มารดาปีศาจ ตอนที่ 7 เลี้ยงดูซอมบี้
จ้าวฉิงสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าเจ้าซอมบี้ตัวนั้นมีความคิดเช่นเดียวกันกับเธอ ในขณะที่เธอต้องการจับเขามาเป็นอาหาร เขาก็ต้องการจับเธอไปเป็นอาหารเช่นกัน
หญิงสาวหรี่ตาลง จ้างฉิงเริ่มวางแผนการในใจว่าเธอจะจับซอมบี้ที่เฉลียวฉลาดตัวนี้ได้อย่างไร ถึงอย่างไรเธอก็ยังมีสติปัญญาของมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าหากเธอแพ้ซอมบี้ตัวนี้ในเรื่องการใช้สมอง เช่นนั้นคงทำให้มนุษยชาติต้องเสียหน้ามากแล้ว
โดยไม่เร็วไม่ช้า ทั้งหมดก็เดินทางต่อเนื่องมาได้อีกสองชั่วโมงแล้ว เห็นว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลายามบ่าย หญิงสาวจึงตัดสินใจจะเสาะหาสถานที่สำหรับพักผ่อนเสียหน่อย ในเมื่อเธอเองก็เหมือนจะเริ่มเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะยังไม่เหนื่อยล้าถึงเพียงนั้น ทว่าสภาพจิตใจของเธอก็เริ่มเปราะบางแล้ว เมื่อพบร้านค้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งมีซอมบี้ไม่กี่ตัวอยู่ด้านใน หญิงสาวก็จัดการกวาดล้างสถานที่อย่างรวดเร็ว หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จ้าวฉิงก็อุ้มเสี่ยวเปาจื่อเข้าไปด้านใน ขณะที่ยามค่ำคืนกำลังใกล้เข้ามา จ้าวฉิงซึ่งกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใกล้ๆ กับประตูได้ทันที
ก่อนหน้านี้เธอวางแผ่นไม้ขัดประตูไว้ เช่นนี้แล้ว หากมีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอก็จะสังเกตเห็นได้ทันที ท่ามกลางความเงียบเชียบ หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เงาตะคุ่มก็ตะกายผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
หน้าต่างนั้นก็เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่จ้าวฉิงให้ความสนใจเป็นพิเศษ รอคอยให้เงาร่างนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ จ้าวฉิงที่ตื่นเต็มตาแล้วก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และทุบเงานั้นกระแทกลงกับพื้นทันที จ้าวฉิงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเธอถูกกัดหรือข่วนโดยซอมบี้ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเสี่ยง
ด้วยความคล่องแคล่วว่องไว หญิงสาวจับแขนทั้งสองของซอมบี้ตรงหน้าเธอ จากนั้นก็มีเสียงแกร๊กดังขึ้น เธอหักแขนทั้งสองข้างของเขาไปเรียบร้อย ในเสี้ยววินาทีที่ซอมบี้นั้นพยายามจะยกศีรษะขึ้นมากัดเธอ จ้าวฉิงก็ยัดถุงเท้าใหม่เอี่ยมข้างหนึ่งเข้าไปในปากของเขา
หลังจากผ่านไปสองนาที เขาก็ถูกมัดไว้จนแน่นราวกับขนมแป้งทอด (ขนมทอดกรอบที่ทำมาจากแป้งถักแล้วนำไปทอดในน้ำมันจนท่วม) เจ้าซอมบี้ดิ้นรนอยู่บนพื้นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้
จ้าวฉิงเอนตัวเข้าไปใกล้ๆ แล้วจ้องมองดู เพียงปราดแรกก็บอกได้ว่าซอมบี้นี้ดูเหมือนวัยรุ่นอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้า ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์หล่อเหลาน่ารักไม่น้อย แย่หน่อยที่เขาดันไม่ใช่มนุษย์
หญิงสาวอุ้มเสี่ยวเปาจื่อที่กำลังหลับไปที่มุมห้องเพื่อนอนหลับต่อไป ครุ่นคิดถึงวิธีจัดการกับเจ้าซอมบี้ประหลาดตัวนี้ ขณะที่เตรียมวางแผนการสำหรับวันต่อไป
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวฉิงคืบคลานลุกขึ้นมาขณะที่มองไปยังเจ้าซอมบี้ซึ่งขดตัวอยู่ที่มุมอีกฝั่งหนึ่ง มันขดตัวเข้าหากันเป็นก้อนกลมและแสดงท่าทางน่าสงสารออกมา
สิ่งแรกที่จ้าวฉิงทำก็คือดูดซับเศษผลึกสีเทาชิ้นหนึ่งซึ่งดึงออกมาจากร่างของซอมบี้ เมื่อพิจารณาแล้วว่าผลึกเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียใดๆ ต่อร่างกายของเธอ หญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บบางส่วนไว้ให้กับเสี่ยวเปาจื่อ
เธอยังค้นพบอีกว่าบนตัวเจ้าซอมบี้ประหลาดนั่นมีผลึกที่เขาได้มาจากการฆ่าซอมบี้เหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ไม่ได้ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่หาได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าเธอจะต้องอยู่ที่นี่นานขึ้นอีกหน่อย เพื่อเก็บรวบรวมผลึกไว้บ้าง จากนั้นเธอจึงจะสามารถพาเสี่ยวเปาจื่อออกไปจากที่แห่งนี้ได้
การหลอกล่อซอมบี้มาฆ่านั้น เปรียบเทียบกันแล้วถึงอย่างไรก็ย่อมง่ายดายกว่าการล่อพวกผู้มีพลังพิเศษมาฆ่ามากนัก
ด้วยความคิดเช่นนี้ จ้าวฉิงจึงเตรียมตัวจะฆ่าซอมบี้ประหลาดตัวนี้ทิ้งเสีย หลังจากนั้นเธอก็จะออกไปข้างนอกเพื่อหาเสบียงให้เสี่ยวเปาจื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอมุ่งตรงเข้าไปหาเจ้าซอมบี้ประหลาดนั้น เขาก็ตื่นขึ้นมาและส่งเสียงคำรามร่ำร้องไม่หยุดราวกับว่ากำลังพยายามข่มขู่จ้าวฉิง
หญิงสาวย่อกายลง ยื่นมือข้างหนึ่งไปทางศีรษะของเจ้าซอมบี้ เขาดูจะฉลาดเฉลียวกว่าซอมบี้ตัวอื่นมากจริงๆ เพราะรับรู้ว่าจ้าวฉิงกำลังจะฆ่าเขา สีหน้าท่าทางอันดุร้ายตามธรรมชาติของเขาก็แปรเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็กระเถิบตัวถอยหลัง พร้อมกับเปล่งเสียงสะอื้นครวญครางเบาหวิวเพื่อแสดงออกว่าตนมีเจตนาดีและอยากเอาใจเธอ
ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะกลายเป็นสีดำหม่นไปเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังคงมีประกายเจือจางเหลืออยู่ในนั้นนิดหน่อย มือที่ยกขึ้นมาของจ้าวฉิงหยุดชะงักไปชั่วครู่ ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ เหตุผลที่เธอไม่ได้ฆ่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้ทันทีก็เพราะเธอรู้สึกว่าเจ้านี่ให้ความรู้สึกคล้ายกับตัวเธอเอง หญิงสาวรู้ว่าตนเป็นตัวประหลาดในหมู่มนุษย์ ในขณะที่เขาเป็นตัวประหลาดในหมู่ซอมบี้
อย่างไรก็ดี หากเธอต้องการจะนำซอมบี้ตัวหนึ่งไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ นั่นคงจะไม่สะดวกสบายอย่างมาก ดังนั้นจ้าวฉิงจึงตัดสินใจจะฆ่าเขา
ยามนี้เมื่อเห็นว่าเจ้าซอมบี้ตัวนี้พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด จ้าวฉิงก็อดนึกไปถึงยามที่เธอต้องจมอยู่ในกองเลือดของตนเอง เธอเองก็เคยกระหายจะอยู่รอดต่อไปเช่นกัน
“นายเข้าใจภาษามนุษย์หรือเปล่า?” จ้าวฉิงล้มเลิกความตั้งใจก่อนหน้านี้ เพียงเอื้อมมือออกไปสัมผัสเส้นผมยาวนุ่มละมุนของเขาเท่านั้น ถึงแม้ว่าเจ้าซอมบี้จะไม่อาจทำความเข้าใจถ้อยคำของจ้าวฉิงได้ แต่เขาก็ยังคงรับรู้ได้ว่าความต้องการฆ่าของเธอค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว เขาลนลานใช้ศีรษะของตนซุกไซ้ถูไถเข้ากับฝ่ามือของจ้าวฉิงเพื่อพิสูจน์ในเห็นว่าเขาเต็มใจจะเชื่อฟัง
จ้าวฉิงถอนหายใจ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเจ้าซอมบี้ “ก่อนจะออกไปจากเมืองนี้ ก็ติดตามฉันไปก่อนแล้วกัน พวกเราจะออกล่าผลึกพวกนั้นด้วยกัน แล้วนายก็จะได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสี่”
เห็นท่าทางเชื่องเชื่อของเจ้าซอมบี้ จ้าวฉิงก็แอบรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเธอก็ยังคงระมัดระวังตัวเตรียมพร้อมอยู่เสมอในขณะที่เธอแก้มัดให้เขา เจ้าซอมบี้ไม่ได้จู่โจมเธออีก เขาเพียงแค่หมอบลงที่มุมนั้น
จากนั้นจ้าวฉิงจึงสังเกตเห็นว่า แขนทั้งสองข้างที่เธอเพิ่งจะหักมันไปเมื่อคืน ได้ฟื้นฟูกลับมาดีเหมือนเดิมแล้ว เจ้าซอมบี้ตัวนี้พิเศษอย่างยิ่ง เห็นว่าเขามีพฤติกรรมเชื่อฟังดี จ้าวฉิงจึงส่งเศษผลึกให้เขาชิ้นหนึ่งเป็นรางวัล
เจ้าซอมบี้ใช้ดวงตาสีดำหม่นกลมโตของเขาจ้องมองมาที่จ้าวฉิง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงค่อยๆ เหยียดมือออกไปรับผลึกมาจากมือจ้าวฉิง จากนั้นก็ทานมันเข้าไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถย่อยสลายดูดซึมผลึกเหล่านี้ได้โดยตรง
หลังจากกินผลึกที่จ้าวฉิงให้เขาลงไปแล้ว เจ้าซอมบี้ก็คล้ายจะรู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น
“ทำท่าทางเซ่อซ่าอะไรอย่างนั้น ถ้างั้นต่อไปฉันจะเรียกนายว่า ‘เอ้อร์ไต’(เจ้าซื่อบื้อ)[1]” ขณะที่กล่าวเช่นนี้ จ้าวฉิงก็หลุดหัวเราะออกมาทันที ถูกตั้งชื่อว่าเอ้อร์ไต เจ้าซอมบี้ก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่ชื่อที่ดีนัก แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้ง อันที่จริงคือเขาไม่กล้าโต้แย้ง เขาถึงขนาดทำท่าทางคล้ายตื่นเต้นยินดีให้จ้าวฉิง ชวนให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาช่างน่ารักน่าเอ็นดู
เห็นว่าทั้งข้างแก้มและเสื้อผ้าของเอ้อร์ไตสกปรกเอามากๆ จ้าวฉิงรู้สึกว่าเธอควรจะช่วยทำความสะอาดให้เจ้าซื่อบื้อนี่เสียหน่อย
หญิงสาวหาอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่จนพบ เธอเติมน้ำเข้าไปจนเต็ม หลังจากนั้น เธอก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของเจ้าซื่อบื้อออกมา เอ้อร์ไตยืนอยู่ตรงนั้น ซื่อตรงและไร้เดียงสา ปล่อยให้จ้าวฉิงปอกลอกเสื้อผ้าเขาออกจนล่อนจ้อน
สายตาของจ้าวฉิงมองลงไปข้างล่าง กวาดผ่านร่างกายอันซีดเซียวของเอ้อร์ไต จากนั้นก็หยุดลงที่ตำแหน่งจำเพาะเจาะจงแห่งหนึ่ง: “อ๊า! ไม่คิดเลยว่ามันจะยังไม่เน่าเปื่อยและหลุดออกไป”
เอ้อร์ไตผู้ไม่แสดงออกถึงอาการอับอายขายหน้าใดๆ ก็เริ่มรู้สึกประหลาดๆ ขึ้นมา จึงได้พยายามถอยหนีไปทันที ทว่าขณะที่เขากำลังพยายามถอยหลังไปนั้น เขาก็โดนจ้าวฉิงจับโยนโครมลงไปในอ่างทั้งตัว
ก่อนจะโยนเขาลงไป จ้าวฉิงยังหยอกล้อเกี่ยวกับบริเวณลับเฉพาะของเขา เธอหัวเราะคิกคักขณะเอ่ยว่า “แต่ขนตรงนั้นร่วงออกไปหมดเลย....”
จากนั้นจึงเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของเจ้าซื่อบื้อ จ้าวฉิงก็เลยเริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาบ้าง และเริ่มทำความสะอาดให้เอ้อร์ไตทันที
จริงๆ แล้วซอมบี้นั้นไม่ชอบน้ำ เขาจึงสะบัดตัวไปมาในน้ำไม่หยุดหย่อน แต่จ้าวฉิงก็ยังสามารถทำให้เขาสะอาดเกลี้ยงเกลาไปทั้งตัวจนได้
หลังจากล้างตัวให้เขาและพาไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ถ้าใครไม่ได้สังเกตดีๆ ก็จะไม่รู้เลยว่าเอ้อร์ไตนั้นเป็นซอมบี้ตัวหนึ่ง
หลังเช็ดถูเส้นผมของเอ้อร์ไตที่เกาะติดกันจนสะอาด ในที่สุดจ้าวฉิงก็รู้สึกพึงพอใจอย่างเต็มที่ ตอนแรกที่เธอช่วยเขา จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะความเห็นอกเห็นใจเพียงชั่ววูบของเธอเอง ทว่าตอนนี้ เธอกลับมาครุ่นคิดดูดีๆ แล้ว มีซอมบี้สักตัวเป็นผู้ช่วยก็ถือว่าไม่เลวเลย
หากว่าอย่างน้อย ซอมบี้ตัวหนึ่งจะไม่แทงข้างหลังเธอ เช่นนั้นแล้ว เธอก็คิดว่ามีซอมบี้เป็นผู้ช่วยยังจะดีกว่ามีมนุษย์เสียอีก
เห็นโครงร่างหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่นั่งอยู่บนพื้น ใช้สายตางุนงงสงสัยในแบบเดียวกันจับจ้องมองมาที่เธอ หัวใจของจ้าวฉิงก็อ่อนยวบลง นี่เป็นความรู้สึกซึ่งหญิงสาวที่เป็นมารดาทุกคนย่อมมีอยู่ นั่นคือความรักของคนเป็นแม่....
ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนที่เปี่ยมล้นนี้ ไม่นานก็เข้าไปแทนที่บาดแผลในใจของจ้าวฉิง นำพาให้เธอตระหนักได้ชัดเจนขึ้นมา ว่านอกเหนือไปจากการแก้แค้น ก็อาจจะยังมีเหตุผลอย่างอื่นให้เธอดำรงคงอยู่อีกเช่นกัน
------------
[1] เอ้อร์ไต (二呆) เจ้าบื้อสองครั้ง ภาษาไทยน่าจะเป็น เจ้าซื่อบื้อ (เหมือนคำไทยที่ใส่เสียงซ้อนเพื่อเพิ่มอารมณ์ เช่น เซ๊อเซ่อ, ทึ๊มทึ่ม, บื๊อบื้อ, โง๊โง่ ฯลฯ)