เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0063
ตอนที่ 63 : ดาบหยกหมาป่า
หลังฉินหยุนขึ้นสู่อันดับเจ็ด เขาจึงท้าฉินเฟิงผู้อยู่อันดับหกโดยทันที ทว่า ฉินเฟิงไม่ได้รับคำท้าโดยทันที
ขณะเดียวกัน เมิ่งเฟยหลิงผู้ซึ่งอยู่อันดับสี่ก็กำลังจะท้าประลองเย่เสินเหล่ยอันดับสาม
ลานประลองยุทธ์หลักถือเป็นสถานที่ซึ่งผู้ชมคลาคล่ำมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเวลานี้ เพราะกำลังจะมีการประลองระหว่างเย่เสินเหล่ยและเมิ่งเฟยหลิง!
สีหน้าของเมิ่งเฟยหลิงวันนี้เย็นชา นางค่อย ๆ ก้าวเดินขึ้นลานประลองยุทธ์
วันนี้นางสวมใส่ชุดกระโปรงรัดรูปสีสาวพร้อมแส้สีดำในมือ นางกำลังยืนหยัดอย่างอาจหาญ ดวงตาของนางเปี่ยมด้วยเสน่ห์มากล้นในคราแรก ทว่าเมื่อได้เห็นเย่เสินเหล่ย มันกลับกลายเป็นคมกริบเสมือนเหยี่ยวจ้องเหยื่อ!
วิญญาณยุทธ์ของนางคือเหยี่ยวระดับแพลทินัม นับว่าสูงกว่าขวานสายฟ้าระดับทองของเย่เสินเหล่ย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดนางจึงกล้าท้าประลองเย่เสินเหล่ย
เย่เสินเหล่ยถือค้อนศึกสีทองคำอันมหึมาไว้ในมือ ร่างกายท่อนบนของเขาหนาใหญ่ กล้ามเนื้อเปี่ยมด้วยพลังพร้อมระเบิดออก เป็นรูปลักษณ์ที่ข่มขวัญได้ไม่น้อย
ฉินหยุนเองก็กำลังมองท่าทีจริงจังของนาง เขาอยากเห็นเช่นกันว่าเมิ่งเฟยหลิงแข็งแกร่งเพียงใด
“นางแม่มด เจ้าขโมยและสังหารสัตว์ร้ายหมาป่าฟ้าคำรามไปจากตระกูลเย่ของเรา อย่าได้คิดว่าพวกเราไม่รู้เรื่องเชียว วันนี้พวกเราจะให้เจ้าได้ชดใช้ต่อการกระทำนั้น” เย่เสินเหล่ยคำราม น้ำเสียงนี้เสมือนฟ้าคำรามลั่น
โดยทันที ฉินหยุนนึกย้อนถึงตอนที่พบเมิ่งเฟยหลิงครั้งแรก เขาพบว่านางและคนของนางร่วมมือกันสังหารสัตว์ปีศาจ นั่นน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของตระกูลเย่แล้ว
เย่เสินเหล่ยสูงเกือบสองเมตร ด้วยร่างใหญ่ยักษ์นั้นมีกล้ามเนื้อชวนสะพรึง ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยกระแสสายฟ้าแปลบปลาบ ขวานศึกขนาดใหญ่ในมือก็กำลังทอประกายไฟฟ้าทองคำออกมา
หลังเขาคำรามร้อง ขวานศึกขนาดยักษ์ในมือก็พาดขึ้นพร้อมพุ่งเข้าหาเมิ่งเฟยหลิงเตรียมบดขยี้
แม้เย่เสินเหล่ยร่างใหญ่ยักษ์ แต่เขาหาได้ช้าไม่ เขากระทั่งรวดเร็วกว่าหลินหยางระดับหนึ่งด้วยซ้ำ
ศักยภาพเคล็ดวิชาตัวเบาและท่าเท้าที่เขาครอบครองยิ่งทำให้ว่องไว
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
ก่อนที่เย่เสินเหล่ยจะทันเข้าใกล้เมิ่งเฟยหลิง เย่เสินเหล่ยได้สับขวานยักษ์ในมือไปหลายครั้ง มันปลดปล่อยคลื่นพลังรุนแรงออกมา สายฟ้าสีทองคำกระจายทั่วราวตาข่าย มันเข้าปกคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง
เมิ่งเฟยหลิงรีบเร่งกระโดดขึ้นอากาศสูงกว่ายี่สิบเมตร!
หลังนางหลบเลี่ยงการโจมตีของเย่เสินเหล่ย นางจึงเหวี่ยงแส้ยาวในมือ “ปะ!” เป็นกำลังภายในที่แทรกซึมภายในแส้ยาวกระทบเข้าร่างของเย่เสินเหล่ย เสียงคำรามของเขาพลันร้องลั่นด้วยโทสะรุนแรง
ร่างคล่องแคล่วของนางตอนนี้อยู่กลางอากาศราวนกโบยบิน เป็นผลให้หลายคนรู้สึกอิจฉาต่อความสามารถระดับนี้
นางครอบครองวิญญาณยุทธ์เหยี่ยว ทั้งยังมีเคล็ดวิชาตัวเบาพิเศษเฉพาะทาง จึงทำให้นางสามารถบินได้ ไม่เช่นนั้นนางต้องมีพลังขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดหรือไม่ก็เก้าหากต้องการใช้กำลังภายในทรงพลังเพื่อยกร่างตนเองขึ้นกลางอากาศ
การป้องกันของเย่เสินเหล่ยแข็งแกร่งยิ่ง การโจมตีก็ดุดัน ความเร็วไม่เชื่องช้า ทว่าเขากลับต้องเผชิญกับผู้ที่สามารถบินได้ เรื่องนี้กลายเป็นงานยากหากต้องโจมตีบุคคลที่บินอยู่ด้านบน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองด้วยดวงตาเบิกออกกว้าง!
เมิ่งเฟยหลิงครอบครองวิญญาณยุทธ์ระดับแพลทินัม และกำลังภายในของนางก็ควบแน่นจนแข็งแกร่ง การโจมตีของนางพลิ้วไหว ขณะที่นางหวดแส้ออกกลางอากาศ เย่เสินเหล่ยแทบเตรียมตั้งรับไม่ทัน
ในที่สุดฉินหยุนก็เข้าใจว่าทำไมเชี่ยวหลางถึงเรียกเมิ่งเฟยหลิงว่านางแม่มด เป็นเพราะรูปแบบการต่อสู้นี้ช่างชวนให้ผู้คนคลั่ง
ไม่นานถัดจากนั้น ร่างของเย่เสินเหล่ยก็ปกคลุมด้วยรอยแผลเพราะแส้อย่างน่าสะพรึง ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บภายนอกที่รุนแรง แต่อาการบาดเจ็บภายในก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“นางแม่มด ข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!” เย่เสินเหล่ยร้องลั่นราวฟ้าคำราม เรื่องราวที่ชวนขบขันพลันบังเกิด ขวานศึกใหญ่ยักษ์ในมือเขาพลันร่วงหล่นกับพื้นลานประลองเพราะเมิ่งเฟยหลิง
เย่เสินเหล่ยเผชิญหน้ากับเมิ่งเฟยหลิงผู้ซึ่งอยู่กลางอากาศด้วยการปล่อยหมัด คลื่นฟ้าคำรามและสายฟ้ารุนแรงของกำลังภายในลอยลัดผ่านอากาศอย่างมั่วซั่วเต็มท้องฟ้า ทว่าเมิ่งเฟยหลิงสามารถหลบพวกมันได้ทั้งหมด
ปะ ปะ ปะ... เมิ่งเฟยหลิงใช้แส้ยาวของนางหวดเข้าด้วยพลังปราณรุนแรงเข้าที่ร่างของเย่เสินเหล่ย ยามเมื่อปะทะ พลังปราณทะลัก เลือดจากร่างนั้นกระเซ็นทั่วทุกหนแห่ง
“ข้า... ข้ายอมแพ้!” หลังกล่าวจบคำ เย่เสินเหล่ยก็เร่งรีบลงจากลานประลองด้วยอารมณ์โกรธแค้น บาดแผลทั่วร่างของเขายิ่งทำให้ผู้คนเวทนา
นับตั้งแต่แรกเริ่ม ทุกผู้คนต่างคาดเดาและบอกได้ว่าใครจะชนะหรือพ่ายแพ้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้สักเท่าใดนัก
แม้กระนั้นเขาก็ประหลาดใจ มันเป็นเพราะเคล็ดวิชาบินบนฟ้าที่เมิ่งเฟยหลิงใช้งาน
ผลลัพธ์ที่ได้ เมิ่งเฟยหลิงเลื่อนขึ้นสู่อันดับสาม!
ผู้ที่อยู่เหนือนางขึ้นไปคือเชี่ยวหลางและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย พวกเขาทั้งสองล้วนแข็งแกร่ง ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดสู้ต่อ
หากนางได้รับบาดเจ็บตอนนี้ นางจะไม่มีทางรักษาอันดับที่สามเอาไว้ได้
สามอันดับแรกล้วนแข็งแกร่ง เป็นเรื่องยากที่ผู้คนอันดับต่ำกว่าจะสามารถโค่นล้ม
อีกทางหนึ่ง เย่เสินเหล่ยบาดเจ็บหนัก กระทั่งว่าบาดเจ็บ เขาก็ยังมีแรงพอที่จะรักษาอันดับเอาไว้ได้
ตราบเท่าที่ยังอยู่ในสิบอันดับแรก แม้ไม่ได้อันดับหนึ่ง เขาก็ยังจะได้รับรางวัลที่ดีไม่ใช่น้อย
ถัดจากนั้น สิ่งที่ผู้คนล้วนเฝ้ารอคือคู่ประลองระหว่างนักล่ามังกรและฉินเฟิง!
ฉินเฟิงคือองค์ชายอันดับสองของจักรวรรดิเทียนฉิน อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกว้างขวางว่าเป็นองค์ชายซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของเทียนฉิน
ผู้แข็งแกร่งที่สุดย่อมเป็นองค์ชายรัชทายาท ฉินเจิ้งเฟิง ขณะที่อันดับสามตอนนี้ตกเป็นของฉินหยุนแล้ว
ฉินหยุนอดทนและรอคอยในลานประลองยุทธ์ให้ฉินเฟิงรับคำท้า
ระหว่างที่รอ เขาได้รับข่าวล่าสุดชวนตกตะลึง เป็นข่าวขององค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนฉิน เขาจะมาที่นี่เพื่อรับชมฉินเฟิงประลองด้วย!
องค์ชายรัชทายาทฉินเจิ้งเฟิงครอบครองเส้นวิญญาณหกตะวัน ทั้งยังถูกรับเข้าสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน ตอนนี้เขากลับมาเยือนเทียนฉิน ผู้คนกล่าวว่าเขาเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดแล้ว
ฉินเจิ้งเฟิงและฉินเฟิง มารดาทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ด้วยเหตุนี้ฉินเจิ้งเฟิงและฉินเฟิงจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นเดียวกัน
ข่าวล่านี้เพียงเพิ่งมีการพูดคุยก็มีคนตะโกนขึ้นแล้ว “องค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนฉินอยู่ที่นี่! พลังที่เขาเผยออกนั้นไม่ธรรมดานัก!”
ฉินหยุนยืนอยู่บนลานประลองยุทธ์ ตอนนี้เขาจึงเห็นหลายคนเดินเข้ามา
บุคคลซึ่งอยู่ตรงหน้าสุดสวมใส่มงกุฎหยกม่วง ผ้าคลุมสีทองคำ และชุดเกราะสีแดงทองคำ ความอหังการที่เผยให้เห็นนับว่าไร้สิ้นสุด สายตานั้นเป็นประกายและทั้งเฉียบคมพร้อมคุกคามผู้คน
คนผู้นี้คือฉินเจิ้งเฟิง องค์ชายรัชทายาทแห่งเทียนฉิน!
เมื่อฉินหยุนได้เห็นฉินเจิ้งเฟิง เขาพลันโกรธอยู่ภายใน
หนึ่งในเส้นวิญญาณของเขาซึ่งถูกนำออกได้เข้าไปอยู่ในกายของฉินเจิ้งเฟิง
ฉินเจิ้งเฟิงคือองค์ชายรัชทายาท และยังได้มีการหมั้นหมายกับเชี่ยวเย่ว์หลาน พรสวรรค์ในวิถียุทธ์แห่งเต๋าของเขานับเป็นอันดับหนึ่งของเทียนฉิน ผู้คนล้วนไม่สงสัย ว่าคนผู้นี้คือว่าที่จักรพรรดิแห่งเทียนฉินคนต่อไป
ด้วยเหตุนี้ เมื่อบรรดาศิษย์ของสำนักชื่อดังพบเห็น พวกเขาล้วนเข้าทักทาย
หากพูดถึงความสามารถ ฉินเจิ้งเฟิงยังเทียบไม่ได้กับเชี่ยวเย่ว์หลาน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่ต้องใส่ใจ เพราะอย่างไรแล้วทางเทียนเชี่ยวก็คิดตบแต่งกับทางนี้ จึงไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามนี้ออก
ฉินเจิ้งเฟิงเพียงเพิ่งมาถึงก็โดนคนผู้หนึ่งเชื้อเชิญนั่งเก้าอี้หรูหรา
เป็นเขาคิดรับชมระยะประชิดเบื้องล่างลานประลองหลัก!
เชี่ยวหลางและผู้อื่นที่ห้องรับรองแขกพิเศษล้วนลงมากล่าวทักทายฉินเจิ้งเฟิงกันทั้งสิ้น
มีเพียงเชี่ยวเย่ว์เหม่ยและเมิ่งเฟยหลิงที่ไม่เข้ามีส่วนร่วม
ฉินเจิ้งเฟิงเพียงยิ้มขณะนำดาบคมกล้าออกจากฝักดาบ มันกระทั่งส่งเสียง “ชิ๊ง” ดังขึ้น
มองเพียงครั้งเดียว ผู้คนล้วนบอกได้ว่านี่คือดาบชั้นเลิศ อุปกรณ์วิญญาณ!
เขาส่งดาบเล่มนั้นแก่ฉินเฟิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องรอง ดาบเล่มนี้นาม ดาบหยกหมาป่า นี่เป็นรางวัลที่ข้าได้รับจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน”
ฉินเฟิงทั้งประหลาดใจและยินดี หลังได้รับดาบหยกหมาป่า เขาเร่งรีบเผยคำขอบคุณไม่ขาด
สิ่งนี้คืออุปกรณ์วิญญาณระดับต่ำ กล่าวได้ว่ามีชื่อเสียงไม่ใช่น้อย มันสามารถปลดปล่อยพลังรุนแรงได้ในระหว่างการประลองยุทธ์ครั้งนี้!
ทุกผู้คนล้วนลอบอิจฉายามเมื่อได้เห็นฉินเฟิงรับดาบหยกหมาป่า!
อาวุธวิญญาณระดับต่ำที่มีชื่อเสียงหาได้ยากยิ่ง บรรดาศิษย์ของสำนักชื่อดังล้วนได้ครอบครองเพียงแต่อาวุธวิญญาณครึ่งขั้น
“นี่นับเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นแรกที่ปรากฏในการประลองยุทธ์มังกรซ่อนเร้นแล้ว เป็นดาบที่งดงามนัก!”
“ชายหน้ากากนั่นโดนเล่นหนักแน่!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างโชคร้ายเสียจริง ก่อนหน้ายังกล้าท้าทายฉินเฟิงอย่างอหังการ ตอนนี้ฉินเฟิงได้ครอบครองอุปกรณ์วิญญาณ หมอนั่นคิดจะหาทางป้องกันอย่างไรดีกันละ? แม้จะมีอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ แต่ในการประลองยุทธ์มันไม่มีประโยชน์อันใดเลยสักนิด”
ฉินเจิ้งเฟิงเพียงหัวเราะเบา “น้องรอง ด้วยดาบเล่มนี้ เจ้าย่อมสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของเทียบอันดับมังกรซ่อนเร้น!”
“แน่นอนขอรับ!” ฉินเฟิงยิ้มภูมิอกภูมิใจขณะกระโดดตัวเบาขึ้นบนลานประลองยุทธ์