มารดาปีศาจ ตอนที่ 9 ถูกเปิดเผย
ทั้งสองฝ่ายล้วนตระหนักดี ไม่มีใครเชื่อใจใคร กลุ่มหญิงสาวและเพื่อนๆ ของเธอนั้นอยากจะขุดคุ้ยความลับของจ้าวฉิงออกมา ว่าเธอสามารถรอดชีวิตอยู่ในเมืองโดยอาศัยอยู่ด้วยตัวเองเพียงลำพังเป็นเวลานานขนาดนี้ได้ยังไง ในขณะที่จ้าวฉิงเองก็รู้สึกสนอกสนใจในผลึกของพวกเขา
ส่งผลให้ แม้ว่าพวกเขาจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเป็นมิตร มีท่าทีสุภาพสัตย์ซื่อ แต่อันที่จริงแล้วแต่ละฝ่ายล้วนตื่นตัวอย่างมาก โดยเฉพาะจ้าวฉิง ตอนแรก เธอตั้งใจว่าหากอีกฝ่ายไม่โจมตีก่อน เธอก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการสำรวจอาคารขนาดใหญ่แห่งนี้ ถึงอย่างไร เธอก็ไม่รู้จักทั้งสี่คนนี้ดีนัก ดังนั้นจึงไม่มั่นใจว่าเธอจะมีโอกาสเอาชนะได้สักกี่ส่วน
แต่สิ่งต่างๆ ในโลกมักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ทันทีที่เธอเพิ่งเดินขึ้นไปถึงหน้าบันไดทางขึ้นชั้นสอง ชายอ้วนนั้นก็หันศีรษะกลับไปและตะโกนออกมา “ผิดท่าแล้ว มีคนอื่นอยู่อีก!”
เมื่อพวกนั้นได้ยินเช่นนี้ ชายที่มีท่าทางเคร่งขรึมซึ่งเป็นผู้ใช้ธาตุลม ก็ปลดปล่อยคมมีดสายลมพุ่งตรงไปยังทิศทางที่เจ้าอ้วนหันหน้าไปทันที เงาร่างของเอ้อร์ไตที่เดิมซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบ กลับคำรามออกมาอย่างโกรธเคือง แล้วโยกกายหลบคมมีดสายลม เขาจึงเปิดเผยตัวเองออกมาด้วยการกระทำเหล่านี้เอง
สีผิวซีดขาว ดวงตาสีดำอมเขียว ม่านตาสีแดงเข้ม รวมกับท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายที่ดูแข็งทื่อกว่าคนปกติธรรมดา จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์
ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูเรียบร้อยไร้เดียงสา มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาคือซอมบี้ตัวหนึ่ง
สีหน้าของกลุ่มคนทั้งสี่เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา พวกเขาไม่เคยเห็นซอมบี้ที่มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวถึงขนาดนี้มาก่อน พิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว นี่แทบไม่แตกต่างอะไรจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย
หัวสมองของชายร่างสูงฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้เร็วที่สุด ยามที่สายตาของทุกคนล้วนจดจ้องอยู่ที่เอ้อร์ไต เขาก็แผดเสียงออกมาดังลั่น “ระวังข้างหลังนาย!”
อย่างไรก็ตาม คำเตือนนี้ช้าเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาที่สามคนที่เหลือหันศีรษะกลับมา พวกเขาก็เห็นเจ้าอ้วนที่ดวงตาเบิกกว้าง ทรุดกายคุกเข่าลงไปกับพื้น จากนั้นก็ล้มตึงลงเสียงดังสนั่น ด้านหลังศีรษะนั้นมีรูกลมรูหนึ่ง มันสมองและเลือดไหลทะลักออกมา
จ้าวฉิงสะบัดเลือดออกไปจากเล็บมือ เธอเก็บผลึกสีขาวลงไปอย่างหงุดหงิด หญิงสาวที่มองดูอยู่รู้สึกว่าแข้งขาของตนพลันอ่อนยวบลงทันที “เธอ.... เธอไม่ใช่มนุษย์!”
มนุษย์จะยืดขยายและหดกรงเล็บได้อย่างอิสระอีกทั้งกรงเล็บนั้นยังมีสีดำซ้ำยังคมกริบราวกับใบมีดได้อย่างไรกัน เพ่งดูจ้าวฉิงอย่างละเอียดอีกครั้ง พวกเขาจึงสังเกตเห็นว่าสีผิวของเธอดูเผือดซีด ใต้ดวงตานั้นก็มีสีแดงแผ่ออกมาเจือจาง
แม้แต่เสี่ยวเปาจื่อซึ่งโผล่หน้าออกมาจากไหล่ของเธอก็กลับกลายเป็นน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง โดยเฉพาะดวงตาที่น่าสะพรึงกลัวของเขาคู่นั้นที่จ้องมองมา
ยามนี้พวกเขาจึงได้ค้นพบความลับที่แท้จริงของจ้าวฉิง ว่าเหตุใดเธอจึงสามารถอยู่รอดได้ในเมืองเป็นเวลาเนิ่นนานปานนี้ กลับกลายเป็นว่า หญิงสาวสะสวยสง่างามตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
“ตอนแรกฉันก็ไม่อยากฆ่าพวกคุณหรอกนะ” จ้าวฉิงยิ้มเยาะในขณะที่ดวงตาวาบประกายเย็นเยียบ “เอ้อร์ไต!”
เมื่อเอ้อร์ไตที่กำลังถูกคุกคามได้รับคำสั่ง เขาก็พุ่งทะยานเข้าไปหาสามคนที่เหลืออยู่ทันที เจ้าอ้วนที่อ่อนแอที่สุดถูกฆ่าตายไปแล้ว แม้ตอนนี้เหลืออยู่เพียงสามคนนั้น แต่ทุกคนที่เหลืออยู่ล้วนจัดการไม่ง่ายเลย
สิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้เห็นไปหมดแล้ว ยามนี้จ้าวฉิงย่อมไม่อาจปล่อยให้คนเหล่านี้มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้ ในวินาทีที่เอ้อร์ไตเคลื่อนไหว เธอเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน
หลังจากฟื้นคืนชีพขึ้นมา ความเร็ว, พละกำลัง, และความทนทานของจ้าวฉิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งหลังจากได้ดูดซับผลึกไปมากมาย ความสามารถทุกด้านที่กล่าวถึงนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก เพียงทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเธอนั้นแต่เดิมก็นับได้ว่าเข้าขั้นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ยามนี้มีเล็บมือทั้งสิบอันคมกริบราวกับใบมีดเพิ่มขึ้นมาย่อมเป็นการเสริมพลังการต่อสู้ของเธอให้ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น
ขณะนี้ภัยพิบัติวันสิ้นโลกเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน ผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้ยังคงวุ่นวายอยู่ในระหว่างการค้นพบพลังของตัวเอง และยังไม่สามารถใช้พลังพิเศษเหล่านั้นได้อย่างเชี่ยวชาญโดยสมบูรณ์ ดังนั้นความแข็งแกร่งในการต่อสู้จึงลดลงอย่างมาก
เพียงครู่เดียว พวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยแผลและรอยฟกช้ำ ทว่าพวกเขากลับไม่อาจทำร้ายเอ้อร์ไตและจ้าวฉิงได้เลย
“ตายไปซะ!” ผู้หญิงที่ทรุดกายอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็แผดเสียงออกมาและทะยานตรงเข้าไปหาจ้าวฉิง ในฝ่ามือของเธอมีเปลวไฟสว่างจ้าที่กำลังรวมตัวกัน บอลไฟนั้นใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หน้าผากของเธอเริ่มหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
จ้าวฉิงสามารถบอกได้ในปราดเดียวว่า อีกฝ่ายได้ใช้พลังพิเศษทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ ใส่ลงในลูกไฟขนาดใหญ่ลูกนี้ ซึ่งขีดความสามารถของผู้ใช้ธาตุไฟระดับหนึ่งนั้นย่อมไม่อาจควบคุมมันได้ บอลไฟในรูปแบบนี้ หากใช้มันโดยไม่ระมัดระวังแล้วละก็ อาจถือได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อลากเธอลงนรกไปด้วย
ฉับพลันที่จ้าวฉิงเตรียมจะถอยหนีไป ชายร่างสูงก็ใช้โอกาสนี้ปลดปล่อยโซ่สายลมออกมาตรึงข้อเท้าของเธอไว้ ซึ่งไม่อาจดิ้นให้หลุดได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ขณะที่เอ้อร์ไตเอง ตอนนี้ก็ถูกจับไว้โดยบุรุษเคร่งขรึมผู้นั้น ดวงตาของจ้าวฉิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มองผู้หญิงคนนั้นด้วยเจตนาฆ่าฟันอันเปี่ยมล้น เธอรีบโยนเสี่ยวเปาจื่อออกไปทันที
รอจนหญิงสาวคนนั้นเข้ามาใกล้ๆ เธอตั้งใจจะบีบคอหอยของอีกฝ่ายให้แหลกคามือ ต่อให้ต้องตายไปด้วยกันจริงๆ คู่ต่อสู้ของเธอก็ต้องเป็นฝ่ายที่ตกตายไปก่อน!
แต่จ้าวฉิงย่อมไม่ต้องการตายไปพร้อมกับอีกฝ่าย เธอยังมีเสี่ยวเปาจื่อที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าหากเธอตายไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเสี่ยวเปาจื่อบ้าง เขายังเป็นเพียงแค่เด็กทารกที่ไร้เดียงสา อ่อนแอและบอบบาง จำเป็นต้องบริโภคเศษผลึกจากซอมบี้และผู้มีพลังพิเศษเป็นอาหาร ในช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติวันสิ้นโลกเช่นนี้ เขาจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร
ทว่า สถานการณ์ตรงหน้าไม่เป็นใจให้เธอเอาเสียเลย ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นพุ่งทะยานเข้ามา ดวงตาของจ้าวฉิงก็ยิ่งแดงฉานขึ้นเรื่อยๆ จดจ้องไปที่อีกฝ่ายแน่วนิ่ง ในใจของเธอรู้สึกกระวนกระวายมาก ถ้าหากเธอมีความสามารถในการโจมตีระยะไกลได้ล่ะก็ เธอคงไม่ต้องประสบความยากลำบากเช่นนี้!
ถึงแม้เธอจะมีร่างกายที่เสริมความแข็งแกร่งไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจบ่งบอกได้แน่ชัดว่า เธอจะสามารถเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่
เสียดายที่โลกนี้เรื่องสมมุติไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงต้านรับมัน บางทีหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นตายไป อาจไม่มีการระเบิดพลังใดๆ เกิดขึ้น
ทว่าสิ่งที่คาดหวังหลังจากนั้นก็อาจจะไม่เป็นจริงได้เช่นกัน
ยามเมื่อหญิงสาวคนนั้นพุ่งกายมาถึงตรงหน้าจ้าวฉิง จ้าวฉิงก็ยื่นมือออกมาหักคออีกฝ่ายทันที ทว่าทันใดที่ร่างกายของหญิงสาวผู้นั้นร่วงหล่นลงในอ้อมอกของจ้าวฉิง การระเบิดครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น เปลวเพลิงลุกวาบขึ้นไปสู่ด้านบน กลืนกินเงาร่างของทั้งสองคนจนหายลับไป
เอ้อร์ไตบ้าคลั่งทันที เขาร้องคำรามออกมาเสียงดังกึกก้อง สะบัดตัวบุรุษเคร่งขรึมผู้นั้นจนปลิวไปชนกำแพง เขาตะลีตะลานพุ่งทะยานเข้าไปหาระเบิดเพลิงก้อนนั้น ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยทึ่มทื่อกลับกลายเป็นดุร้ายอำมหิตในพริบตา