เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0050
ตอนที่ 50 : ศิษย์พี่หญิงโปรดสำรวม
ปรมาจารย์เว่ยจากที่ใบหน้าเคยยิ้มแย้มตอนเริ่มงานกลายเป็นแข็งค้าง ค่ำคืนนี้สมควรเป็นการฉลองแก่บุตรชายของเขาก่อนจะจัดการฉินหยุนเป็นการแสดงปิดท้าย
แต่แล้ว เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเป็นการทำให้ความนิยมในตัวฉินหยุนพุ่งทะยาน นอกจากนี้ยังเป็นตัวเขาเองที่ต้องเสียหายหนัก
เรื่องในค่ำคืนนี้จะต้องแพร่กระจายทั่วทั้งจักรวรรดิเทียนฉิน กระทั่งจักรวรรดิหรือประเทศข้างเคียงยังต้องทราบเรื่องนี้!
สำหรับเขา ปรมาจารย์เว่ยและเว่ยเสวียนซวน พวกเขาจะได้กลายเป็นที่หัวเราะขบขันแล้ว
แน่นอนว่าพระยาเยี่ยนจะมีสภาพน่าอนาถยิ่งกว่า หลานชายที่เหนือล้ำของเขากลับโดนฉินหยุนทำลายจนหมดสิ้น แต่นี่ก็นับเป็นเรื่องน่ายินดีกับเหล่าขุนนางอีกหลายคนเช่นกัน!
หลังงานเลี้ยงจบลง หยางฉีเย่ว์ดึงฉินหยุนหลบฉากออกมา นางเร่งร้อนคิดถามฉินหยุนเรื่องวิญญาณยุทธ์อีกหนึ่ง
* * *
“ท่านจักรพรรดินีที่นับถือ พวกเราควรทำเช่นไรดี ฉินหยุนตอนนี้ฝึกฝนวิถีกระดูก ทั้งยังสามารถสร้างยันต์ เขากลายเป็นนักสร้างยันต์ระดับต้นไปแล้ว ทั้งยังได้รับความเอาใจใส่จากผู้จัดการของตำหนักจารึกเทวะ!” ขันทีชรากล่าวถามด้วยความเป็นกังวลยิ่ง “ทั้งนี้เยี่ยนชิงหยูยังกลายเป็นคนพิการ!”
“ใครกันจะคิดว่าไอ้เด็กสารเลวฉินหยุนนั่นจะก่อพายุลูกใหญ่เช่นนี้ได้” จักรพรรดินีหัวเราะเสียงเย็น “เรื่องเยี่ยนชิงหยูพิการแล้วยังไง? ข้าได้ยินว่าความสัมพันธ์ของมันกับองค์ชายรัชทายาทไม่ดีนัก ตอนนี้พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องฉินหยุนแล้ว ตราบเท่าที่บิดาข้าเลื่อนระดับสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า ทั้งจักรวรรดิเทียนฉินต้องกลายเป็นของเรา ภายหลังเราค่อยหาทางจัดการฉินหยุนยังไม่สาย สิ่งสำคัญตอนนี้คือทำทุกอย่างให้พลังอำนาจของพวกเราคงสภาพเพื่อการแต่งงานระหว่างองค์ชายรัชทายาทกับเชี่ยวเย่ว์หลาน!”
“ท่านผู้นำใกล้เลื่อนระดับพลังแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีชราเอ่ยถามน้ำเสียงประหลาดใจ
“อีกไม่นาน!” จักรพรรดินียิ้มภูมิใจ ดวงตาของนางเปี่ยมด้วยความโหดเหี้ยมขณะกล่าวลุ่มลึก “ฉินหยุน เจ้ารอก่อนเถอะ!”
* * *
ฉินหยุนตอนนี้ได้รับรางวัลตอบแทนเป็นเงินหนึ่งแสนเหรียญผลึกจากพระยาเยี่ยน และยังต้องเร่งร้อนโดนหยางฉีเย่ว์ลากตัวกลับ
ตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกแล้ว พวกเขาจึงกลับสู่บ้านพักในป่าไผ่
ฉินหยุนตอนนี้ดวงตาเปี่ยมด้วยความตื่นตะลึงขณะกล่าวว่า “อาจารย์ วิญญาณยุทธ์จันทราของท่านทรงพลังยิ่ง!”
“หากไม่ใช่ข้าคิดระบายความแค้นแทนเจ้า ข้าคงไม่เปิดเผยตัวเองเช่นนี้” หยางฉีเย่ว์ย่นจมูกงดงามของนางให้เขาได้เห็น นางคร่ำครวญเล็กน้อยก่อนกล่าวถาม “เจ้าต่างหาก เจ้าหนู เจ้าถึงกับมีวิญญาณยุทธ์อีกหนึ่ง!”
หางตาฉินหยุนพลันกระตุก เขาไม่เคยคิดเลยว่าความลับนี้จะถูกเปิดเผย!
“ไม่ใช่หรือ?” หยางฉีเย่ว์บุ้ยปากเล็กน้อยขณะหยิกที่เอวของฉินหยุนเป็นผลให้เขาสะดุ้ง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดซ่อนจากท่าน” ฉินหยุนกล่าวอย่างเสียใจ “มันเป็นเพราะวิญญาณยุทธ์นี้ประหลาดเกินไป ข้ากลัวว่ามันอาจส่งผลร้ายต่อข้าเอง”
หยางฉีเย่ว์นำเอาเจดีย์เบิกวิญญาณออกมา จากนั้นจึงส่งให้เขาและบอกให้ทำการทดสอบ
ฉินหยุนวางมือลงที่เจดีย์ขณะกระตุ้นพลังของวิญญาณยุทธ์สั่นไหวให้เข้าสู่เจดีย์
ทันใดนั้นเอง เจดีย์เบิกวิญญาณได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำพร้อมสั่นสะเทือนรุนแรง
“สีดำ! วิญญาณยุทธ์สีดำ!” หยางฉีเย่ว์ร้องอุทาน
นางจ้องมองเจดีย์เบิกวิญญาณสีดำบริสุทธิ์อยู่นานก่อนจะเรียกสติกลับคืนมาได้
“ข้ารู้ตัวตอนปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้นมา เพราะมันเป็นสีดำ ข้าจึงกลัวว่าอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจหรืออะไรทำนองนั้น ข้าจึงต้องปิดบังเอาไว้” ฉินหยุนกล่าวออกอย่างสัตย์จริง เพราะเขาตระหนักว่ามันอาจนำพาปัญหามาสู่ตน
“เป็นวิญญาณยุทธ์คู่จริงหรือนี่ แถมยังเป็นระดับสูงที่สุด เป็นวิญญาณยุทธ์สีดำซึ่งลึกลับยิ่ง” ใบหน้าของหยางฉีเย่ว์ฉายความยินดีขณะยิ้มออก “เป็นแรงสั่นสะเทือนที่แข็งแกร่งมาก สิ่งนี้คือวิญญาณยุทธ์สั่นไหว และเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน ข้าจะช่วยเจ้าเก็บไว้เป็นความลับ!”
ฉินหยุนค่อยถอนหายใจโล่งอกได้ ตราบเท่าที่มันไม่ใช่วิญญาณยุทธ์ชั่วร้ายก็เป็นเรื่องดี เขาตัดสินใจถาม “อาจารย์ขอรับ วิญญาณยุทธ์สั่นไหวสีดำนี้หายาก?”
หยางฉีเย่ว์เก็บเจดีย์เบิกวิญญาณและกล่าวตอบ “วิญญาณยุทธ์สีดำ และวิญญาณยุทธ์สั่นไหว ทั้งสองล้วนหาได้ยากยิ่ง เมื่อทั้งสองเงื่อนไขผสมรวมกัน มันยิ่งหาได้ยากอย่างถึงที่สุด ในอนาคตเมื่อเจ้าได้เข้าสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เจ้าจะได้ทำความเข้าใจวิญญาณยุทธ์นี้มากขึ้น”
“ไม่ใช่ว่าสถาบันยุทธ์เทียนเสวียนก็ได้หรือขอรับ? ข้าอยากอยู่กับท่าน!” ฉินหยุนเอ่ยคำ
“ไม่ว่าจะเป็นสถาบันยุทธ์ใด เจ้าล้วนไปได้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาตนเอง” หยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าจริงจังระดับหนึ่ง จากนั้นนางจึงเอ่ยถามเรื่องการฝึกฝนของวิญญาณยุทธ์สั่นไหว
หลังนางรับฟังฉินหยุนจัดเรียงสถานการณ์ให้ได้ฟัง นางจึงนำเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมาบันทึกเรื่องราวเอาไว้ เป็นการบ่งบอกว่านางให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
“ความจริงที่เจ้าสามารถใช้พลังภายในและพลังจิตได้ หมายความถึงเจ้าฝึกฝนวิชาหยางสีดำจนถึงขั้นสูงแล้ว ดูเหมือนเจ้ามีหวังเข้าถึงขั้นสมบูรณ์ไม่น้อย” หยางฉีเย่ว์ลอบคาดหวังถึงเรื่องราวในอนาคต
วันนี้เกิดเรื่องราวขึ้นไม่น้อย ดังนั้นนางจึงจดบันทึกเอาไว้ พอเรียบร้อยจึงค่อยเร่งร้อนกลับเข้าห้องของนางไป
ฉินหยุนวันนี้ก็เหนื่อยล้า หลังกลับห้องตัวเอง เขาก็แทบหลับไปโดยทันที
ช่วงเช้าตรู่ ฉินหยุนตื่นขึ้นก่อนชำระกาย จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสีน้ำเงินขณะเดินมาที่ห้องหลัก
บนโต๊ะ ตอนนี้มันมีบันทึกของหยางฉีเย่ว์วางเอาไว้ นางบอกว่าจะไปผู้อำนวยการใหญ่ คงต้องใช้เวลาหลายวันถึงค่อยกลับมา
สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงมักมีผู้อำนวยการจางจัดการเรื่องราว ทางด้านผู้อำนวยการใหญ่นั้นยากนักที่จะปรากฏตัวให้เห็น
ฉินหยุนเป็นกังวลว่าหยางฉีเย่ว์จะถูกย้ายไปที่อื่น เขาได้เพียงแต่คิดกับตนเอง “งั้นเราคงต้องไปที่ตำหนักจารึกเทวะก่อน หวังว่าอาจารย์จะอยู่กับเราไปได้ตลอดภาคเรียนนี้!”
เขาให้สัญญากับต้วนเฉียนว่าจะไปยังตำหนักจารึกเทวะเพื่อรับตราสัญลักษณ์ของนักสร้างยันต์ระดับต้น ซึ่งมันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เขาได้หลายอย่าง
ตำหนักจารึกเทวะตั้งอยู่ในนครหลวง ฉินหยุนจึงออกไปแต่เช้าตรู่ เขาออกจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงและเริ่มเดินทางไปยังนครหลวงอีกครั้งหนึ่ง
ระยะทางระหว่างสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงและนครหลวงก็ราวห้าร้อยลี้เห็นจะได้
สำหรับผู้ที่สามารถใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนไหว ก็ไม่ใช่ระยะทางที่ไกลสักเท่าไหร่
ฉินหยุนออกวิ่งไปเรื่อยเปื่อยกว่าชั่วโมงก่อนจะพบว่าผ่านมาได้ราวครึ่งทาง
นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเดินทางภายนอกโดยลำพัง
“จักรพรรดินีตอนนี้คงไม่กล้าทำอะไรเราแล้ว ละมั้งนะ?” เขาพูดกับตัวเองขณะวิ่งบนเส้นทางไปเรื่อย จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังไม่พบมือสังหารแต่อย่างใด
ฉินหยุนตอนนี้กำลังวิ่งผ่านป่าแทนที่จะวิ่งบนเส้นทางหลักเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอผู้อื่น
ภายในป่ามีลมเย็นพัดโชยอยู่ตลอด อีกทั้งยังสงบเงียบอย่างมาก
ฉินหยุนวิ่งไปเรื่อยจนกระทั่งหยุดเพื่อชื่นชมทุ่งดอกไม้งดงามแห่งหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง ลมพัดรุนแรงพาดผ่าน เป็นผลให้ต้นไม้ใหญ่เกิดอาการสั่นไหว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปรโดยทันที “มีคนสู้กัน! ช่างเถอะ ก็ไม่ใช่เรื่องของเรานี่ เดินทางต่อดีกว่า!”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป กลุ่มชายในชุดดำจำนวนหนึ่งพลันปรากฏพร้อมเสียง ‘ฉัวะ ฉัวะ’ ดังขึ้น
“แข็งแกร่งนัก พวกเขาเหล่านี้อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก?” ฉินหยุนตระหนักได้แต่ก็หาได้หวาดเกรง เขาเตรียมพร้อมรับศึกตลอดทางอยู่ก่อนแล้ว
“หยุด นั่นแค่คนผ่านทางมา!” คนผู้หนึ่งที่โพล่งคำกล่าวนี้ขึ้นเป็นหญิงสาว
เมื่อนางเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมจึงพัดโชยจากตัวนางให้เขาได้ชื่นชม
นางสวมใส่ชุดรัดกายสีดำ รูปลักษณ์เช่นนี้สมควรเป็นมือสังหารแล้ว ใบหน้ารูปไข่ของนางบ่งบอกถึงความงดงามยิ่ง คิ้วนั้นคล้ายควันที่พลิ้วไหวขณะดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายงดงามนับร้อย นางช่างงดงามโดยธรรมชาติสรรสร้างยิ่งนัก
“นายหญิง บางทีคนผู้นี้อาจพบแล้วว่าเมื่อครู่พวกเรากระทำสิ่งใด หากมันเปิดโปงพวกเรา พวกเราจะตกอยู่ในปัญหาได้” ชายในชุดดำเอ่ยคำ
หญิงสาวหาได้รับฟังใส่ใจไม่ นางกำลังม้วนเส้นผมยาวชวนเร้าใจนั้นของนางเล่นขณะยิ้มยั่วยวนพูดกล่าวกับฉินหยุน “น้องชาย เจ้าคือนักเรียนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงหรือ?”
“ถูกต้อง!” ฉินหยุนตอบคำหนักแน่น หญิงสาวที่ยั่วยวนซึ่งหน้าเช่นนี้เป็นผลให้เขาใจเต้นตึกตัก
แต่สิ่งที่ชวนให้ใจเต้นตึกตักอีกหนึ่งคือดาบยาวในมือของนาง มันมีคราบเลือดสดใหม่ยังหยดอยู่ด้วยซ้ำ
แม่นางผู้นี้กระทั่งสูงกว่าเขา น่าจะอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปด และเพราะนางถอดฮู้ดที่สวมใส่ออก เส้นผมดำคลับยาวงดงามของนางจึงยุ่งเหยิงอยู่บ้างเล็กน้อย
มือนางกำลังถือดาบเปื้อนเลือด รอยยิ้มนั้นทรงเสน่ห์ ด้วยเสน่ห์มากล้นขนาดนี้มันเพียงพอที่จะกัดกินชายผู้หนึ่งได้
“ข้าเองก็มาจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง จงเร่งรีบเรียกข้าเป็นศิษย์พี่!” หญิงสาวยิ้มขณะยื่นมือเข้ามาจิ้มที่แก้มของฉินหยุน นางหัวเราะกล่าวคำ “ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลานัก ทั้งร่างกายยังแข็งแกร่ง ข้าอยากสัมผัสมากกว่านี้!”
ฉินหยุนไม่คิดเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมาจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง นอกจากนี้นางยังร้อนแรงยิ่ง มือของนางตอนนี้ใกล้ล้วงเข้าไปในอกเสื้อเขาแล้ว!
“ศิษย์พี่หญิงโปรดสำรวมตัวด้วย!” ใบหน้าของเขาตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะก้าวถอยไปหลายก้าว