่ยังอยู่เพียงระดับปราณปรับแต่งขั้น2ยังคงอ่อนแอ กู่ฉิงซานจึงถึงกับต้องใช้ลูกศรทั้งหมดที่เขามีในถุงสัมถาระ และได้มาหลายแผลบนร่างกาย เพื่อแลกกับการล่ามาได้ไม่กี่หัว
เรื่องนี้คงตำหนิเขาไม่ได้ ในปีแรก ช่วงเวลาที่ผู้เล่นเริ่มล่าสังหารมารอสูร หากไม่ใช้รูปแบบทีมขนาดใหญ่ และทุ่มอย่างสุดกำลังก็คงไม่อาจจับตัวหรือสังหารมารอสูรลงได้
และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงมารอสูรระดับเล็ก แต่ก็มีน้ำหนักถึง300-400จินเลยทีเดียว มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปในการเคลื่อนย้าย
และพื้นที่ในถุงสัมภาระยังคงมีจำกัด เพื่อรักษาความคล่องตัว กู่ฉิงซานจึงนำซากของมันกลับมาเพียงตัวเดียวเท่านั้น
ส่วนซากมารอสูรตัวเล็กๆตัวอื่น ถูกทิ้งไว้โดยเขา
ภายในป่าเต็มไปด้วยอันตรายนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายของเลือด หรือซากมารอสูร ที่กล่าวมานี้ล้วนสามารถดึงดูดพวกนักล่าได้อย่างรวดเร็ว
ระบบเทพสงครามดูจะขี้เหนียวเป็นอย่างมากสำหรับการล่าสังหารมารอสูรระดับต่ำ ตลอดทั้งวันที่ล่าสังหาร กู่ฉิงซานได้มาเพียง 1 แต้มพลังวิญญาณเท่านั้น
ทำให้ตอนนี้เขาครอบครองแต้มวิญญาณอยู่เพียง 4 แต้ม แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้มาก็ไม่เลวเลย เพราะในที่สุดมันก็เพิ่มจนถึง 10 แต้ม
เขาสามารถอัพเลเวลได้
ส่วนร่างมารอสูรขนาดเล็กถูกลากกลับมา ก็มีปริมาณเพียงพอสำหรับกู่ฉิงซานกับจ้าวหลิวกินไปได้อีกระยะหนึ่ง
หากไม่นับเรื่องศิลาวิญญาณว่าจะทำงานร่วมกับข่ายอาคมอำพรางได้ถึงเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีปัญหาสำหรับทั้งสองคนที่จะอยู่ต่อไปอย่างน้อยสิบวัน
เมื่อกู่ฉิงซานกลับมายังค่าย จ้าวหลิวก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
จ้าวหลิวยืนอยู่บริเวณประตูค่ายด้วยใบหน้าสิ้นหวัง จนกระทั่งเขาเห็นกู่ฉิงซานกลับมาพร้อมซากมารอสูรตัวเล็กที่อยู่เบื้องหลัง ท่าทีของจ้าวหลิวก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จ้าวหลิวโค้งเอวลง และจ้องมองไปยังมารอสูรขนาดเล็กซึ่งแน่นิ่งไม่ไหวติง
เขากล่าว “พี่กู่ ต้องขอบคุณนายจริงๆ ตอนนี้ก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าระยำนี่ปล่อยให้ฉันจัดการต่อเอง และรับประกันได้เลยว่านายจะต้องพึงพอใจกับมื้อเย็นวันนี้”
“นายเอามันไปได้เลย”
กู่ฉิงซานปล่อยมารอสูรลง และหันหลังกลับห้องไปทันที ก่อนจะคุกเข่าจากนั้นก็หลับตา
“ปัจจุบันค่าประสบการณ์ของคุณเต็ม 10/10 แต้มแล้ว ต้องการอัพเลเวลเลยหรือไม่?”
“ใช่”
ด้วยการเลือกของกู่ฉิงซาน ปราณและเลือดในร่างกายก็พลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณปะทุจวนจะเดือดพล่าน อย่างไรก็ตามมันก็ต้องพบกับด่านบางอย่างในร่างกายที่หยุดยั้งพลังวิญญาณลง และไม่อนุญาตให้มันผ่านไป
สามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของด่าน นั่นหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่จะทะลวงด่านนี้ไป!
นี่คือโอกาสที่จะทะลวงฝ่าเข้าไป!
กู่ฉิงซานปล่อยสภาวะทะลวงด่านให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ว๊ากกก!
กู่ฉิงซานตะโกนออกมาอย่างดุร้าย ฉับพลันนั้นหมอกบางอย่างก็ลอยล่องในชั้นอากาศ
เขาทำสำเร็จ! ในที่สุดก็สามารถทะลวงด่านและก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราณปรับแต่งขั้น3!
กู่ฉิงซานได้รับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นทันที มันแพร่กระจายไปยังเส้นชีพจรลมปราณทั่วร่างของเขาอย่างช้าๆ สร้างความอบอุ่นและบำรุงแก่ร่างกาย
ส่วนบาดแผลตามร่างกาย แม้จะเล็กน้อยแต่มันก็มีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ควรประมาท
กู่ฉิงซานปล่อยพลังวิญญาณอันอบอุ่นแผ่บำรุงไปทั่วร่างกายเพื่อรักษาบาดแผล ขณะเดียวกันเขาก็เรียกหน้าต่างสถานะขึ้นมา
“ค่าประสบการณ์ปัจจุบัน 0/15 แต้ม”
การจะอัพเลเวลขั้นต่อไป ยังคงต้องอาศัยการล่าสังหารอีกครั้ง
กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึึ้นมาก่อนในจิตใจของเขา
ความแข็งแกร่งของรามสูรนั้นอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นระดับที่กู่ฉิงซานทำได้เพียงเหลียวมองในปัจจุบันนี้
ด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของรามสูรไร้พักตร์ มันควรที่จะค้นพบถึงการดำรงอยู่ของค่ายทหาร แต่ทหารสองคนที่อ่อนแอ ก็คงเปรียบดั่งเป็นมดปลวกในสายตามันเท่านั้น รามสูรจึงมิคิดลงมือใดๆ
ความรู้สึกที่ว่าชีวิตและความตายถูกควบคุมโดยเผ่ามาร มันช่างไม่น่าอภิรมณ์เลยจริงๆ
กู่ฉิงซานเดินวนไปมาได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ตัดสินใจได้
แบบนี้ไม่ดีแน่ ต้องรีบฝึกฝนเพื่ออัพเลเวลทันที ต้องรีบก้าวเข้าสู่ขอบเขตระดับก่อตั้งโดยเร็วที่สุด
สิ่งที่พิเศษที่สุดในการเลื่อนระดับ จากปราณปรับแต่งไปยังระดับก่อตั้ง และจากระดับก่อตั้งไปยังระดับแก่นทองคำ และไปขอบเขตที่เหนือยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือ ในการเลื่อนระดับทุกๆขอบเขตล้วนมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์’ และแน่นอนว่ามันย่อมมีโอกาสที่จะล้มเหลวเช่นกัน
พลังศักดิ์สิทธิ์ในโลกใบนี้จะถูกแบ่งออกเป็น4ชนิด และมันก็เรียงลำดับเหมือนกันกับในโลกจริง อันได้แก่ หวูเต๋ากุ่ยซั่ง(หวนคืนไร้ลักษ์) , หวูหังเฉาฟ่าน (ห้าธาตุวิเศษ) , เทียนซวน(สวรรค์แต่งตั้ง) และ เฉินยี่ (ผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ)
หวนคืนไร้ลักษ์จะจัดอยู่ในประเภทกระตุ้นพละกำลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย และมีขอบเขตการเพิ่มขึ้นของพละกำลังค่อนข้างกว้าง ส่วนมากผู้ที่จัดอยู่ในประเภทนี้จะเหมาะสมกับผู้ฝึกดาบและฝึกกายภาพ
ห้าธาตุวิเศษจะสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณในร่างกาย เปิดผนึกธาตุทั้งห้าหรือล้วงลึกไปถึงรากจิตของธาตุทั้งห้า สามารถใช้พลังธาตุทั้งห้าและพลังธาตุจำเพาะในการต่อสู้
ส่วนสวรรค์แต่งตั้งนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ที่กู่ฉิงซานรู้จักก็มีมากกว่า 1000 ประเภท
ยิ่งเป็นพวกผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพโดยกำเนิด พวกนี้เป็นประเภทอาศัยโชคและแรงกระตุ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่อาจคาดคำนวนพลังได้
ในฐานะที่ถูกเรียกว่าผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพ ที่เพียงแค่ฉายาก็บอกแล้วว่าพิเศษกว่าคนอื่นๆ มันจึงเป็นชื่อที่เอาไว้เรียกคนที่มีสกิลเทวะ
สิ่งที่เรียกว่าสกิลเทวะนั้น มันคือการครองสวรรค์ชั้นฟ้าและผืนธรณีโลก เป็นตัวตนที่มักจะสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อ สามารถเปลี่ยนแปลงโลก กระแสแห่งโชคชะตา สามารถสั่งดาวตกให้ร่วงลงมา และสั่งให้สรรพสิ่งทั้งมวลสิ้นสุดลงได้
สกิลเช่นนี้ สำหรับผู้เล่นธรรมดาแล้วทำได้เพียงคาดหวัง แต่ไม่อาจเอื้อมถึงได้
แม้แต่ในต่างโลกใบนี้ ผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็ยังเป็นมนุษยชาติที่ฝึกวรยุทธและครอบครองสกิลเทวะ
กู่ฉิงซานไม่ได้คาดหวังว่าตนจะสามารถปลุกสกิลของเทียนซวน(สวรรค์แต่งตั้ง)ขึ้นมาได้ ยิ่งสกิลเทวะก็ไม่ต้องกล่าวถึง แม้กระทั่งพลังห้าธาตุก็ไม่คิดอาจเอื้อม
เขาเพียงแค่ต้องการที่จะได้พลังของหวูเต๋ากุ่ยซัง(หวนคืนไร้ลักษ์) เพราะมันจะช่วยเพิ่มพูนอำนาจในการต่อสู้ให้แก่เขาได้เป็นอย่างมาก
ต้องแน่ใจว่าจะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ และใช้มันเพื่อปกป้องชีวิตตน!
หัวใจของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แต่เขาก็ยังคงสงบ และมุ่งสมาธิถ่ายเทพลังวิญญาณอันอบอุ่นไปรักษาบาดแผล
หากอาการบาดเจ็บยังไม่ได้รับการรักษา จิตวิญญาณและร่างกายของเขาก็จะอ่อนล้า และไม่อาจดึงความแข็งแกร่งออกมาสู้กับมารอสูรได้
ควรลับมีดเตรียมพร้อมเอาไว้ เมื่อเกิดเหตการณ์ไม่คาดฝันจึงจะสามารถตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน ดังนั้นต้องให้เวลาในการฟื้นฟูตนเอง
หลังผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง จ้าวหลิวก็เข้ามา
พร้อมกับเนื้อมารอสูรที่ถูกรมควันดูหรูหราน่าอร่อยวางลงบนโต๊ะ
กู่ฉิงซานและจ้าวหลิวอิ่มเอมไปด้วยความสุขกับการกินอาหารมื้อใหญ่ พวกเขาสวาปามทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งลงรอบกองไฟและเอ่ยหารืออะไรบางอย่าง
“ในค่ายนี้มีอาวุธดาบไหม?” กู่ฉิงซานถาม
ปราณปรับแต่งขั้น 3 สามารถเริ่มฝึกฝนดาบได้แล้ว
มีธนูไว้ใช้โจมตีระยะไกล ระยะประชิดก็ต้องมีดาบ นี่คือวิสัยทัศน์ในโลกแห่งการต่อสู้ของกู่ฉิงซาน
“ดาบเหรอ?” จ้าวหลิวส่ายหัว “มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นถึงจะใช้ดาบได้ และในค่ายแห่งนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ได้ตายลงไปแล้ว อาวุธของเขาก็ถูกโยนลงไปในบ่อกักศพพร้อมๆกับร่างของเขานั่นแหละ”
และบ่อกักศพที่ว่า ก็ถูกรามสูรไร้พักตร์กวาดหายไปแล้วด้วยฝ่ามือเดียว เรียกได้ว่าแทบจะไม่หลงเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยว
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เขาเป็นผู้ฝึกดาบและถูกส่งย้อนเวลามาจุติใหม่ ทว่าตั้งแต่ต้นจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้เขากลับไม่แม้แต่จะได้สัมผัสกับปลายดาบ บอกตรงๆว่าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี