87 นกชื่อต้าเซี่ย
87 นกชื่อต้าเซี่ย
“ทำไมล่ะคะ?” เธอถาม
“เย้าปลูกสมุนไพรเพื่อหาเงิน ไม่ใช่มีไว้เพื่อการกุศล ถ้าคนในหมู่บ้านรู้ว่าสามารถขอยาจากเขาได้ฟรีๆ พวกเขาก็จะพากันมาขอยาจากเขา แล้วเขาจะปฏิเสธคนพวกนั้นได้ยังไง?” สามีของเธอพูด
“ฉันคิดว่าชาวบ้านก็น่าจะจ่ายเงินให้เขาอยู่แล้ว แล้วสมุนไพรก็ไม่ได้แพงมากขนาดนั้นหรอก” เธอพูด
“เย้าไม่ได้ปลูกสมุนไพรพอที่จะให้คนในหมู่บ้านใช้ได้ทุกคนนะ” สามีของเธอพูด
“คุณก็พูดถูก ฉันเห็นแปลงสมุนไพรของเย้านั้นไม่ได้มีสมุนไพรปลูกเอาไว้มากสักเท่าไหร่” เธอพูด
“เก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวเองให้ดี คราวหน้าเราค่อยเอาเงินไปจ่ายเป็นค่ายาให้กับเขา” สามีของเธอพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ”
...
ในตอนเช้าพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงมากนัก
หวังเย้าตื่นแต่เช้าเพื่อเริ่มกิจวัตรประจำวันของเขา คือการทำงานในแปลงสมุนไพรและฝึกพลังฉี เขาวางแผนที่จะเข้าเมืองวันนี้เพื่อถามเกี่ยวกับการลงทะเบียนของแพทย์แผนจีน ข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เนตอาจจะไม่แม่นยำนักและข้อกำหนดของแต่ละพื้นที่ก็อาจจะแตกต่างกันไป
ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะทำตัวสบายจนเกินไป หวังเย้ามองไปที่แปลงสมุนไพรและต้นไม้ที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
สมุนไพรทั่วไปนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วและเร็วกว่าสมุนไพรราก พวกมันคล้ายกับเมล็ดและผัก ต้นหนึ่งเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ส่วนอีกต้นนั้นเติบโตอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่หวังเย้าต้องการ เขาต้องการให้สมุนไพรรากนั้นเติบโตรวดเร็วเท่าๆกับสมุนไพรต้นอื่นๆ แต่เขาก็ยังหาหนทางนั้นไม่พบ เขาไม่สามารถทำลายสมุนไพรธรรมดาทิ้งไปได้ เพราะเขายังจำเป็นต้องใช้พวกมันในการต้มยา สร้างกำไรและเป็นปราการป้องกันสมุนไพรรากเอาไว้ คนส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถจดจำสมุนไพรรากเหล่านั้นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเหอฉีเชิงจำพวกมันได้ มันคือสิ่งสำคัญที่ต้องซ่อนสมุนไพรรากเอาไว้จากคนที่คิดจะทำลายพวกมัน
การเดินทางเข้าตัวเมืองเหลียนชานในครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่เขาหวังเอาไว้
เขาไปที่ศูนย์แพทย์แผนจีนและสอบถามเกี่ยวกับข้อกำหนดในการลงทะเบียนแพทย์แผนจีน แต่กลับไม่ได้คำตอบอย่างที่เขาต้องการ พนักงานในสำนักงานนั้นทั้งหยิ่งยโสและอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย บางทีอาจจะเป็นเพราะใกล้ปีใหม่แล้วจึงทำให้พนักงานต่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานที่ทำได้ หวังเย้าถามใครไม่เจอเลยในตอนสิบโมงเช้า เมื่อเขาถามว่าทุกคนไปไหนกันหมด จึงได้คำตอบว่ากำลังประชุมอยู่
“มันไม่ง่ายเลยที่จะสอบถามข้อมูล และคงจะยิ่งยากเข้าไปอีกถ้าฉันต้องการที่จะลงทะเบียน!” หวังเย้าถอนหายใจ
หวังเย้าเลยต้องโทรหาหวังหมิงเปาเพื่อถามว่าเขารู้จักคนที่ทำงานในศูนย์การแพทย์แผนจีนรึเปล่า จากนั้นไม่นานหวังหมิงเปาก็มาหาหวังเย้าพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง และเพื่อนคนนี้ก็ทำงานอยู่ในศูนย์การแพทย์แผนจีน เขาได้ช่วยอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทะเบียนและยังนำเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการลงทะเบียนมาให้หวังเย้าด้วย ข้อมูลที่เขาอธิบายนั้นไม่ได้ต่างไปจากที่หวังเย้าหาได้จากในอินเตอร์เนตเลย
การมีเพื่อนที่ถูกต้องสามารถทำให้ชีวิตของคนเราง่ายขึ้นมาก หวังเย้าคิด
หลังจากที่หวังเย้าได้รับรู้ที่ข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว ก็ถึงเวลากลางวันพอดี หวังเย้าก็ได้ชวนหวังหมิงเปาและเพื่อนของเขาทานอาหารกลางวันด้วยกัน และเขายังได้ถามคำถามอีกเล็กน้อยกับเพื่อนของหวังหมิงเปาในตอนที่กำลังทานอาหารกันอยู่
“มีใครที่มีคุณสมบัติครบพอที่จะมาเป็นอาจารย์ของผมได้บ้างไหม?” หวังเย้าถาม นี่คือสิ่งที่หวังเย้ากังวลมากที่สุด
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เดาว่าคงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น” เพื่อนของหวังหมิงเปาพูด “ข้อกำหนดนั้นเข้มงวดมาก และยากยิ่งกว่าคือการหาแพทย์แผนจีนที่ได้รับการรับรอง”
ความจริงแล้ว ในเมืองเล็กๆอย่างเหลียนชานนั้น มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงและหมอที่มีชื่อเสียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ทำงานด้านการแพทย์นี้ต่างก็รู้จักพวกเขา และหมอกลุ่มนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่เหลียนชานเป็นเวลานานด้วย พวกเขามักจะย้ายไปยังโรงพยาบาลใหญ่ๆในเมืองหลวงมากกว่า
เพื่อนของหวังหมิงเปาจากไปหลังจากที่ทานข้าวเรียบร้อยแล้ว หวังหมิงเปาเลยชวนหวังเย้าให้ไปที่ร้านของเขา และได้ชงชาให้กับหวังเย้าหลังจากที่พวกเขามาถึงร้านแล้ว
“ทำไมอยู่ดีดีนายถึงอยากลงเบียนเป็นแพทย์แผนจีนขึ้นมาล่ะ? มันไม่ง่ายเลยที่จะได้ใบรับรองและยากยิ่งขึ้นเมื่อนายไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการแพทย์เลย!” หวังหมิงเปาพูดเมื่อเขารินชา เขาถามเพื่อนของเขาเกี่ยวข้อกำหนดในการลงทะเบียนและได้รู้ว่ามันเป็นหนทางที่ยาวไกลและยากลำบากมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีพื้นฐานการแพทย์เลย
“ฉันจำเป็นต้องมีใบรับรอง” หวังเย้าพูด
สิ่งแรกนั้นคือระบบต้องการให้เขาได้ใบรับรองมา และบทลงโทษหากว่าเขาทำพลาดนั้นรุนแรงมาก สอง ใบรับรองจะทำให้เขาสามารถออกใบสั่งยาและรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะมีปัญหาใหญ่
“ฉันอาจจะช่วยให้นายได้ใบรับรองของเมืองนี้ได้ แต่ฉันไม่รู้จักคนที่มีอิทธิพลของมณฑลเลย นายพอจะรู้จักคนที่พอจะช่วยนายในมณฑลบ้างไหม?” หวังหมิงเปาถาม
ในมณฑลเหรอ? ใช่แล้ว!
หวังเย้าตาเป็นประกายเมื่อเขาคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ ก็คือ กั๋วซือหรง!
กั๋วซือหรงติดหนี้หวังเย้าอยู่ เรื่องที่เขาได้ช่วยชีวิตน้องชายของเธอเอาไว้ เธอให้สัญญาว่าจะช่วยเหลือเขาทุกเรื่องที่เขาต้องการ และสิ่งนั้นต้องไม่เกินกว่าความสามารถของเธอ กั๋วซือหรงดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่อยู่ในระดับสูงและอาศัยอยู่ในมณฑลฉีอีกด้วย
บางทีฉันควรจะโทรหาเธอ หวังเย้าคิด
“ฉันจะลองถามพ่อของฉันดู ถ้าเขาช่วยได้” หวังหมิงเปาพูดขึ้นในตอนที่หวังเย้ากำลังคิดถึงกั๋วซือหรง
“นายอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับพ่อของนายเลย ให้ฉันลองดูก่อนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ฉันจะบอกนายถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือนะ” หวังเย้าพูด
“ไม่ต้องคิดมาก เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉันนั้นแหละ” หวังหมิงเปาพูด
หวังเย้าอยู่ในร้านของหวังหมิงเปาจนกระทั่งมีลูกค้าเข้ามา เขาจึงได้ออกไป หวังเย้าขับตรงกลับไปที่บ้านของเขา หวังเย้าได้โทรหากั๋วซือหรงทันทีที่ถึงบ้านและอธิบายสถานการณ์ของเขาให้เธอฟัง กั๋วซือหรงได้พูดออกมาเพียงสามคำเท่านั้น “ไม่มีปัญหา”
ในสายน้ำเสียงของเธอนั้นดูผ่อนคลายและมั่นใจมาก ดูคล้ายกับว่าคำขอของหวังเย้านั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลย หวังเย้ายังได้ถามเกี่ยวกับอาการของปู่ของเธอด้วย เธอบอกว่า อาการของปู่นั้นดีกว่าที่คาดเอาไว้ และเธอต้องการจะขอบคุณหวังเย้าที่ได้ช่วยปู่ของเธอเอาไว้ได้ พวกเขาคุยกันอีกสักพักก่อนที่หวังเย้าจะวางสายไป
มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? หวังเย้าสงสัยเมื่อเขาวางสายแล้ว หลังจากที่วางสายจากกั๋วซือหรงแล้วเขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขา
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนอยู่ดีดีก็เริ่มเห่า
เกิดอะไรขึ้น? หวังเย้ารีบออกมาจากกระท่อมและเห็นว่าซานเซียนกำลังจ้องไปที่กระต่ายป่าที่เต็มไปด้วยเลือด
“โอ้โห้! นายจับกระต่ายมาได้เหรอเนี้ย!” หวังเย้าหัวเราะ
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเงยหน้าขึ้นและเห่าใส่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
หวังเย้ามองขึ้นไปและเห็นอินทรีย์อยู่บนนั้น เขาเห็นว่ามีเลือดติดอยู่ที่กรงเล็บและขนของมัน เห็นได้ชัดว่า อินทรีย์นั้นได้ไปล่ากระต่ายแล้วเอามาแบ่งกับซานเซียน
“ต้าเซี่ยเอาให้นายเหรอ?” หวังเย้าถาม
ต้าเซี่ยคือชื่อของอินทรีย์ที่ตั้งให้มัน สัตว์ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ควรที่จะมีชื่อที่ยิ่งใหญ่
กีสสสส! อินทรีย์ส่งเสียงดังตอบรับการเรียกชื่อของมัน