ตอนที่แล้วGE179 หลับนอนกับเจ้า [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE181 ออกจากแคว้นจิน สัมผัสถึงความตายที่ย่างเข้ามา [ฟรี]

GE180 สังหารหนิงฝาน [ฟรี]


ตำหนักหยกชั้น 6...

บนโต๊ะมีกระถาง ที่ธูปปักด้วยสีม่วง แคว้นจินเรียกธูปชนิดนี้ว่า ‘หวนคนึง’

บนเตียงนอน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนอนแนบเคียง ผ้าห่มผืนบางห่มคลุม

รอบข้างประดับด้วยสีแดง บนผนังกำแพงมีภาพวาดที่งดงาม บนเตียงนอนกว้าง 1 จ้าง 2 ฉื่อ มีกลิ่นของสตรีอบอวน

หยุนโร่วเหว่ยใจเต้นรัว ข้างกายนางมีหนิงฝานที่นอนแทบจะอิงไหล่

เตียงนอนใหญ่เช่นนี้เหมาะกับการหลับนอน แต่ยามนี้ แม้หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะหลับนอน แต่ดูไม่เหมือนหลับนอนแม้แต่น้อย… นางขอให้หนิงฝานร่วมหลับนอน เพื่อช่วยตัดความคิดที่วนเวียนอยู่ภายในใจของนาง หนิงฝานเองก้ไม่ปฏิเสธ...

“น่าอาย!” อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายปรากฏจนนางยากจะรับไหว นางทำได้เพียงขบฟัน

“อืม… เดิมทีเตียงนี่เป็นของแม่ทัพหูหยาน สมควรมีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นบนเตียงนี้ไม่น้อย...”

“ข้าขอเตือน… อย่าได้คิดมิดีมิร้ายกับข้าเด็ดขาด”

“ไม่หรอกน่า… รีบนอนได้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะใช้วิชาอสูรทำให้หลับเลยนะ”

“เจ้าเป็นคนของเผ่าอสูรหรือเปล่า?”

นางหันมองด้วยแววตาตระหนก

มนุษย์ที่ครอบครองโลหิตอสูรนั้นหาได้ยากมาก และมนุษย์ผู้นั้นจะใช้วิชาอสูรได้… หรือหนิงฝานมีเส้นลมปราณอสูร? ช่างเถอะ เขาก็แปลกอย่างนี้เป็นเรื่องปกติ

ด้วยที่หนิงฝานนอนอยู่แทบจะชิดนาง จึงได้ยินเสียงอุทานกระจ่างชัดของนางอย่างชัดเจน นอกจากนี้ กลิ่นกายหอมของนางก็ทำให้หนิงฝานตื่นเต้น

นางตระหนักได้ว่าตนเองตกใจจนเกินไป จนเร่งนอนลงที่เดิม แต่หัวใจกลับเต้นรัวยิ่งกว่าเดิม

แต่โชคดีที่หนิงฝานจดจ่ออยู่กับการขยับเคลื่อนไหวนิ้ว ใช้วิชาอสูร จึงไม่ได้สนใจการกระทำของนาง

หากหนิงฝานคิดร้ายกับนางจริง เขาคงใช้โอกาสที่นางตกใจเมื่อครู่ ใช้ดรรชนีคลายหยินกับนางไปแล้ว

นางสบายใจขึ้น เพราะนางรู้แล้วว่าเข้าใจหนิงฝานผิดไป แม้การกระทำของหนิงฝานจะไร้ยางอายไปบ้าง แต่เขาก็หวังดีกับนาง

เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว หนิงฝานเป็นเพียงผู้เยาว์ผู้ครอบปราณที่ทรงพลัง แม้เผชิญหน้า ยังไม่อาจทำอันตรายนางได้

แต่หลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่ปี นางกลายเป็นฝ่ายไม่อาจเทียบเคียง ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของเขาเท่านั้น

และยามนี้ การที่ได้เห็นหนิงฝานใช้วิชาปีศาจได้ ก็ทำให้นางตกตะลึง

วิชาอสูรที่ระดับต่ำสุด เป็นเพียงพื้นฐานของวิชาอสูรทั่วไป แต่ก็มีอสูรจำนวนน้อยที่ใช้ได้ เพราะการจะใช้วิชาอสูรได้นั้น อสูรต้องบรรลุขอบเขตแก่นทองคำเสียก่อน

การขยับนิ้วเป็นท่าทางของวิชานี้ เทียบได้กับวิชาผนึกในระดับแก่นทองคำ นับว่าไม่ยากนัก

เมื่อเข้าสู่นิทรา หนิงฝานก็จะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันของผู้อื่น

เดิมทีแม้วิชานี้จะเป็นเพียงวิชาระดับพื้นฐาน แต่ก็เป็นวิชาระดับตำนานที่สร้างชื่อไว้มากมาย อย่างเช่นช่วยให้เทพกษัตริย์บรรลุความเป็นเซียนได้

วิชานี้มนุษย์ไม่สามารถใช้ได้ มีเพียงอสูรเท่านั้นที่สามารถใช้วิชานี้เพื่อเข้าสู่นิทราและตัดความทรงจำได้

เมื่อครั้งแรกที่หนิงฝานฝึกใช้วิชาปีศาจ การขยับนิ้วเป็นท่าทางตามมวิชา เป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่ยามนี้ นิ้วของเขาสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับวารี

วิชาอสูรคือวิชาที่หยิบยืมพลังธรรมชาติ เพื่อเสริมวิชาให้ทรงพลัง

นอกจากหนิงฝานจะเป็นผู้ใช้วิชาอสูรแล้ว หยุนโร่วเหว่ยยังต้องวิชาเดียวกัน การขยับเคลื่อนไหวนิ้วของนางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ก็สำเร็จในที่สุด

เมื่อทั้งคู่ใช้วิชา สองมือสัมผัสผสานกัน แต่ก็ยังไม่สำเร็จ

เมื่อทดลองครั้งที่สอง ทั้งคู่ใช้วิชา สองมือสัมผัสผสานกัน หนิงฝานสัมผัสได้ถึงปราณจากภายนอกเพิ่มพูน แต่ก็ยังล้มเหลว

ครั้งที่สามก้เกือบจะสำเร็จ แต่หนิงฝานและนางหลับไม่พร้อมกัน

“วิชานี้เราต้องเข้าสู่นิทราพร้อมกัน...”

“อืม…” นางรู้ว่าหนิงฝานมากพรสวรรค์ จึงจดสิ่งสิ่งที่ผิดพลาดเพื่อปรับตัว

“หลังจากเราโคจรวิชาเสร็จ สองมือสัมผัสผสาน เมื่อยามนั้นเจ้าต้องจับมือข้าให้แน่นๆ”

ขณะกล่าว มือคู่งามของนางสั่นเทา

เมื่อรู้ว่าต้องสัมผัสมือกับหนิงฝานอย่างแนบแน่น จิตใจของนางก็เริ่มปั่นป่วน

หากทั้งสองไม่พร้อมกัน ก็จะใช้วิขาไม่ได้

นางขบฟันแน่น ทำใจ และกล่าวอย่างอาจหาญ “อืม… เริ่มกันเลย!”

“อืม”

ทั้งสองโคจรวิชาพร้อมกัน สัมผัสมือกันอย่างแนบแน่น และเข้าสู่นิทราไปพร้อมกัน...

เมื่อร่างกายของทั้งสองเชื่อมผสาน ปราณอสูรที่แตกต่างไหลเวียนเข้าหากันอย่างช้าๆ ความรู้สึกที่ได้ช่างดูน่าอัศจรรย์

เมื่อยามสัมผัสมือ นางขบฟันทนด้วยความเขินอาย แต่เมื่อตระหนักได้ นางก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

ความรู้สึกอุ่นๆ นุ่มละมุน แผ่ไปตามมือของทั้งสอง

ใบหน้าของนางแดงก่ำ เมื่อคิดว่าต้องจับมือกันเช่นนี้ไปอีกนาน

หนิงฝานเองก็แอบมีความสุข เพราะผิวพรรณของนางเรียบเนียนและนุ่มละมุนมาก แต่เขาเลือกที่จะไม่กล่าวความรู้สึกออกมา เพราะกลัวจะทำให้นางโมโหอีกครั้ง

เมื่อทั้งสองปล่อยให้จิตใจผ่อนคลาย หนิงฝานก็ถูกชักนำเข้าไปในจิตวิญญาณของนางอย่างช้าๆ และเข้าสู่นิทราไป...

บุบผางดงาม ใบหญ้าพลิ้วไหว ท้องนภาสีคราม สายลมพัดโชย… หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจูงมือ ราวกับอยู่ท่ามกลางสรวงสวรรค์

สถานที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งความฝันของนาง

ทิวทัศน์เช่นนี้ หนิงฝานเคยเห็นทางตะวันตกของแคว้นเยว่ เมื่อครั้งนั้น หานหยวนจี๋พาหนิงฝานไปเยือน และได้พบกับหยุนโร่วเหว่ยเป็นครั้งแรก

“ทิวทัศน์ช่างงดงาม น่าเสียดายที่วันนั้นไม่ได้เห็น...เพราะเป็นยามราตรี วิหารกล้วยไม้ยามนี้ช่างแตกต่างกันกันลิบลับ”

“นี่คือวิหารกล้วยไม้ของข้าเมื่อพันปีที่แล้ว… ยามนั้น ข้ายังไม่ใช่นายของที่นี่ ข้ายังเป็นเพียงอสูรวิหคตัวน้อย… เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ความฝันนี้ ต้องเป็นหลังจากนี้พันปี”

แต่ในขณะนั้นเอง นางกลับหันมองหนิงฝาน “ทำไมเจ้ายังไม่ปล่อยมืออีก”

“อ้อ! ข้าคิดว่าถึงจะอยู่ในฝันก็คงปล่อยไม่ได้...” หนิงฝานหัวเราะกลบเกลื่อนพลางปล่อยมือของนาง

นางไม่ใจที่ตนเข้ามาผิดความฝัน แต่ก็ทำได้เพียงรอให้ความฝันนี้จบลงเท่านั้น

“เรารออยู่เฉยๆจนกว่าความฝันจะจบลงดีกว่า...”

“คงอีกนานกว่าความฝันจะจบลง ถ้าไม่ออกไปสำรวจสักหน่อย คงน่าเสียดายแย่… จะว่าไป ต้นไม้โบราณต้นนั้นดูไม่ธรรมดา ข้าจะไปดูใกล้ๆเสียหน่อย”

หนิงฝานย่างก้าวพริบตา มุ่งตรงเข้าสู่วิหารกล้วยไม้ ตรงไปยังตำแหน่งของต้นไม้โบราณ

ภายในวิหารมีนักบวชอยู่หลายคน แต่ละคนนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องของตน นักบวชเหล่านั้นไม่ทราบว่าหนิงฝานเข้ามา แต่แม้บางคนจะพบเห็น ก็เพียงแค่มองเท่านั้น

แม้นักบวชในวิหารจะไม่ใส่ใจ แต่หยุนโร่วเหว่ยใส่ใจ

เมื่อเห็นหนิงฝานมุ่งตรงไปยังวิหาร นางแตกตื่น และยิ่งเมื่อเห็นหนิงฝานยื่นมือหวังสัมผัสต้นไม้โบราณ นางก็ตะโกนขึ้น

“ห้ามจับ!”

“อย่าสัมผัส!”

ทันทีที่หยุนโร่วเหว่ยตะโกน เสียงอีกสายที่อยู่บนต้นไม้ก็กล่าวขึ้นเช่นกัน

เพียงแต่นั่นสายเกินไป หนิงฝานเผลอสัมผ้สไปแล้ว “อืม… เป็นต้นสนที่ดีจริงๆ ถ้าตัดไปทำฟืนขายคงได้ราคาดี ว่าแต่… ทำไมถึงไม่ให้สัมผัส?”

หนิงฝานสัมผัสไปแล้ว ทั้งสัมผัส ทั้งกล่าวชื่นชม ทั้งบอกว่าจะตัดไปทำฟืน

หยุนโร่วเหว่ยโมโหเป็นอย่างมาก นางจึงตะโกนขึ้น “ไร้ยางอาย ไร้ยางอายที่สุด”

ในยามนั้นเอง ต้นสนที่งดงามได้ปรากฏร่างของสตรีในอาภรณ์เหลือง เรือนผมดำขลับประดับด้วยขนนก จ้องมองหนิงฝานด้วยแววตา แม้นางจะกล่าวตำหนิ แต่น้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้นกลับฟังรื่นหูอย่างบอกไม่ถูก

“ห้ามสัมผัส ต้นสนนี้คือน้องโร่วเหว่ยของข้า!”

“น้องโร่วเหว่ย...”

หนิงฝานประหลาดใจและหยุดมือ

โร่วเหว่ย… โร่วเหว่ย… หรือต้นสนโบราณนี้จะเป็นหยุนโร่วเหว่ยเมื่อพันปีที่แล้ว!?

เช่นนั้นที่เขาสัมผัสเมื่อครู่ ก็เท่ากับการสัมผัสหยุนโร่วเหว่ย

หนิงฝานเพียงคิดจะสัมผัสต้นไม้ กลับกลายเป็นเรื่องที่ไร้ยางอายเสียได้

เมื่อหยุนโร่วเหว่ยจ้องมองสตรีในอาภรณ์เหลืองนางนั้น แววตาที่โกรธเคืองของนางก็อ่อนโยนลง

แต่เมื่อหนิงฝานจ้องมองนาง หัวใจของเขากลับสั่นสะท้าน ปราณอสูรในร่างไม่อาจคสวคุม

สตรีในอาภรณ์เหลืองก็เป็นอสูร แต่เหตุใดโลหิตอสูรในร่างหนิงฝาน ดูเหมือนกำลังเรียกหานางอยู่

“ข้ามีนามว่า ‘หนิงเชี่ยน’ ต้นสนนี่คือน้องสาวข้าโร่วเหว่ย นางกำลังบ่มเพาะ อย่าได้สัมผัสทำร้ายนาง… น้องสาวข้าต่างจากคนทั่วไป นางไม่อาจกลายร่างเป็นอสูรได้ง่ายนัก”

“วางใจเถอะ ข้าไม่ทำร้ายนางหรอก เมื่อครู่ข้าขออภัยด้วย” หนิงฝานกล่าว

“ขอบคุณ… วันนี้จะมีผู้อาวุโสมาเยือนวิหารกล้วยไม้...”

สตรีอาภรณ์เหลืองแหงนหน้ามองท้องนภา แววตาเผยความตกตะลึง

เพราะบนนั้นมีชายในอาภรณ์ขาว สองเท้าเหยียบกระบี่บินตรงมา เมื่อแผ่สัมผัสเทพไปทั่ววิหารกล้วยไม้ ชายผู้นั้นก็เผยสีหน้าประหลาดใจ

“หืม? ต้นสนโบราณ! อย่างน้อยสมควรมีอายุ 3 หมื่นปี อีกไม่นานคงแปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ นับว่าเป็นประโยชน์กับ ‘กระบี่กำราบปีศาจ’ ของข้ามาก… เดี๋ยวนะ! ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มถึง 2 คนเลยเหรอ คงชิงต้นสนมาไม่ได้ง่ายๆแล้ว”

ชายคนนั้นหัวเราะลั่น จนทำให้วิหารกล้วยไม้และโดยรอบสั่นสะเทือน

“ข้าคือบุตรแห่งเทพแห่งวิหารพิรุณ ‘หยุนเทียนเฉว’ ข้าต้องการต้นไม้โบราณต้นนั้น ขอสหายเต๋าทั้งสองคงหลีกทางด้วย!”

มันกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดดี แววตาของมันเป็นประกายคล้ายหนิงฝาน

ดูเหมือนเมื่อพันปีที่แล้ว หยุนเทียนเฉวจะเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง แต่มันก็สามารถครอบครองเจตจำนงค์เทพได้ กระทั่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิหารพิรุณ...

ในปัจจุบัน หยุนเทียนเฉวคือผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกที่ 4 และมีตำแหน่งเป็นว่าที่เทพกษัตริย์แห่งแคว้นพิรุณคนต่อไป

เมื่อเห็นบุรุษคนนั้น สตรีในอาภารณ์เหลืองเผยสีหน้าตระหนก

หยุนโร่วเหว่ยที่เห็นเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ทำได้เพียงถอนหายใจ

“เห็นคนที่ไม่อยากเห็นจนได้… แม้เป็นในความฝันก็ยังหนีไม่พ้น”

ทันทีที่หยุนโร่วเหว่ยกล่าวจบ ความฝันของนางก็สลายและก่อตัวขึ้นมาใหม่

ความฝันในคราวนี้ เป็นความในอีกพันปีถัดมา

ความฝันในยามนี้ เป็นความฝันที่ไม่ควรค่าให้นางกล่าวถึง แต่ยามนี้ หนิงฝานกลับรู้สึกเสียวสันหลัง ความรู้สึกนั้นทำให้โลหิตอสูรของเขาเดือดพร่าน

แต่ไม่นาน โลหิตอสูรในกายหนิงฝานก็สงบลง

“เมื่อครู่คืออะไร?”

“มันคือลางสังหรณ์ของข้า เหมือนในวันเดียวกับที่เจ้ามาเยือนวิหารกล้วยไม้ ข้าก็รู้สึกเช่นนี้... ตัวเจ้าดูคล้ายหยุนเทียนเฉวมาก ข้าเลยคิดว่าเจ้าเป็นคนที่วิหารพิรุณกำลังตามหา… เจ้าน่าจะรู้ว่าวิหารพิรุณกำลังตามหาคนอยู่!”

“เรื่องนั้นเกี่ยวกับข้าด้วยเหรอ?”

“ข้าก็ไม่รู้… แต่ที่วิหารพิรุณออกตามหาคนผู้หนึ่งยังแคว้นต่างๆมากมาย เป็นเพราะคำกล่าวสุดท้ายของเทพกษัตริย์ของโลกพิรุณคนก่อน...”

“คำกล่าวสุดท้าย?” หนิงฝานรู้ว่าวิหารพิรุณกำลังตามหาคนอยู่ เมื่อคราวงานประมูลผลไม้แห่งเต๋า คนของวิหารพิรุณก็มาเยือนแคว้นเยว่ เมื่อยามเที่อยู่นิกายกุ่ยเชว่ หยุนเลี่ยดูราวกับมาตามหาบางคน นอกจากนี้ ในวันประลองของหนิงฝาน ขอทานในขอบเขตไร้แบ่งแยกผู้หนึ่งก็ดูราวกับกำลังตามหาคนผู้หนึ่ง

“ก่อนที่เทพกษัตริย์แห่งโลกพิรุณคนก่อนจะตายไป เขาได้ทิ้งคำทำนายไว้ที่ ‘สระชะตาสวรรค์’ วิชาทำนายไว้ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปแสนปี เทพกษัตริย์คนปัจจุบันได้ไปตามหาคำทำนาย… คำทำนายกล่าวว่า เทพกษัตริย์แห่งโลกพิรุณคนปัจจุบันจะได้พบคนผู้หนึ่ง เมื่อผ่านไปพันปี คนผู้นั้นจะแข็งแกร่งจนกลายเป็นผู้ที่ไร้พ่ายในโลกมนุษย์ทั้ง 9 และคนผู้นั้น ก็ถือกำเนิดในโลกพิรุณ… คนผู้นั้นไม่ใช่คนของแดนสวรรค์ แต่เป็นผู้ที่ถือกำเนิดในโลกพิรุณโดยแท้! ในคำทำนายยังกล่าวอีกว่า แค่เทพกษัตริย์เห็นเพียงแผ่นหลังของคนผู้นั้น ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด!”

“เห็นแค่แผ่นหลังก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด! ฝึกฝนแค่พันปีแต่กลับทรงพลังมากขนาดนั้น... หากคนผู้นั้นมีตัวตนอยู่จริง วิหารพิรุณคนหาตัวพบและดึงตัวเข้าร่วมกับพวกมันไปแล้ว แบบนั้น พวกมันจะทรงพลัง กระทั่งต่อกรกับโลกปีศาจ โลกอสูร และโลกใบอื่นๆได้”

แค่เห็นแผ่นหลังก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ความแข็งแกร่งระดับย่อมเป็นที่ต้องการของวิหารพิรุณ

แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยุนโร่วเหว่ยยังไง?

“แค่มองเห็นแผ่นหลัง เทพกษัตริย์ก็รับรู้ได้ว่าคนผู้นั้นมีปราณมหาศาลขนาดไหน ดังนั้น เขาจึงส่งคนออกตามหาไปยังแคว้นต่างๆอย่างไม่ลดละ! สิ่งที่จะระบุตัวตนของคนผู้นั้นคือ คนผู้นั้นมีเจตจำนงค์เทพพิรุณ มีกลิ่นอายที่ลึกล้ำ เหมือนกลิ่นอายของเทพพิรุณ คนผู้นั้นอาจเป็นบุตรแห่งเทพที่ลงมาจุติ… ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าบุตรแห่งเทพนั้น คือเหล่าองค์ชายของเทพกษัตริย์แห่งพิรุณ รวมทั้งหมดแล้วมีด้วยกัน 30 คน แต่คนเหล่านั้นไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น เทพกษัตริย์จึงได้มีบุตรกับปีศาจและอสูร เพื่อสร้างบุตรแห่งเทพขึ้นมา แต่สุดท้าย บุตรและนางสนมเหล่านั้นก็ถูกขับไล่ออกจากวิหารพิรุณ เพราะหลายคนนั้นในนั้นไม่ยอมรับผู้ที่มีโลหิตอสูร”

“เพราะเหตุนั้น เทพกษัตริย์จึงให้คนของตนออกตามหาคนในคำทำนายเหรอ? คาดไม่ถึงว่าเทพกษัตริย์จะเลวร้ายกว่าที่ข้าคิดไว้ ถึงกลับกล้าทิ้งบุตรและภรรยา… เมื่อรู้ว่าบุตรหรือภรรยาเหล่านั้นเป็นประโยชน์กับตน จึงคิดออกตามหาเพื่อดึงตัวกลับมาอีกครั้ง… มิน่าข้าถึงดูคล้ายหยุนเทียนเฉว บางทีข้าอาจเป็นบุตรของมันอีกคน”

หนิงฝานขมวดคิ้ว ในอดีตที่เขาล่วงเกินหยุนโร่วเหว่ย การที่นางยอมปล่อยเขาไป ไม่ใช่เพราะนางโปรดปราณในตัวเขา แต่เป็นเพราะเหตุผลสำคัญบางอย่าง

“ข้าไม่เกี่ยวข้องกัยหยุนเทียนเฉว...” ขณะกล่าว หนิงฝานก็นึกถึงวันที่ตนเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันของหมิงลั่ว เพื่อนำผลแห่งความฝันออกมา ในดินแดนแห่งความฝันแห่งนั้น ดูเหมือนหนิงฝานจะมีแซ่หยุน

บางทีตนเองอาจเป็นบุตรลับๆของผู้เชี่ยวชาญบางคนในวิหารพิรุณ และถูกขับไล่ออกมา

แต่ถึงต่อให้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หนิงฝานก็ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจที่จะกลับไปสืบสาวว่าใครเป็นบิดา

“ข้ารู้ว่าในกายเจ้าไม่มีโลหิตเทพพิรุณ… เจ้าไม่ใช่ลูกหลานของพวกนั้นแน่นอน… ข้าได้ยินมาว่า หลังจากวิหารพิรุณตามหาไปทั่วทุกแคว้นในโลกใบนี้ พวกมันพบลูกหลานของตนนับร้อย แต่ละคนได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ทั้งยังได้ยินมาว่า ในหมู่คนเหล่านั้นมีผู้ครอบครองเส้นลมปราณปีศาจโบราณ หรือเส้นลมปราณเทพโบราณอยู่ด้วย ทำให้ความสนใจในการหาตัวคนตามคำทำนายได้เลือนหายไปอย่างช้าๆ... ในวันที่เจ้ามาเยือน เหตุที่ข้าปล่อยเจ้าไปก็เพราะคิดว่าเจ้าเป็นคนผู้นั้น”

“ช่างเถอะ… หยุดพูดเรื่องนี้ดีกว่า ตอนนี้ความฝันของท่านสมควรเป็นช่วงเวลาที่ถัดจากวิหารกล้วยไม้ในคราวนั้นแล้วใช่หรือไม่?” หนิงฝานเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่สนใจเรื่องที่จะเป็นลูกหลานของวิหารพิรุณ

การที่พวกมันหาลูกหลานที่มากพรสวรรค์ได้หลายร้อยคน คงทำให้พวกมันภาคภูมิใจ

“อืม… ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ข้าจะได้พบเจ้า รอให้ถึงยามราตรี จะมีคนที่น่ารังเกียจผู้หนึ่งปรากฏ เราจะออกไปสังหารมันพร้อมกัน!”

“อืม!”

หนิงฝานพยักหน้าและเฝ้ารออย่างอดทน เขาไม่อยากทำให้นางโมโหอีก...

ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน

เมื่อเข้าสู่ยามราตรีโดยสมบูรณ์ เสียงหัวเราะที่อวดดีก็ดังขึ้น รุ้งหิมะพาดผ่านท้องนภา พร้อมกับเสียงของคนผู้หนึ่ง

“ฮ่าฮ่า! หยุนโร่วเหว่ย ออกมาซะดีๆ มาให้นายท่านของเจ้าได้จับหน้าอกของเจ้าได้แล้ว!”

เมื่อเงาร่างของคนผู้นั้นปรากฏ สีหน้าของนางเผยความเกลียดชัง แต่หนิงฝานกลับไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้

เจ้าของเงาร่างผู้นั้นอายประมาณ 17 ปี

ใบหน้าไม่ได้ต่างไปจากตัวเขาแม้แต่น้อย

“หยุนโร่วเหว่ย ออกมาได้แล้ว! ข้าอยากกอดเจ้า สัมผัสกายเจ้า!

“หยุนโร่วเหว่ย ข้าหนิงฝานรักเจ้า ออกมาเถอะ อย่าหลบหน้าข้าเลย!”

“หน้าอกหอมๆนั่น ข้าชอบที่สุด!”

คำกล่าวเหล่านั้น ใบหน้าของคนผู้นั้น แทบทำให้หนิงฝานกระอักโลหิต

ที่แท้ฝันร้ายของนางก็คือตัวเขา และดูเหมือนจะเป็นด้านลบด้วย

มิน่า นางถึงมองเขาว่าไร้ยางอายเสมอ

“เจ้าไปฆ่ามันได้แล้ว ข้าไปไม่ได้...” นางขบฟัน

“อืม… ก็ได้” หนิงฝานถอนหายใจ ย่างก้าวพริบตาเลือนหายไปในยามราตรี

แต่เมื่อหนิงฝานตัวปลอมเห็นอีกฝ่ายเข้าใกล้ด้วยย่างก้าวพริบตา มันเร่งคุกเข่าลงแล้วตะโกนลั่นด้วยความหวาดกลัว

“ทะ...ท่านปู่ ยกโทษให้ข้าด้วย หยุนโร่วเหว่ยเป็นคนไม่ดี ท่านต้องไปจัดการนาง!”

“เห้อ… เจ้าตายไปเถอะ เห็นเจ้าแล้วข้ารู้สึกขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก...”

หนิงฝานส่ายหน้า แล้วลงมือสังหารหนิงฝานตัวปลอมไป

หนิงฝานรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก

ที่สำคัญ ตนเองก็ยังเป็นผู้สังหารตนเองอีกคน

ดูเหมือนสำหรับหยุนโร่วเหว่ยแล้ว หนิงฝานไม่ได้เป็นคนดีในสายตานางแม้แต่น้อย ช่างน่าเศร้า

“ไปกันเถอะ ข้าทำลายฝันร้ายของท่านแล้ว...” หนิงฝานยิ้มเจื่อน เขาไม่อยากอยู่ในดินแดนสวรรค์ของนางนานนัก...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด