GE178 น่าเสียดาย น่าเสียดาย [ฟรี]
วายุพัดพา เรือเหาะที่ได้รับความเสียจำนวนมากบินตรงมายังภูเขาจูซาน
ตั้งแต่วันนั้น... ก็ผ่านมา 7 วันแล้ว
เรือเหาะทยอยกลับภูเขาจูซานลำแล้วลำเล่า พร้อมกับเหล่าหน่วยรบที่ได้แต้มมากมาย
ผู้เชี่ยวชาญที่เนื้อตัวอาบโชกไปด้วยโลหิต ทยอยกันเข้าแลกหยกสวรรค์ โอสถ และสมบัติที่ยกระดับพลัง
ในหอคอยบนกำแพงเมืองรอบนอก สตรีในอาภรณ์ขาวจ้องมองขอบฟ้าด้วยแววตากังวล
แม้บริเวณที่เกิดสงครามจะอยู่ห่างไกล แต่กลิ่นคาวคุ้งโลหิตยังไม่จางหาย คนที่สตรีนางนั้นเฝ้ารอยังไม่กลับมา
“แม่นางเชียนสื่อ เจ้าวางใจเถอะ สหายเต๋าซัวหมิงแข็งแกร่ง เขาไม่เป็นอะไรหรอก...” จิงสั่วกล่าวปลอบ
“อืม… ข้ารู้ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่ว่า… ในหมู่หน่วยรบทั้ง 10 มี 7 หน่วนที่เอาชัยอสูรได้ แต่อีก 3 หน่วยไม่อาจเอาชัย แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มถึง 3 คน แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องเสียกายเนื้อ และหลบหนีกลับมา… แบบนั้นแล้ว เขาจะปลอดภัยได้ยังไง?” นางขบริมฝีปากพลางถอนหายใจ
เหตุใดเขาต้องอาษาไปเป็นหน่วยรบ… เหตุใด...
เขาบอกให้ข้าอยู่ที่นี่ แต่ตัวเองกลับเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง
แววตาของนางแสดงออกถึงความกังวลอย่างชัดเจน แม้จิงสั่วกล่าวปลอบ แต่ไม่อาจคลายความกังวล
แต่ในขณะนั้นเอง สุดขอบฟ้าปรากฏเรือเหาะ หัวเรือปรากฏเงาร่างของบุรุษในอาภรณ์ขาวดำ ยืนมือไพล่หลัง ใบหน้าซีดขาว แต่ประดับด้วยรอยยิ้ม
“เขากลับมาแล้ว… ดูเหมือนคงได้แต้มมามากมาย เหมือนครั้งที่อยู่นิกายกุ่ยเชว่...”
แววตานางเป็นประกาย ทะยานลงจากหอคอย ตรงเข้าหาหนิงฝานเพื่อต้อนรับ...
เขาชนะสงคราม
แต้มที่ได้คงมากพอให้ไปจากแคว้นจิน บางทีอีกไม่นานท่านเสวี่ยคงยกทัพบุกสระมังกรนิทรา เพื่อเริ่มสงครามเพื่อตัด… แต่หนิงฝานไม่ได้คิดจะเข้าร่วมสงครามนั้น
เหตุผลของเขามีมากมาย
ข้อแรกคือเขามีแต้มมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอีก อีกอย่าง สงครามตัดสินจะเริ่มในอีก 1 เดือนข้างหน้า เวลาที่ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายก็คืออีก 1 เดือนข้างหน้าเช่นกัน หากสงครามยืดเยื้อ ก็ไม่อาจกลับมาทันข่ายอาคมเคลื่อนย้าย
อีกข้อคือที่สระมังกรนิทรามีอสูรในขอบเขตตัดวิญญาณอยู่ หนิงฝานจับผู้ติดตามของมันมา 2 ตน สังหารไปอีก 1 ตน… ก่อนตาย อสูรสิงโตได้พ่นโลหิตมาที่ตัวหนิงฝาน ทำให้ตัวเขามีกลิ่นอายของมันอยู่ หากขุนพลอสูรสัมผัสได้ มันจะรู้ทันทีว่าเขาเป็นคนสังหาร มันคงต้องตามมาแก้แค้น
เหตุผลสุดท้าย คือกระเป๋าที่ได้มาจากอสูรสิงโต มีสิ่งที่หนิงฝานให้ความสนใจอย่างที่สุด
หนิงฝานต้องการเวลารักษาตัว
การเดินทางไปทำลายเมืองอสูรนั้น ทำให้หนิงฝานเก็บเกี่ยวสิ่งล้ำค่าได้ไม่น้อย
ในกระเป๋าของอสูรสิงโตมีโลหะดาราโบราณขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ซึ่งใหญ่กว่าสร้อยหยินหยาง
กระบี่แยกสวรรค์ที่สัมผัสถึงโลหะดาราโบราณ ก็สั่นเทาด้วยความตื่นเต้น หากได้หลอมผสานมันเข้าด้วยกัน นอกจากกระบี่จะทนทานขึ้น อานุภาพของมันก็จะเพิ่มพูน
กระบี่แยกสวรรค์ของหนิงฝานมีตัวกระบี่ที่บางมาก ไม่สามารถใช้แทงอย่างรุนแรงได้ เขาต้องยกระดับเสริมความแข็งแกร่งให้มัน
แต่หนิงฝานไม่รู้ว่าโลหะดาราโบราณที่ขุนพลอสูรมอบให้อสูรสิ่งโตนั้น ถูกดัดแปลงสำหรับเผ่าอสูรเพียงอย่างเดียวหรือเปล่า เพราะหากไม่ใช่เผ่าอสูร จะไม่สามารถเปล่งอานุภาพของกระบี่ออกมาได้
แต่ช่างน่าเศร้าที่ตอนนี้โลหะดาราโบราณตกเป็นของหนิงฝาน หากขุนพลอสูรรู้เข้าคงโกรธน่าดู
ในเมื่อมีโลหะดาราโบราณให้ต้องจัดการ หนิงฝานจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมสงครามตัดสิน...
ยามนี้ ในร่างของหนิงฝานมีโลหิตของอสูรจำนวนมากไหลเวียน
เมื่อคราวที่ทำสงครามที่ผ่านมา หนิงฝานกินอสูรลงไปทั้งเป็น ทำให้โลหิตของมันไหลเวียนอยู่ภายในร่าง… แม้การกินอสูรด้วยกันเข้าไปจะทำให้ดูน่าสะอิดสะเอียน แต่ก็ทำให้ยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็ว
อสูรนั้นมีวิธีฝึกฝนอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคืออาบแสงตะวัน อาบแสงจันทร์ และดูดซับปราณในธรรมชาติ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นปราณอสูรของตน
วิธีที่สองคือการดื่มโลหิตเพื่อยกระดับโลหิตและยกระดับปราณอสูร
หนิงฝานโคจรวิชาอสูรเพื่อกลั่นโลหิตของอสูรที่กินเข้ามา เปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นแก่นโลหิตให้ดูดซับ แก่นโลหิตเหล่านั้นเปล่งประกายสีทอง ซึ่งเป็นปราณอสูรของอสูรสิงโต
หลังจากการกลั่นด้วยวิญญาณอสูร หนิงฝานก็ดูดซับแก่นโลหิตเหล่านั้น เสริมให้โลหิตอสูรที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างเข้มข้นมากขึ้น
ยามนี้ หนิงฝานกำลังดูดซับแก่นโลหิตภายในร่างอย่างช้า
ปราณอสูรและโลหิตอสูรก็ยกระดับอย่างช้าๆ
การที่โลหิตอสูรอันเบาบางยกระดับขึ้นช้าๆ เผ่าอสูรโบราณคงคาดไม่ถึง
แต่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ คือสร้อยหยินหยาง
มันช่วยให้หนิงฝานครอบครองทั้งเส้นลมปราณอสูร เทพ และปีศาจ
หากมนุษย์ที่ครอบครองโลหิตอสูรอันเบาบาง มีสร้อยหยินหยางเหมือนหนิงฝาน โลหิตอสูรของพวกมันคงยกระดับได้เหมือนกัน
ยามนี้ ปราณอสูรของหนิงฝานยกระดับจนถึงขอบเขตประสานวิญญาณขั้นต้นแล้ว
ด้วยแก่นโลหิตที่หนิงฝานได้รับ ช่วยให้ปราณอสูรของเขายกระดับถึงขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสูงสุด!
นอกจากในกระเป๋าของอสูรสิงโตจะมีโลหะดาราโบราณ มันยังมีสมุนไพรและสมบัติ... มันได้สมบัติมาจากการสังหารมนุษย์ ส่วนสมุนไพร มันเก็บได้เอง
ภายในกระเป๋ายังมีขวดอยู่ใบหนึ่ง ในนั้นมีโลหิตหลอมที่ต่างไปจากหนิงฝานเคยพบ
กลิ่นอายของมันเหมือนกับแก่นโลหิตอสูรที่หนิงฝานกลั่นได้เมื่อครู่ เพียงแต่ปราณอสูรที่อัดแน่นอยู่ภายใน เข้มข้นต่างกันราวฟ้ากับเหว!
“หรือนี่จะเป็นโลหิตของขุนพลอสูร!”
หนิงฝานรู้ว่า หากตนดูดซับโลหิตนี้เข้าไป ปราณอสูรของเขาจะทะลวงขอบเขตแก่นทองคำ กระทั้งอาจจะสูงกว่านั้น
แต่หนิงฝานไม่กล้าดูดซับมัน เพราะการดื่มโลหิตอสูรเพื่อยกระดับพลังสมควรมีขีดจำกัด การจะดูดซับโลหิตของอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มต้องทำอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังมีหลายสิ่งที่หนิงฝานไม่รู้เกี่ยวกับวิธีการยกระดับนี้ เขารู้เพียงหากฝืนดูดซับโลหิตของขุนพลอสูรเข้าไป อาจจะทำให้ร่างระเบิดได้
“ในอนาคตค่อยว่ากัน...”
เมื่อเรือเหาะหนิงฝานลงจอด ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเร่เข้ามาหา หนิงฝานก็พยักหน้าเป็นมารยาท
หนิงฝาน หยุนโร่วเหว่ย และเจี่ยเซียว มุ่งตรงไปยังสถานที่แลกแต้ม ที่นั่นมีโต๊ะขนาดยักษ์ มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมุงดู หากนำหยกบันทึกแต้มไปวางไว้ที่โต๊ะ โต๊ะจะบันมึกแต้มเอาไว้
ที่โต๊ะมีชายชราผู้หนึ่งรับหน้าที่ดูแล มันทำหน้าที่เป็นผู้นำของรางวัลแลกกับแต้มที่ได้
แต่ขณะที่หนิงฝานเดินอยู่นั้น สตรีนางหนึ่งเข้ามาขวางทาง
“ซัวหมิง!”
“เจ้ารอข้าอยู่เหรอ?”
“อืม...”
นางแสร้งทำเป็นไม่เรียกชื่อจริงหนิงฝาน
แต่เมื่อนางมองเห็นสตรีที่อยู่ข้างกายหนิงฝาน หัวใจของนางกลับบีบรัดอย่างบอกไม่ถูก… หยุนโร่วเหว่ยดูออกว่าชู่ซวนเชียนสื่อมีใจให้หนิงฝาน นอกจากนี้ สตรีเช่นนางยังมากพรสวรรค์ หากนางไม่บังเอิญประสบโชคลาภ นางคงไม่อาจก้าวมาถึงระดับนี้ได้
นางรู้ว่าหยุนโร่วเหว่ยและเจี่ยเซียวคือผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม จึงคารวะให้
“ชู่ซวนเชียนสื่อคารวะผู้อาวุโสทั้งสอง..” นางเผลอมองหยุนโร่วเหว่ยอยู่นาน จนสุดท้ายก็รู้สึกตัวว่าเสียมารยาท
“เจ้า...” หยุนโร่วเหว่ยเองก็ประหลาดใจ แม้ว่าชู่ซวนเชียนสื่อจะเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญกึ่งดวงจิตแรกเริ่ม แต่รากฐานการฝึกฝนของนางไม่ธรรมดา หัวใจของนางก็หนักแน่น การที่สตรีคนหนึ่งจะบรรลุถึงระดับนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ฮ่าฮ่า นางคือสหายของสหายเต๋าซัวหมิง… ดูเหมือนนางมีเรื่องจะพูดคุย ข้าว่าเราไปกันก่อนเถอะ...” เจี่ยเซียวหล่าว
“ที่แท้เป็นสหายของสหายเต๋าซัวหมิง...” จู่ๆความรู้สึกที่ยากจะอธิบายก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของหยุนโร่วเหว่ย
จิตใจของนางราวกับกำลังประสบปัญหาร้ายแรง… นางไม่ได้ชอบหนิงฝาน แต่เหตุใดเมื่อได้ยินว่าชู่ซวนเชียนสื่อเป็นสหายหนิงฝาน จิตใจของนางกลับสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
“ในเมื่อเป็นสหายของสหายเต๋าซัวหมิง ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกขานข้าว่าผู้อาวุโส แค่เรียกข้าว่าพี่ก็พอแล้ว”
“เชียนสื่อไม่กล้า...”
“น้องเชียนสื่อฝึกฝนตนเองมาเป็นอย่างดี มีรากฐานที่ลึกล้ำ...”
“แม้รากฐานจะลึกล้ำ แต่เป็นอยู่เพียงขอบเขตแก่นทองคำ ไม่อาจเทียบชั้นกับพี่สาวได้...”
หนิงฝานที่อยู่ใกล้ๆ ฟังพวกนางพูดคุยกันแล้วรู้สึกแปลกพิกล แต่บางทีเขาอาจคิดไปเอง...
ในขณะที่พวกนางพูดคุย โต๊ะบันทึกแต้มก็มีเสียงโห่ร้องอย่างคึกคักดังมา
เพราะทุกครั้งก่อนมีการบันทุกแต้ม ชายชราที่รับผิดชอบดูแลจะขานแต้มก่อน
“หวางเหว่ย… ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูง 7,152 แต้ม!”
“ยู่หมิง… ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูงสุด 8,503 แต้ม!”
“หลู่ฟง… ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสูง 5,586 แต้ม!”
“หู่หยาน!”
เมื่อขานชื่อหู่หยาน สีหน้าชายชราแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มันกระแอม สีหน้าแปรเปลี่ยนจริงจัง เพราะหู่หยานคือหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพแห่งแคว้นเยว่
“แม่ทัพ 6... ผู้อาวุโสหู่หยาน ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง 96,492 แต้ม!”
โห!!
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเปล่งเสียงอุทานพร้อมกัน
ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ทำแต้มได้มหาศาลจนเกือบบรรลุถึง 1 แสน!
ในขณะที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญส่งเสียงอึกทึก คำกล่าวเย้ยหยันก็ดังมา
“ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางแห่งแคว้นจิน ได้แต้ไม่ถึงแสนก็ดีใจแล้วงั้นรึ? ข้าขอลงบันทึกแต้มด้วย!”
“ขอรับ!”
ผู้เยาว์ในชุดคลุมเงินเดนมา มันคือหยุนขวาง กลิ่นอายความบ้าคลั่งยังไม่จางหาย ดูเหมือนมันเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามที่รุนแรง
คำกล่าวขงหยุนขวางทำให้หู่หยานไม่พอใจ
แต่ด้วยที่วิหารพิรุณทรงพลังกว่าแคว้นจิน หู่หยานจึงไม่อาจยั่วยุหยุนขวาง… เมื่อหู่หยานได้ยินแต้มของหยุนขวาง ขาของมันแทบทรุด
“ทูติหยุนขวางแห่งวิหารพิรุณ ได้แต้ม 235,891 แต้ม! ได้ 100,000 แต้มจากการสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม!”
ฮือ!!
ทันทีที่สิ้นเสียงชายชรา ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ
แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งในแคว้นจินก็ยากจะทำแต้มได้มากขนาดนี้ ที่สำคัญ ยังสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มได้ด้วย
อสูรสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มนั้นแข็งแกร่ง มีความสามารถในการเอาตัวรอดได้มากมายจนยากจะสังหารพวกมัน แม้เป็นหูหยานก็ยากจะสังหาร แต่หยุนขวางกลับทำได้แ แม้จะไม่มีกระบี่ไร้เงา แต่วิชาลอบสังหารของมันก็ใช่ว่าจะประมาทได้
ชายชราผู้หนึ่ง ผู้รั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นจิน เมื่อเห็นหู่หยานถูกเย้ยหยัน มันคิดเข้าช่วย แต่เมื่อมันรู้แต้มของหยุนขวาง มันต้องสงบคำ เพราะมันได้แต้มเพียง 190,000 แต้มเท่านั้น
การที่แม่ทัพใหญ่ไม่กล่าวคำ แสดงว่าด้อยกว่าอีกฝ่าย หยุนขวางจึงเผยสีหน้าพอใจ
“ฮ่าฮ่า… แม่ทัพใหญ่ไม่กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าได้แต้มน้อยกว่าข้า… ผู้ดูแลแต้ม! บันทึกแต้มของข้าเพียง 230,000 ก็พอ!”
เมื่อกล่าวจบ มันหันมองคนผู้หนึ่งด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ซัวหมิง! หากแต้มเจ้าน้อยกว่าข้า ก็เลิกยุ่งกับแม่นางเชียนสื่อแล้วไสหัวไปไกลๆ!”
หยุนขวางกล่าวอย่างชัดเจน
ในขณะที่หนิงฝานกำลังฟังสตรีสองนางพูดคุยเรื่อยเปื่อย เสียงของหยุนขวางที่ดัง ทำให้หนิงฝานขมวดคิ้ว
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากถอยห่าง ในเมื่อหยุนขวางยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คงเกิดการต่อสู้ขึ้นแน่ แต่หนิงฝานกลับยิ้มเล็กน้อย มองตาหยุนขวางราวกับขบคิดบางสิ่ง จากนั้นนำหยกสีดำเดินตรงมายังโต๊ะบันทึกแต้ม
“ทูติหยุนขวางได้แต้มมากมายจึงปัดบางส่วนทิ้ง แต่ข้าซัวหมิงได้แต้มเพียงน้อยนิด ขอผู้อาวุโสช่วยบันทึกแต้มส่วนนั้นลงในแต้มของข้าแทน เพราะถึงแต้มจะไม่มาก แต่ก็แลกหยกสวรรค์ได้...”
“ย่อมได้!”
ชายชราจ้องมองหนิงฝาน
แต่เมื่อชายชราก้มมองหยกของหนิงฝาน สองมือของชายชรากลับสั่นเทา จนหยกในมือร่วงหล่นลงโต๊ะ
“ขะ...ข้าขออภัย!”
ชายชราเร่งหยิบหยกของหนิงฝานขึ้นมา และกล่าวขอโทษ
“เรื่องเล็กน้อย ท่านไม่ต้องใส่ใจ”
“ขะ...ขอรับ! แม่ทัพเจ็ดซัวหมิง ได้แต้ม 648,153 แต้ม!”
“อะไรนะ! 6 แสน!?” ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดอุทาน แต้มมากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้
“ไม่เพียงเท่านั้น… ยังมีแต้มอีก 3 แสนจากการสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มอีก 3 ตน...” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม 3 ตน!” สีหน้าเหล่าผู้เชี่ยวชาญแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง! อสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มตนเเดียวก็สังหารได้ยากแล้ว แต่นี่กลับสังหารไปถึง 3 ตนในการต่อสู้
“ไม่เพียงเท่านั้น… แม่ทัพเจ็ดซัวหมิงยังสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางอีกตนหนึ่ง!”
“อะไรนะ? อสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง! แม่ทัพซัวหมิงสังหารอสูรในระดับเดียวกับตน”
การสังหารผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่อยู่ในระดับเดียวกัน นับเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอย่างที่สุด เพราะต่อให้ทำลายกายเนื้อได้ จิตวิญญาณของอีกฝ่ายยังหนีไปได้ ซึ่งร่างวิญญาณจะเร็วกว่าร่างเนื้อมาก แต่ซัวหมิงผู้นี้กลับสังหารได้
เมื่อบันทึกแต้มเสร็จ หนิงฝานก็นำหยกกลับคืน แล้วยิ้มให้หยุนขวาง
“หยุนขวาง เจ้าพอใจกับแต้มของข้าหรือเปล่า!”
คำกล่าวของหนิงฝานแฝงด้วยอำนาจของดาราอัสนี ดังสะท้อนก้องอยู่ในหัวหยุนขวาง
สีหน้าของหยุนขวางซีดขาว มันผงะถอยอย่างไม่อาจควบคุม!
มันแทบคลั่ง หนิงฝานได้แต้มเยอะกว่า ชิงกระบี่ของมัน และชิงคนที่มันชอบ ทำให้มันแค้นหนิงฝานมาก… เดิมทีมันคิดใช้โอกาสนี้เอาชนะหนิงฝานด้วยแต้ม เพื่อคลายความแค้น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม
มันคาดไม่ถึงว่าเหตุใดหนิงฝานได้แต้มมากขนาดนี้… มันไม่อาจเอื้อม
เป็นไปไม่ได้ ยามนี้จิตใจของมันปั่นป่วนอีกครั้ง
จำนวนแต้มของมัน เมื่ออยู่ต่อนหน้าหนิงฝานย่อมไร้ค่า
แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา ทำให้หยุนขวางหวาดกลัว และผงะถอยอย่างต่อเนื่อง
แต่ในขณะนั้นเอง หนิงฝานกลับชี้นิ้วออกไป เล็งตรงไปยังหัวใจของหยุนขวาง
ไม่นานหยุนขวางก็ยืนนิ่ง แต่มันกลับกระอักโลหิตคำโต
เป็นครั้งแรกที่มันรู้สึกว่าไม่ควรยั่วยุหนิงฝาน!
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้ที่หนิงฝานจะสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขึ้นกลาง แต่นิ้วที่หนิงฝานชี้ออกมาเมื่อครู่ มันรู้สึกราวกับว่าสามารถมันได้ในพริบตา
“เช่นนั้นข้าหยุนขวางขอลา!”
มันเร่งย่างก้าวพริบตาหายไป จิตใจปั่นป่วนสับสน
จากนี้ไป มันคงไม่กล้าหาเรื่องหนิงฝานอีก
“ไปเร็วจริงๆ...” หนิงฝานยิ้ม ถอนนิ้วที่ชี้ และไม่สนใจหยุนขวางอีก
ยามนี้ จิตใจของมันปั่นป่วนอย่างที่สุด ต่อให้มันทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้ แต่มันไม่มีทางบรรลุตัดวิญญาณ
หนิงฝานกลายเป็นอุปสรรคเพียงหนึ่งเดียวของมัน การสังหารหนิงฝานให้ได้นั้น เป็นวิธีการเดียวในการปลดเปลื้องจิตใจของมัน แต่ดูเหมือน มันจะไม่มีทางทำได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดตกตะลึง
นอกจากซัวหมิงจะสังหารอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มแล้ว ซัวหมิงยังข่มขู่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง...
“สหายเต๋าซัวคิดจะเข้าร่วมสงครามตัดสินหรือไม่?” เจี่ยเซียวกล่าวถาม ระหว่างทางที่ขึ้นเรือเหาะกลับมา หนิงฝานบอกมันแล้วว่าจะไม่เข้าร่วมสงครามตัดสิน
“ไม่เข้าร่วม… ยามนี้ข้าบาดเจ็บ แม้จะแสดงพลังได้ แต่ก็คงทนได้ไม่นาน”
“เห้อ… น่าเสียดาย น่าเสียดาย” เจี่ยเซียวถอนหายใจ
ยามนี้หนิงฝานแข็งแกร่งกว่าแม่ทัพใหญ่ของแคว้นจิน หากเขาร่วมสงคราม จะได้แต้มหาศาล...