บทที่ 96 การต่อสู้ระหว่างสามตระกูล
บทที่ 96
การต่อสู้ระหว่างสามตระกูล
ระหว่างทางไปพื้นที่ชั้นในและชั้นนอกเป็นพื้นที่กว้างไพศาล
ในพื้นที่เหล่านี้ เป็นพื้นไว้ใช้สำหรับการต่อสู้ของตระกูลเล็กๆ ผู้อาวุโสชั้นในและผู้อาวุโสชั้นนอกไม่ค่อยแทรกแซงในการต่อสู้เหล่านี้
ในหนึ่งในดินแดนที่ว่างเปล่าเหล่านี้ มีเส้นรอบวงหลายสิบเมตร และเป็นกระโจมศาลา พื้นที่นี้ค่อยๆ มีศิษย์จากสามตระกูลเดินเข้ามา
เห็นได้ชัดว่าตระกูลกั่วและตระกูลหยางมีความได้เปรียบในเรื่องจำนวน เพราะมีสมาชิกในตระกูลมากกว่า 10+ ตระกูลหลี่มีสมาชิกเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น
กั่วเหม่ยและหลี่หยุนไห่เองก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
พวกเขาสองคนเป็นศิษย์แรงงานและไม่ได้มีสถานะสูงส่ง พวกเขามาที่นี่เพื่อเป็นตัวเลขในการต่อสู้ระหว่างตระกูลทั้งสาม
“หลี่เทียนชี ตระกูลหลี่ของพวกเจ้าช่างตระหนี่! เจ้ามาพาแมวเล็กและแมวใหญ่มาเพียงไม่กี่ตัว? อย่ากล่าวหาว่าตระกูล
กั่วของข้ามีจำนวนมากกว่าหลังจากนี้ก็แล้วกัน เหอะ” ในบรรดาตระกูลกั่วเป็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งคนนึงกล่าวคำอย่างประชดประชัน
“กั่วหยี่หลง เจ้ามองโลกในแง่ดีเกินไป ในปัจจุบันนี้ เพียงแค่ตัวเลขนับว่าไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของความสามารถ”
ผู้นำจากกลุ่มตระกูลหลี่เป็นชายร่างสูงและดูหล่อเหลา เขาเปล่งเสียงออกจมูกอย่างเย็นชา
หลี่เทียนชี อายุต่ำกว่า 35 ปีและเป็นอันดับ 1 ในตระกูลหลี่ เขาอายุ 34 ปีและอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด
กั่วหยี่หลงผู้เป็นผู้นำของตระกูลกั่วอายุต่ำกว่า 35 ปี เขาก็อายุ 34 ปีเช่นกันและอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ตระกูลกั่วและตระกูลหลี่ยังไม่ทำลายความสัมพันธ์ทั้งหมด ทั้งสองเองก็มีพิพาทที่ไม่ดีต่อกันอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาได้เข้ามาในนิกายคังหลุน พวกเขาเข้าต่อสู้อย่างเปิดเผยและวางแผนแบบไม่ปิดบัง พวกเขาอาจไม่ได้มีข้อพิพาทร้ายแรง แต่มีข้อพิพาทเล็กน้อย
“ความภาคภูมิใจของตระกูลหลี่นั้นสูงเทียมฟ้าเสมอ มันเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอ แต่ก็ยังมีหน้ามาทำตัวแข็งแกร่ง เรื่องตลกอะไรกัน”
ในบรรดาตระกูลหยานเป็นชายหนุ่มที่ดูร่างกำยำและดวงตาดูมีอำนาจ เขาเยาะเย้ย
“หยางโอ๋ หากเจ้าไม่พูด ก็คงไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้” หลี่จิ่นซิ่วชี้ไปที่หยานโอ๋ด้วยความกังวลเล็กน้อย
“หลี่จิ่นซิ่ว เจ้าพึ่งพาความงดงามของตัวเจ้าเพื่อสานสัมพันธ์กับศิษย์หลัก มันช่างน่าสมเพชและน่าเวทนา… ตั้งแต่เมื่อใดที่ตระกูลหลี่เข้าสู่สภาวะตกต่ำเช่นนี้ ซึ่งพวกเขาถึงกับต้องพึ่งพาลูกหลานของตัวเองในการเพื่อเสียสละร่างกาย”
คำกล่าวของหยางโอ๋ช่างเลวร้าย จนทำให้หลี่จิ่นซิ่วกลายเป็นปั่นป่วน
“พวกเจ้าสามารถเริ่มกันได้เลย เรามาที่นี่เพื่อชมดู”
ขณะนี้เอง กลุ่มศิษย์ก็มาถึง
มันเป็นศิษย์น้องจากตระกูลเฉินตู่ หัวหน้ากลุ่มนำมาโดยเฉินตู่ มาที่ศาลาและนั่งลง ทัศนคติของพวกเขาเหมาะสมกับคำพูด ‘ชะลอการเข้าต่อสู้ จนกว่าคนอื่นๆ จะหมดแรงจากการสู้กันเอง’
สถานะของตระกูลเฉินตู่นั้นเหนือการตระกูลอื่นๆ อีก 3 ตระกูล ไม่ว่ามันจะอยู่ในเมืองหยุนหวูหรือนิกายคังหลุนก็ตาม ดังนั้น อีกสามตระกูลจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะรุกรานตระกูลเฉินตู่
พวกเขาพยายามทำให้ตระกูลเฉินตู่พอใจ ใครก็ตามที่สามารถได้รับการสนับสนุนและสานสัมพันธ์กับตระกูลเฉินตู่ ก็จะสามารถรับประโยชน์ในเมืองหยุนหวูได้
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ทราบว่าตระกูลหลี่ล่วงเกินตระกูลเฉินตู่อย่างไร ตระกูลของพวกเขาเลยเริ่มตกต่ำตั้งแต่นั้นมา
แต่ในทางกลับกัน ตระกูลกั่วและตระกูลหยางกลับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเฉินตู่
ในศาลา เฉินตู่เจี๋ย และเฉินตู่เหลียงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
ตั้งแต่มาถึงนิกายคังหลุนเมื่อสองปีก่อน เฉินตู่เจี๋ยมาถึงจุดสูงสุดของระดับเก้าขอบเขตพลังฉีแล้ว เขาคาดว่าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์ชั้นในตอนอายุ 19 ปี
สำหรับเฉินตู่เหลียง เขายังคงเป็นศิษย์แรงงานชั้นนอก ระหว่างการคัดเลือกศิษย์แรงงาน เขาไม่ได้เหนือไปกว่าคนอื่นและตกรอบไป
เมื่อมองไปที่ศิษย์ของตระกูลกั่วและตระกูลหลี่ เฉินตู่เหลียงก็รู้สึกเศร้าอยู่ในใจ
ตระกูลกั่วมีกั่วเซี่ยและตระกูลหลี่มีหลี่ฟู่เฉิน ทั้งสองคนเจ้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดได้ตอนอายุ 16 ปีและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์ชั้นใน นั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
เขา ซึ่งเป็นสามชิกของตระกูลเฉินตู่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์ชั้นนอก
***
กั่วเซี่ยปัจจุบันอยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่สองเช่นเดียวกัน
เธอจ้องไปยังที่พักของตระกูลหลี่ และตระหนักได้ว่าหลี่ฟู่เฉินยังมาไม่ถึง
“เซี่ยเหม่ย นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่าง 3 ตระกูล ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ผู้ชม บางทีไม่กี่ปีต่อจากนี้ เจ้าอาจกลายเป็นผู้นำของตระกูลกั่วเรา” กั่วหงพูดกับกั่วเซี่ยในลักษณะที่ผ่อนคลาย
(หมายเหตุ TL: น้องสาว = เหม่ย / เหม่ยเหม่ย, น้องชาย = ตี๋ / ตี๋ตี๋)
“ถูกแล้ว เฉพาะตระกูลหยางเท่านั้นที่ทำให้เราต้องเอาจริงกับการต่อสู้เช่นนี้ได้ ตระกูลหลี่นั้นไม่คุ้มค่าที่เราจะต้องเคลื่อนไหว” กั่วหยานภูมิใจยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลกั่ว
กั่วเซี่ยไม่ได้พูดสิ่งใดและครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งอื่นแทน
“จิ่นซิ่ว ทำไมหลี่ฟู่เฉินถึงยังไม่มา?” หลี่เทียนชิสอบถามกับหลี่จิ่นซิ่ว
หลี่จิ่นซิ่วขมวดคิ้วและตอบกลับ “ข้าชวนเขามาแล้วและเขาก็เห็นพ้องด้วย บางทีเขาอาจจะล่าช้า?”
“ฮึ่ม ไม่แม้แต่จะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่าง 3 ตระกูล หลี่ฟู่เฉินผู้นี้แน่นอนว่าต้องวางท่า” หลี่ชานเหอไม่พอใจ
หลี่หยุนไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ “หากเขาไม่ได้รับเกียรติจากตระกูล ข้าคงจะไม่ได้เป็นศิษย์แรงงาน”
เขามักจะเชื่อว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นคนแย่งชิงโอกาสที่เป็นของเขา
“มันขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว การต่อสู้ระหว่าง 3 ตระกูลกำลังจะเริ่มขึ้น! หลี่เทียนชี หยางโอ๋ พวกเจ้าขัดข้องอะไรหรือไม่?” หยางโอ๋ “ข้าไม่”
หลี่เทียนชีถอนหายใจ “ข้าไม่”
“เอาหล่ะ หากเป็นเช่นนั้น ทุกคนสามารถเริ่มการท้าทายของพวกเจ้าได้” กั่วหยี่หลงมองไปที่กั่วเผิง
ได้รับการอนุมัติจากกั่วหยี่หลง กั่วเผิงออกมาจากกลุ่มตระกูลกั่ว “หลี่หยุนไห่ ออกมา”
ในบรรดาตระกูลกั่วและตระกูลหลี่ เฉพาะเขา กั่วเหม่ยและหลี่หยุนไห่เท่านั้นอยู่ที่ขอบเขตต้นกำเนิด ดังนั้น เขาจึงทำได้แค่ท้าทายหลี่หยุนไห่
“กั่วเผิง จำคำของเจ้าไว้ให้ดี”
หลี่หยุนไห่ออกไปพร้อมกับใบหน้าที่ดำคล้ำ
กั่วเผิงหัวเราะเบาๆ “ด้วยสถานะที่ต่ำต้อยกว่าข้า ในฐานะศิษย์แรงงาน เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะขอความเคารพจากข้า.. โยนเรื่องไร้สาระเช่นนี้ไป เข้ามาสู่กับข้า!”
กั่วเผิงไม่ให้โอกาสใดๆ กับหลี่หยุนไห่ และเริ่มโคจรเทคนิคคลื่นสีขาวระดับที่เจ็ดทันที จากนั้นก็เฉือนไปที่หลี่หยุนไห่
หลี่หยุนไห่ตื่นตระหนกด้วยการสำแดงตัวของพลังฉีที่อันยิ่งใหญ่ของกั่วเผิง
ระหว่างการแข่งขันอัจฉริยะ เขายังมีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับกั่วเผิง
แต่ปัจจุบันเขาไม่มีความมั่นใจเลยและจิตวิญญาณในต่อสู้ของเขาหายไปหลังจากการสำแดงเดชพลังของศัตรู
ในท้ายที่สุด หลี่หยุนไห่ไม่แม้แต่จะหยุดการเข้าปะทะจากกั่วเผิงได้สักครั้งและก็กระเด็ดออกจากสนามต่อสู้ไป
“หลี่ฟู่เฉิน มันเป็นเพราะเจ้าทั้งหมด!” หลี่หยุนไห่คำรามอยู่ในใจ
แม้ว่าเขาจะได้รับเทคนิคเปลวเพลิงสำหรับการเป็นศิษย์แรงงานมาแล้ว แต่หากปราศจากความช่วยเหลือจากโอถสเปลวเพลิงที่ช่วยในการฝึกฝน เขาก็ไปถึงแค่ระดับหกแต่เพียงเท่านั้น
นอกจากนี้ ศิษย์แรงงานมักมีงานน่าเบื่อมากมายที่ต้องจัดการ ซึ่งเป็นการกินเวลาสำหรับการบ่มเพาะของพวกเขา แม้แต่ทักษะดาบของเขาก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับกั่วเผิงได้
การพ่ายแพ้ด้วยกระบวนดาบเพียงครั้งเดียวจากการต่อสู้กับกั่วเผิง ทำให้หลี่หยุนไห่รู้สึกละอายอย่างที่สุด เขาเกลียดหลี่ฟู่เฉินจยฝั่งลึกลงไปในก้นบึ่งของหัวใจเขา
การแสดงออกของหลี่เทียนชิดูแย่ลง
“กั่วหง ออกมา” หลี่ชานเหอกระตือรือร้นที่จะแสดงฝีมือต่หน้าหลี่เทียนชิ และตะโกนไปที่กั่วหงในขณะที่ชี้ไปที่ด้วย
ได้ยินเสียงเรียกให้ออกไป กั่วหงที่อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ห้าอันโดดเด่นก็ออกไป “หลี่ชานเหอ เจ้าไม่ละอายบ้างเลยหรือ? กั่วหงอายุเพียง 22 ปี ในขณะที่เจ้าอายุ 30 เจ้ามีความภาคภูมิใจที่จะเรียกชื่อเขาได้อย่างไร? ให้ข้า กั่วเหยา สอนวิธีที่จะลูกผู้ชายควรทำ”
หลี่ชานเหอตอบกลับ “กั่วเหยา อะไรของเจ้า? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าสอนในการเป็นลูกผู้ชาย?”
“เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นกับข้า หลี่ชานเหอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความกล้าของเจ้าเติบโตมาได้ขนาดนี้?”
กั่วเหยาฟันไปที่หลี่ชานเหอ
“ข้าสมควรกลัว?” หลี่ชานเหอตอบโต้กลับ
การต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขอบเขตต้นกำเนิดนั้นน่าตื่นเต้นกว่าการต่อสู้ของขอบเขตพลังฉี ดาบเหล็กสีดำคมของทั้งสองถูกขยายออกไปจนถึง 4 ฟุตด้วยพลังฉีของพวกเขา มันแข็งแกร่งกว่าชายสวมหน้ากากที่หลี่ฟูเฉินต่อสู้ด้วย
“โชคดีที่ข้ามาทัน”
หลี่ฟูเฉินมาถึงล่าช้า
ในช่วงเวลาเที่ยง เขาฝึกฝนเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับของเขาตามปกติ
แต่ใครจะเดาได้ว่าเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับของเขากำลังจะก้าวเจ้าสู่ระดับที่สิบเอ็ด