เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0059
ตอนที่ 59 : มังกรหลอมหกกระบวน
เคล็ดวิชาระเบิดปราณคือไพ่ตายของฉินหยุน ทว่า กระทั่งว่าใช้โดยตรง มันก็ไม่น่าจะโดนตัวเป้าหมาย เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้เฒ่าหมาป่าที่รวดเร็วยิ่ง
อีกฝ่ายคิดเข้าปะทะอีกระลอกหนึ่งแล้ว
อุ้งตีนหมาป่าคู่ยื่นกรงเล็บเข้าหา อีกฝ่ายคิดว่าฉินหยุนสมควรต้องหลบ แต่ไม่คาดคิดว่าฉินหยุนจะเลือกเผชิญหน้าโดยตรงอย่างที่ไม่คิดทำมาก่อน
“ฝ่ามือพันอาชา!”
ทุกผู้คนต่างตระหนักถึงการกระทำของฉินหยุนขณะร้องออกอย่างตื่นตระหนก
“ไอ้เด็กนี่คิดอยากตายหรือ? กล้าใช้มือเปล่าปะทะกรงเล็บหมาป่าของข้า?” ผู้เฒ่าหมาป่าประหลาดใจขณะไม่ลดละกรงเล็บทั้งสองมือที่พุ่งปะทะ
เล็บของชายชราตอนนี้คมกริบไม่ต่างอะไรกับใบมีด
หากโดนจับได้ ผิวหนังย่อมถูกเชือดเฉือนเหวอะหวะ ไม่มีใครคิดอยากให้ร่างกายตกอยู่ในสภาพนั้นแน่
แต่ขณะที่ฝ่ามือของฉินหยุนกำลังจะสัมผัสกับกรงเล็บหมาป่า มันพลันหอนร้องขณะปะทุออกซึ่งเสียงระเบิดดังสนั่น!
ระเบิดที่ปะทุออกมาพร้อมกับขุมพลังนับหมื่นแรงม้า เป็นผลให้แขนของชายชราส่งเสียงแตกหักออกดังลั่น
“อ๊าก!”
ผู้เฒ่าหมาป่าร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด กระดูกแขนและมือตอนนี้แตกหัก ร่างผอมบางตอนนี้ปลิวกระเด็นกลับกลางอากาศ
ราวกับโดนส่งให้ร่างปลิวกระเด็นด้วยลมพายุหอบพัดพา สถานที่ซึ่งร่อนลงของร่างชรานั้นห่างออกไปหลายสิบเมตรจากลานประลองด้วยซ้ำ
ความเจ็บปวดที่แขนทำให้ร่างต้องสั่นสะท้าน หากไม่มีประสบการณ์โชกโชน แขนนี้อาจโดนทำลายไปแล้ว!
เขากล่าวกับตนเอง “เป็นข้าประมาทไป เด็กน้อยนี่ระเบิดพลังในฉับพลันได้น่ากลัวนัก ฝ่ามือพันอาชากลับมีวิชายุทธ์อื่นแฝงมาด้วย นี่ต้องเป็นการระเบิดพลังภายในแน่ แต่มันเป็นวิชายุทธ์ใดกัน?”
ฉินหยุนรวบรวมพลังภายในจากพลังธาตุทั้งสอง เพื่อผสานรวมกันเป็นการระเบิด พลังอำนาจที่ได้ย่อมต้องชวนพรั่นพรึง
โชคยังดีที่วิถีกระดูกของเขามีเสถียรภาพแล้ว เขาจึงสามารถยืนหยัดใช้พลังภายในต่อเคล็ดวิชาระเบิดปราณได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่กล้าใช้ออกเช่นกัน
เชี่ยวหลางผู้ซึ่งอยู่ในห้องรับรองหรูหราพลันอุทาน “ตาเฒ่าหลางถึงกับแพ้คนที่มีพลังเพียงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า!”
ชี่เสวี้ยแค่นเสียง “ชายหน้ากากนั่นไม่ธรรมดาแล้ว ตั้งแต่เข้าหนึ่งร้อยอันดับแรกเขายังไม่ได้ท้าประลองผู้ใด ช่วงเวลาที่ผ่านไปมัวเอาไปทำอะไรอยู่กัน?”
อย่างกะทันหัน ประตูพลันถูกผลักเปิดออก เป็นเด็กสาวผู้หนึ่งไว้ผมหางม้าทั้งยังสวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าเดินเข้ามา นางสวมใส่หน้ากากที่ใบหน้า ดวงตานั้นทั้งกระจ่างชัดและงดงาม ทว่าเปี่ยมไปด้วยความโกรธ
เด็กสาวเอ่ยถาม “ชายหน้ากากนั่นมันเป็นใคร? ถึงกับทำร้ายผู้เฒ่าหมาป่าได้!”
“เย่ว์เหม่ย เขาคือช่างตีเหล็กแห่งตำหนักจารึกเทวะ” ฉินเฟิงที่เพิ่งดื่มไวน์เข้าปากพลันลุกขึ้นและเดินเข้ามา
เด็กสาวที่เพิ่งมาผู้นี้คือเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
ฉินเฟิงเผยประกายในดวงตา สำรวจมองเด็กสาว เขากระทั่งเผยรอยยิ้มสดใสกล่าวคำ “เย่ว์เหม่ย ชายหน้ากากเป็นเพียงแค่ช่างตีเหล็ก เมื่อใดที่มันกล้าขึ้นสู่สิบอันดับแรก ข้าจะสั่งสอนมันสักบทเรียนหนึ่งเอง”
เย่เสินเหล่ยพลันไม่พอใจนัก เขากล่าวเสียงลุ่มลึก “แล้วเจ้าจะรอให้มันไต่ขึ้นมาทำไม ต่อให้มันขึ้นมาได้ ก็ไม่ใช่หน้าที่เจ้าที่ต้องสอนบทเรียนแก่มัน!”
ฉินเฟิงหัวเราะ “ก็จริง ข้าอยู่อันดับสาม เจ้าอยู่อันดับสี่ หากมันไต่อันดับขึ้นมา ก็ต้องต่อสู้กับเจ้าก่อน... แต่เจ้าต้องระวังให้ดี เพราะมันมีวิชาหานซานอยู่”
ชี่เสวี้ยไม่ยินดีเพราะฉินเฟิงพูดคุยกับเย่เสินเหล่ยอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางเข้าร่วม ตั้งแต่ที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามา พวกเขาถึงกับทำตัวเช่นนี้ต่อนาง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยคล้ายเข้าใจ หลังเอ่ยถามรายละเอียดเรื่องชายหน้ากากนางจึงค่อยออกไป
ชี่เสวี้ยกล่าว “เย่ว์เหม่ยเหมือนจะเป็นกังวลเรื่องชายหน้ากากไม่น้อยเลยนะ”
เชี่ยวหลางหัวเราะเสียงดัง “ชายหน้ากากนั่นถือว่าหมดโชคแล้ว เย่ว์เหม่ยคิดอยากได้มันเป็นผู้ติดตามแน่!”
หลังจากฉินหยุนกลับตำหนักจารึกเทวะ เขาจึงเข้าห้องฝึกฝนทันที
วันนี้ตอนสู้กับผู้เฒ่าหมาป่า เขาได้เก็บเกี่ยวมาไม่น้อย เขากระทั่งเกิดความนึกคิดผสมผสานระเบิดปราณกับฝ่ามือพันอาชาเข้าด้วยกัน
เขานึกย้อนถึงการประลองก่อนหน้าขณะคิด “ระดับฝีมือการเคลื่อนไหวของเรายังอ่อนด้อย น่าจะต้องฝึกให้หนักกว่านี้ การใช้พลังภายในเพื่อช่วยวิ่งก็แค่เพิ่มความเร็วเล็กน้อย”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงวิ่งไปวิ่งมาในห้องฝึกฝนเพื่อฝึกการวิ่ง
สองวันผ่านไปราวพริบตา
ฉินหยุนตอนนี้กำลังสับสนยิ่ง เพราะไม่มีใครเข้ามาท้าประลองเขาเลยแม้ผ่านไปแล้วสองวัน
นักสู้ทุกคนในการประลองยุทธ์มังกรซ่อนเร้นไม่ใช่โง่ พวกเขาล้วนเห็นว่าเขาแปลกประหลาด ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจมองข้ามเขาไปและท้าทายผู้อื่นแทน
อย่างกะทันหัน หยางฉีเย่ว์พลันออกจากห้องของนางและเอ่ยถาม “สองวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง? ได้ประลองไปกี่รอบ?”
“เพียงรอบเดียวขอรับ...” ฉินหยุนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวระหว่างการต่อสู้กับผู้เฒ่าหมาป่าแก่หยางฉีเย่ว์
เมื่อหยางฉีเย่ว์ได้ฟัง นางจึงนำเอาตำราออกมาสองเล่มและกล่าวอย่างภูมิอกภูมิใจ “ข้าทำการเปลี่ยนแปลงหกกระบวนท่าของวิชาวายุสังหารเป็นเคล็ดวิชาค้อนได้สำเร็จแล้ว เช่นกัน ข้ายังใช้หมัดตัวเองเพื่อปล่อยพลังออกมาได้”
ฉินหยุนที่กำลังนั่งอยู่พลันลุกพรวดลุกขึ้นยืนด้วยอาการยินดี เขาตื่นเต้นเสียจนต้องหัวเราะออก “อาจารย์ช่างสุดยอด! ถึงกับทำสำเร็จได้รวดเร็วเพียงนี้ ข้านึกว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนเสียอีก!”
ใบหน้าของหยางฉีเย่ว์เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจขณะหัวเราะคิกคัก “เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว นี่เป็นเพียงแค่การดัดแปลงวิชายุทธ์เดิมที่มีอยู่ ทั้งข้ายังมีวิชายุทธ์อื่นติดตัวไม่ใช่น้อย ดังนั้นระหว่างการจัดทำจึงค่อนข้างลื่นไหลหาได้ติดขัดแต่อย่างใด”
พร้อมกันนี้ นางเผยสีหน้าจริงจังขณะกล่าว “ได้เวลาเข้าบทเรียนแล้ว ตั้งใจด้วย!”
ฉินหยุนเร่งรีบนั่งลงพยักหน้ารับ
“เคล็ดวิชาค้อนนี้ขอเรียกว่า มังกรหลอมหกกระบวน นี่คล้ายกับวิชาวายุสังหารทั้งหกกระบวนท่า โดยหลักแล้วจะใช้ผสมผสานกับพลังภายในธาตุไฟ แล้วก็น่าจะใช้พลังภายในสั่นไหวผสมได้”
ถัดจากนั้น หยางฉีเย่ว์ก็ยิ่งตั้งใจชี้แนะฉินหยุนให้เรียนรู้วิชามังกรหลอมหกกระบวน
ฉินหยุนตอนนี้กำลังถือค้อนหลอมขณะเริ่มกวัดแกว่งในห้องฝึกฝน หยางฉีเย่ว์คอยรับชมอยู่ด้านข้าง หากนางพบข้อผิดพลาด นางจะช่วยชี้แนะอย่างรวดเร็ว
หากเขาฝึกสักสองวันก็น่าจะสามารถใช้พลังภายในได้อย่างคล่องแคล่ว ถึงตอนนั้นก็ทัดเทียมระดับการฝึกฝนขั้นต้นแล้ว
เหตุผลหลักก็เพราะเขาใช้วิชาวายุสังหารหกกระบวนท่าได้ดีอยู่ก่อนแล้ว และมังกรหลอมหกกระบวนนี้ก็เป็นการพัฒนาต่อยอดจากวายุสังหาร ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างคุ้นชินและเข้าใจพวกมันได้ไม่ยาก นอกจากนี้ยังมีหยางฉีเย่ว์คอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด
ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์เริ่มฝึกอยู่แต่ในห้องฝึก หลังผ่านไปกว่าชั่วโมง เขาค่อยพยักหน้าด้วยความพอใจ “เวลาใช้หมัดอาจจะอ่อนแรงลง แต่ก็ยังไหวอยู่”
เพื่อทดสอบพลังของเคล็ดวิชาค้อน เขาจึงเริ่มทดลองหลอมกระดูกเหล็กกล้าระดับต่ำขึ้น
ก่อนหน้าจำเป็นต้องใช้เวลาหกชั่วโมงกว่าจะสำเร็จ ตอนนี้เขาใช้เพียงแค่สองชั่วโมงกว่าก็เรียบร้อยแล้ว เวลาที่ใช้ถึงกับหายไปได้ครึ่งหนึ่ง!
ฉินหยุนกล่าวชม “อาจารย์ เคล็ดวิชาค้อนของท่าน ทำให้ข้าหลอมวัสดุในอนาคตได้ง่ายขึ้นไม่น้อยเลย!”
หยางฉีเย่ว์เข้ามาลูบหัว ยิ้มหวาน และกล่าว “เมื่อเจ้าขัดเกลาอาวุธวิญญาณได้ ข้าจะให้เจ้าช่วยปรับแต่งมันกับข้าสักชิ้นหนึ่ง!”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ!” ฉินหยุนตบอกรับคำทั้งยิ้มกว้าง
หยางฉีเย่ว์นำเอาผ้าขนหนูออกมาช่วยเช็ดเหงื่อแก่เขาทั้งยังกล่าวอ่อนนุ่ม “อย่างแรกเลย เจ้าควรไปพักก่อน”
“อย่าได้ใส่ใจเรื่องอันดับหนึ่งมากนัก ร่างกายของเจ้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด จงจำเอาไว้ว่าเจ้ายังมีสถานะเป็นนักสร้างยันต์”
ฉินหยุนเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำกล่าวของหยางฉีเย่ว์ นางเป็นกังวลว่าเขาจะฝืนทรมานร่างกายเหมือนครั้งเยี่ยนชิงหยู
หยางฉีเย่ว์แทบใจสลายเมื่อครั้งนั้นที่ได้เห็นเรื่องราว นางไม่อยากประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง