เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0070
ตอนที่ 70 : ท้าประลองอันดับหนึ่ง
คฤหาสน์จารึกเทวะ โถงหลักของตำหนักจารึกเทวะ
ต้วนเฉียนมาพบฉินหยุนที่ห้องก่อนจะโล่งใจที่เห็นอาการของฉินหยุนดีขึ้นตามลำดับ
เขาเดินไปหาฉินหยุนที่เตียงนอนและกล่าว “เมื่อครู่ มีบุคคลระดับสูงจากสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนมาพบ พวกเขาล้วนถามข้าเรื่องตัวตนของเจ้า แต่ข้าไม่ได้บอกอะไรไป... ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ อาการบาดเจ็บของเย่เสินเหล่ยและชี่เสวี้ยใกล้หายดีแล้ว นอกจากนี้ยังมาพร้อมอุปกรณ์และยันต์จำนวนมาก!”
ฉินหยุนลุกนั่งบนเตียงทั้งขมวดคิ้ว “ข้าต้องรีบท้าประลองเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ตราบเท่าที่จัดการนางได้ ผู้อื่นที่อยู่อันดับต่ำกว่าก็ยากปีนป่ายขึ้นมา!”
หยางฉีเย่ว์ผู้กำลังยืนอยู่เคียงข้างพลันกล่าว “การประลองยุทธ์มังกรซ่อนเร้นเดิมทีเป็นของสถาบันยุทธ์ระดับเสวียนทั้งสาม พวกเขาต้องการให้เด็กใหม่ของตนแข่งขันกันเองเพื่อหาว่าใครกันคือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า พวกเขาไม่เคยคิดว่าพวกตนจะต้องประสบความเสียหายร้ายแรงถึงระดับนี้!”
“ข้าทราบดี เพราะแบบนั้นถึงมีหลายคนอยากเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน คล้ายกับว่าตอนนี้นักเรียนส่วนใหญ่จะมีข้อตกลงร่วมกันกับสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน ตอนนี้เพื่อขัดขวางเจ้าไม่ให้ได้รับหญ้าหัวใจลึกล้ำ พวกเขาถึงกับลงทุนอย่างมหาศาล!”
ชี่เสวี้ยและเย่เสินเหล่ยอาการบาดเจ็บดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เพื่อรักษาในชั่วระยะเวลาอันสั้น พวกเขาต้องใช้โอสถราคาแพงล้ำไปมากมาย!
ต้วนเฉียนลูบหนวดตนเองขณะหัวเราะ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าฉินหยุนจะเก่งกาจเพียงนี้ ฉินหยุน เจ้าสามารถยืนหยัดที่อันดับสอง เมิ่งเฟยหลิงเป็นสหายกับเจ้า นางจะต้องช่วยเหลือเจ้าสกัดผู้คนที่คิดปีนป่ายขึ้นมาแน่!”
ฉินหยุนส่ายศีรษะและกล่าว “หญ้าหัวใจลึกล้ำสำคัญกับข้ามาก ข้าต้องท้าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยประลอง มาดูกันว่าข้าจะจัดการโค่นนางได้หรือไม่!”
ได้เห็นความตั้งใจของฉินหยุน ต้วนเฉียนจึงเอ่ยถาม “เจ้าต้องการสร้างยันต์หรือไม่? ข้าช่วยเหลือเรื่องหนังสัตว์ได้นะ!”
ฉินหยุนส่ายศีรษะและกล่าว “ด้วยพรสวรรค์ระดับเชี่ยวเย่ว์เหม่ย และยังมีเชี่ยวหลางเป็นตัวอย่างจากครั้งก่อน นางต้องระวังตัวเรื่องนี้อยู่แล้วแน่ขอรับ”
เขานำเอาค้อนหลอมของตนออกมาพร้อมกระชับมันแน่น “สิ่งเดียวที่ข้าสามารถพึ่งพาได้คือพละกำลังของตนเอง”
ต้วนเฉียนพยักหน้า “อย่าได้ฝืนตนจนเกินไป อย่าลืมว่าให้ทำเหมือนนี่คือการฝึกฝนอย่างหนึ่ง”
หยางฉีเย่ว์ไปส่งต้วนเฉียน เมื่อนางปิดประตู สีหน้าคล้ายเป็นกังวลไม่ใช่น้อย
นางเอ่ยถามเสียงเบา “ฉินหยุน เจ้าเปิดเผยกำลังภายในสั่นไหวออกไประหว่างการประลองกับเชี่ยวหลางหรือ?”
ฉินหยุนพยักหน้ารับเล็กน้อย
หยางฉีเย่ว์พบเห็นอยู่ก่อนแล้ว ที่ถามเพราะต้องการให้มั่นใจ นางกล่าว “เชี่ยวหลางคงยังไม่ฟื้นอีกสักพัก แต่เมื่อใดที่เขาฟื้นขึ้นมา เขาย่อมต้องทราบความลับนี้!”
“แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป กระทั่งว่าถูกเปิดโปงก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็มีเพียงแต่จักรพรรดินีกับผู้อื่นคิดพยายามหาเรื่องเจ้าหนักหน่วงขึ้น จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าเลื่อนระดับสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก”
“ขอรับ” ฉินหยุนพยักหน้ารับ
เมิ่งเฟยหลิงไม่ได้ท้าประลองชายหน้ากาก เรื่องนี้หลายคนล้วนสงสัย อันที่จริงเรื่องนี้นับว่าคลายความกดดันให้ฉินหยุนได้ไม่ใช่น้อย
นางสามารถหยุดฉินเฟิงที่บาดเจ็บ รวมถึงเย่เสินเหล่ยและชี่เสวี้ยได้
สองวันถัดมา ฉินหยุนฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เขาจึงไปยังแดนยุทธ์มังกรซ่อนเร้นเพื่อประกาศคำท้าประลองต่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ย!
พละกำลังของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม กล่าวได้ว่าในทุกครั้งที่ต่อสู้ นางแทบไม่จำเป็นต้องใช้ถึงสามกระบวนท่าก็ได้รับชัยชนะแล้ว
ทันทีเมื่อฉินหยุนประกาศคำท้า เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงตกลงรับคำท้าและจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง
หลังได้ยินข่าวคราวนี้ ฉินเฟิงและผู้อื่นที่ยังพักรักษาตัวอยู่ล้วนเร่งรีบมายังโรงฝึกมังกรซ่อนเร้น!
กระทั่งฉินเจิ้งเฟิงและฉินเทียนอี้ก็มาเช่นกัน
เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักดังในจักรวรรดิเทียนฉินต่างเร่งรีบมาเพื่อรับชมเรื่องราวครั้งนี้
เหตุผลก็เพราะตั้งแต่เชี่ยวหลางได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยชายหน้ากาก นี่เป็นเรื่องใหญ่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น
และครั้งนี้ ยังเป็นศึกระหว่างชายหน้ากากและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย!
ฉินหยุนยืนหยัดบนลานประลองขณะมองด้านล่างลานประลอง เขาได้เห็นใบหน้าคุ้นเคยไม่ใช่น้อย
เยี่ยนหยุน เว่ยเสวียนคุน หยวนหยานหยิง เจียงหลางผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์เสียงในตำนาน ทั้งยังมีอาจารย์และนักเรียนอีกหลายคนจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง พวกเขาล้วนมาที่นี่
ทั้งยังมีข้าราชบริพารเฒ่าหลายคนจากจักรวรรดิเทียนฉินมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เชี่ยวเย่ว์เหม่ย
พี่สาวของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยคืออนาคตของเทียนฉิน พวกเขาย่อมต้องการเอาอกเอาใจ
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีความสำคัญมารวมตัวกัน เรื่องราวนี้หาพบได้ยากยิ่งนัก!
“นี่ข้าตั้งความหวังกับการประลองยุทธ์นี้ไม่ใช่น้อยเลยนะ ชายหน้ากากเพียงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าถึงกับมาได้เพียงนี้ บรรดาอัจฉริยะเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ล้วนโดนเขากำราบจนมีสภาพดูไม่ได้กันแทบทุกคน!”
“พรสวรรค์ของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเลิศล้ำกว่าเชี่ยวหลาง พละกำลังของนางแข็งแกร่งอย่างไม่มีผู้ใดตั้งคำถาม นางสมควรจัดการชายหน้ากากเพื่อคว้าชัยชนะเอาไว้ได้!”
“วิญญาณยุทธ์ของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยยังลึกลับนัก ไม่มีใครทราบเรื่องเกี่ยวข้องกับนางเลย เพราะแบบนี้นางถึงแข็งแกร่งยิ่ง นอกจากนี้นางยังอายุเพียงสิบสี่ก็มีพลังขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หกแล้ว”
“เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมาถึงแล้ว!”
อย่างกะทันหัน คนผู้หนึ่งตะโกนขึ้น ฝูงชนที่สนทนากันออกรสพลันเงียบเสียงลงทันทีทันใด
พวกเขาหันมองหารอบด้านก่อนจะพบเด็กสาวกำลังก้าวเดินเชื่องช้าเข้ามา นางวันนี้สวมใส่ชุดรัดรูปแนบกายสีขาวกระจ่าง ทั้งยังใส่หน้ากากสีเทาที่ใบหน้า
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยสวมใส่หน้ากากโดยตลอด ดังนั้นทุกคนจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ทว่าครั้งนี้ก็ต้องทำให้ทุกคนผิดหวังอีกครั้ง ทุกคนต่างคิดว่านางจะถอดหน้ากากออกยามรับศึกใหญ่เช่นนี้ และเมื่อนั้นนางจะได้เป็นศูนย์รวมความสนใจ
เรื่องราวชวนขันเล็กน้อยคราวนี้คือ นี่เป็นศึกระหว่างสองผู้สวมหน้ากาก
ทว่าตัวตนของชายหน้ากากลึกลับยิ่ง ขณะที่หญิงหน้ากากนั้นทุกคนต่างทราบดีว่าเป็นองค์หญิงเย่ว์เหม่ย
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินความเร็วมั่นคง เหล่าบุคคลสำคัญของเทียนเชี่ยวและเทียนฉินล้วนกล่าวทักทายนางตลอดทาง ทว่านางหาได้กล่าวคำใดไม่ และไม่แม้กระทั่งมองพวกเขาเหล่านั้น นางไม่ไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น เป็นผลให้พวกเขาเกิดความอิหลักอิเหลื่อเกินจะกล่าว
ฉินเจิ้งเฟิงเองก็คิดอยากทักทายนาง ทว่าการกระทำของนางราวกับไม่เห็นหัวเขาแม้สักนิด ท่าทีนั้นยังเย็นชาและเฉยเมยเสมอมา
หากเป็นผู้อื่นไม่นับเป็นอะไร แต่ฉินเจิ้งเฟิงคือองค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนฉิน นางกลับไม่แม้กระทั่งให้ค่าเขาสักนิด
ฉินเจิ้งเฟิงทำได้เพียงแค่นหัวเราะกระอักกระอ่วน ทว่าภายในลอบโกรธแค้นแล้ว
ในที่สุดเชี่ยวเย่ว์เหม่ยก็เดินขึ้นมาบนลานประลอง นางยืนอยู่ห่างจากฉินหยุนราวห้าสิบเมตรได้
ฉินหยุนที่อยู่ไม่ไกลจากเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเริ่มประหลาดใจ เป็นเพราะเขาไม่อาจสัมผัสออร่าใดของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้ มันไม่แม้กระทั่งจะมีคลื่นพลังปราณสักนิดแผ่ออกมา
ดวงตางดงามของนางไม่ไหวติง ราวกับไม่มีอะไรสามารถสั่นคลอนอารมณ์ของนางได้
ฉินหยุนสูดอากาศเย็นเข้าปอด เด็กสาวอายุสิบสี่ปีตรงหน้าผู้นี้มีดวงตาที่ลึกล้ำจนทำให้เขาลอบเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ความสูงด้อยกว่าเชี่ยวเย่ว์หลานเล็กน้อย ดวงตายังค่อนข้างคล้ายเชี่ยวเย่ว์หลาน สมแล้วที่เป็นพี่น้องทางสายเลือด สงสัยจริงว่านางจะหน้าตาเหมือนกันหรือไม่!” ฉินหยุนมองดวงตาคู่นั้นขณะคิดเรื่องอื่นเพื่อทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายลง
เขาพยายามปลอบตัวเองว่าต่อให้แพ้ก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใด เขายังคงเป็นบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในการประลองยุทธ์มังกรซ่อนเร้น
ด้วยพลังขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเขาแล้วยามเมื่อขึ้นถึงจุดนี้ได้ สิ่งที่พวกเขารู้สึกมีเพียงแต่ความนับถือ!
ในศึกครานี้ มีบุคคลสำคัญหลายคนให้การสนับสนุนเชี่ยวเย่ว์เหม่ย ทุกคนต่างคิดว่านางย่อมได้รับอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ รวมทั้งยันต์ทรงพลังอำนาจปริมาณมหาศาล เป็นเพราะนางมาตัวเปล่าทั้งยังสวมชุดรัดรูป จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะซ่อนอุปกรณ์วิญญาณใดหรือแผ่นยันต์
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเชื่อว่าชัยชนะของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยแทบลอยมาแต่เริ่ม เพียงนางใช้อุปกรณ์และยันต์ปริมาณมหาศาลที่มี ลำพังแค่นั้นก็พอสะกดคู่ต่อสู้ให้อยู่หมัดแล้ว!
ฉินหยุนหลับตาลงขณะกำหมัดแน่น เขากล่าวกับตนเองว่าต้องทำให้ดีที่สุดในการประลองครั้งนี้!
“เริ่มได้!”
ชั่วขณะที่กรรมการประกาศจบคำ ฉินหยุนจึงลืมตาขึ้น แต่แล้วขณะที่เขากำลังจะโจมตี เขาได้เห็นร่างสีขาววาบผ่านเข้ามาตรงหน้า!
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยลัดผ่านความว่างเปล่ากว่าสี่สิบเมตรแทบทันทีพร้อมยกหมัดและปล่อยออก!
ความเร็วนี้ไม่เพียงทำให้ฉินหยุนเผยสีหน้าแตกตื่นและหนักอึ้ง กระทั่งผู้อาวุโสหลายท่านที่พลังขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดหรือแปดต่างก็ต้องไหวหวั่น!
นี่มันเร็วเกินไป!
หลังเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้าถึงต่อหน้า นางพลันใช้หมัดละเอียดอ่อนงดงามนั้นต่อยเข้าใส่ฉินหยุน!
ฝูงชนแตกตื่นอีกครั้ง นี่เป็นเพราะนางไม่ใช้อุปกรณ์วิญญาณใด เพียงต้องการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
เมื่อเชี่ยวเย่ว์เหม่ยอยู่ห่างจากฉินหยุนเพียงไม่กี่เมตร นางจึงปล่อยหมัดขาวนวลนั้นออกราวส่องแสงได้ มันไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ราวกับมีขุมพลังแปลกประหลาดพุ่งเข้าใส่เขาแทน