เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0043
ตอนที่ 43 : งานเลี้ยง
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ปรมาจารย์เว่ยวันนี้สวมใส่ชุดสีทองคำเป็นประกายอีกทั้งยังดูหรูหรา ใบหน้าสี่เหลี่ยมนั้นประดับด้วยรอยยิ้มไม่ขาด เขาเดินขึ้นบนลานกว้างที่ยกสูงต่อหน้าผู้คนขณะกล่าวปราศรัยเล็กน้อย
ภายหลังเมื่อปรมาจารย์เว่ยกล่าวปราศรัยกับผู้คนเรียบร้อย เขาจึงยกหน้าที่นี้ต่อให้เว่ยเสวียนคุน วันนี้เขาสวมใส่ชุดเหมือนอย่างบิดา เป็นชุดสีทองงดงามหรูหรา นอกจากนี้ยังมีดาบประดับไว้ข้างเอว คล้ายว่าจะเป็นอุปกรณ์วิญญาณชิ้นหนึ่ง
เว่ยเสวียนคุนพูดกล่าวเป็นทางการตามประสาพอสมควรก่อนจะเริ่มงานจุดพลุดอกไม้ไฟ
หลังการแสดงดอกไม้ไฟจบสิ้น แขกเหรื่อด้านล่างที่ลานกว้างต่างร้องรำทำเพลงเต้นไปมากันอย่างครื้นเครง
ทั้งผู้ทรงพลังอำนาจและทรงอิทธิพลจากหลายสำนักหรือตระกูลต่างตบเท้ากันเข้าไปพูดกล่าวแสดงความยินดีต่อเว่ยเสวียนคุนและปรมาจารย์เว่ยไม่ขาด
ฉินหยุนยังคงเอาแต่กินและดื่มร่วมกับหยางฉีเย่ว์ไม่หยุดตั้งแต่เริ่มงาน
ครั้งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าค่าอาหารเหล่านี้จะมากมายมหาศาลเพียงใด นอกจากนี้ผู้อำนวยการจางก็อยู่ในสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นปรมาจารย์เว่ยย่อมไม่มีโอกาสได้ก่อการอันใดอีก
หยางฉีเย่ว์วันนี้สวมใส่ชุดกระโปรงราตรีเรียบง่าย วันนี้นางสวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ หลังดื่มไวน์เข้าไปหลายอึก ใบหน้างดงามของนางก็เริ่มแดงเรื่อเล็กน้อยขณะเผยออกซึ่งกลิ่นเย้ายวนผู้คนรอบข้าง
ปรมาจารย์เว่ยตอนนี้ยกแก้วไวน์ขึ้นขณะเดินเข้าถึงข้างกายฉินหยุน เขาหัวเราะให้ได้ยินขณะกล่าวคำ “ฉินหยุน หลังเอาชนะคุนเอ๋อได้ เจ้านั้นได้ทำให้เสี่ยวหยุนพ่ายแพ้และได้รับสิทธิ์ในการเข้าค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบ วันนี้เจ้านับได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในบรรดาเด็กใหม่ของปีนี้แล้ว ข้ายินดีนักที่เจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย”
แม้ลานฝึกวิชายุทธ์แห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก แต่เสียงของปรมาจารย์เว่ยกลับไม่ได้ดังหรือเบาแต่อย่างใด เสียงนี้คล้ายทำให้ทุกผู้คนได้ยินกันถ้วนหน้า
ปรมาจารย์เว่ยกล่าวคำอย่างสุภาพ กระทั่งดื่มอวยพรให้ฉินหยุน การกระทำเช่นนี้ยิ่งทำให้หลายคนต่างแสดงความนับถือต่อเขา
ฉินหยุนเร่งร้อนลุกขึ้นยืนรับการดื่มอวยพรและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์เว่ยสุภาพเกินไปแล้วขอรับ! พวกเราล้วนเป็นนักเรียนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ในเมื่อศิษย์พี่เว่ยสามารถสร้างยันต์ขึ้นได้แล้ว นับว่าเป็นเกียรติยิ่งต่อสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง แน่นอนว่าข้าต้องคิดเข้าร่วมงานเพื่อแสดงความยินดี!”
เสียงหัวเราะกับคำพูดของเขานี้ก็ทำให้ทั่วทั้งลานฝึกวิชายุทธ์ได้ยินกันถ้วนหน้า นี่เป็นพลังปราณของเขาที่ทำให้เหล่าข้าราชบริพารเฒ่าจำนวนไม่น้อยลอบหวาดกลัว!
ตั้งแต่ฉินหยุนเข้าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง เหล่าข้าราชบริพารเฒ่าไม่พบเห็นเขาอีกเลย ตอนนี้พวกเขาได้มาเห็นกับตาตัวเอง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจ
ชั่วขณะนี้ ผู้อาวุโสผมขาวดอกเลาเดินเข้ามาใกล้ เขาสวมใส่ชุดสีทองม่วงทั้งยังมีจี้ห้อยคอหยกแขวนไว้ที่ข้างเอว เขาเผยกลิ่นอายคุกคามขณะจ้องมองฉินหยุนด้วยสายตายะเยือก
ชายชราผมสีดอกเลาผู้นี้คือพระยาเยี่ยน ผู้เป็นปู่ของเยี่ยนหยุน
เมื่อเขาเดินถึงที่หมายจึงหันกล่าวกับปรมาจารย์เว่ย “เหล่าเว่ย ท่านยังไม่รู้เรื่องนี้ เด็กน้อยผู้นี้ได้รับการฝึกสอนจากหญิงสาวปีศาจโฉดชั่วตั้งแต่ยังเยาว์ และแม้ว่าเส้นวิญญาณถึงสี่โดนพวกเราพรากเอาไป เขาก็ยังสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาของปีศาจ เพราะแบบนั้นวันนี้เขาจึงประสบความสำเร็จได้”
*ผู้แปล : เหล่า(ชื่อสกุล) เป็นคำเรียกหาผู้ที่มีอายุสูงกว่าอย่างสนิทสนม*
กลุ่มข้าราชบริพารเฒ่าและกลุ่มตระกูลขุนนางต่างเข้ามาเป็นการยืนยันคำพูดของพระยาเยี่ยนว่าฉินหยุนฝึกฝนวิชาของปีศาจ
ฉินหยุนรู้ตัวว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายผ่านพ้นแล้ว ย้อนกลับไปช่วงเรียนรู้หาประสบการณ์การต่อสู้ เขาและติงเทียนฉวนโดนบุกโจมตีโดยวานรเงาวายุและซุยฮ่วย ทั้งหมดเป็นปรมาจารย์เว่ยชักใย!
และตอนนี้เขาจึงได้ทราบว่าปรมาจารย์เว่ยก็เป็นผู้เสแสร้งไม่ต่างอะไรจากบรรดาข้าราชบริพารเฒ่า
ผู้อำนวยการจางเดินมาทางด้านนี้ ทั้งยังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉินหยุนเป็นนักเรียนของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงของเรา เขาไม่ได้ฝึกฝนวิชาของปีศาจแต่อย่างใด! วิชาหยางสีดำที่เขาฝึกฝนเป็นอาจารย์หยางมอบให้ วิชาอื่นที่เขาเรียนรู้คือหมัดอ่อนเปลวเพลิงและก้าวอัคคีเมฆาซึ่งเขาได้รับจากสถาบัน เรื่องนี้ทุกผู้คนล้วนรู้เห็นกันเป็นอย่างดี”
เมื่อพระยาเยี่ยนพบเจตนาในน้ำเสียงของผู้อำนวยการจาง สีหน้าของเขาพลันเผยถึงความตระหนก เขาเดาะลิ้นตนเองและถอนหายใจ “ผู้อำนวยการ แม้ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็ไม่อาจทำให้สาธารณชนเชื่อได้!”
“ท่านคงไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ว่า ณ เวลานี้ทุกผู้คนในจักรวรรดิเทียนฉินต่างเชื่อกันว่าฉินหยุนฝึกฝนวิชาของปีศาจร้าย การยืนยันเพียงฝ่ายเดียวของท่านยากเชื่อถือนัก นอกจากนี้ มันยิ่งเป็นการยืนยันหนักแน่นตั้งแต่ที่ฉินหยุนเข้าร่วมสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงและยิ่งเป็นตัวตนน่าหวาดกลัวขึ้นในทุกวันที่ผ่านพ้น”
เมื่อมองสีหน้าแขกเหรื่อคนอื่น หยางฉีเย่ว์พบว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างลอบกระซิบกระซาบกันขณะใช้บรรยากาศงานเลี้ยงเข้ากดดันสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
ต่อให้วันนี้ฉินหยุนไม่มาร่วมงาน เขาก็ยังคงต้องเป็นหัวข้อสนทนา
“งั้นท่านคิดเห็นเช่นไร? สังหารฉินหยุนเสียอย่างนั้นหรือ?” ผู้อำนวยการจางหัวเราะ น้ำเสียงกลับกลายเป็นเย็นเยือกขณะกล่าว “หากเป็นข้าส่งผู้คนหลายพันกระจายข่าวว่าเว่ยเสวียนคุนฝึกฝนวิชาของปีศาจ เช่นนั้นทั่วทั้งจักรวรรดิก็จะคิดว่าเขาฝึกเช่นนั้น จริงหรือไม่?”
ถึงตอนนี้ทุกคนต่างสับสนแล้วว่าเหตุใดผู้อำนวยการจางจึงเลือกปกป้องฉินหยุน
ในสายตาพวกเขา ผู้อำนวยการจางสมควรยอมปล่อยวางเรื่องฉินหยุนเพื่อประโยชน์ในอนาคตของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงมากกว่า
พระยาเยี่ยนคล้ายตระหนักได้ว่าผู้อำนวยการจางออกโรงปกป้องฉินหยุน เขาจึงกล่าวอย่างสงบ “เช่นนี้เป็นอย่างไร? ให้ฉินหยุนประมือกับผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งกว่าสักหนึ่งชั่วโมง ในช่วงหนึ่งชั่วโมงดังกล่าว หากเขาเผชิญหน้ากับแรงกดดันและไม่ใช้วิชาปีศาจใดออกมา ก็หมายความถึงเขาเป็นผู้บริสุทธิ์!”
“วิธีการนี้ออกจะโหดร้ายไปบ้างแต่ก็เป็นการทดสอบที่มีประสิทธิภาพว่าผู้ฝึกตนคนดังกล่าวฝึกฝนวิชาของปีศาจหรือไม่ ระหว่างการประลอง หากเขาไม่สามารถอดทนต่อการทรมาน ถึงตอนนั้นเขาจะไม่อาจสะกดข่มความยับยั้งชั่งใจเพื่อใช้วิชาของปีศาจออกมาได้แน่”
“หากเขาใช้วิชาปีศาจจริง พวกเราให้สัญญาว่าจะไม่สังหารเขา พวกเราจะเพียงเนรเทศเขาออกจากจักรวรรดิ!”
ความคิดนี้ของพระยาเยี่ยนได้รับการสนับสนุนจากหลายผู้คนโดยทันที
หยางฉีเย่ว์รับฟังอยู่ด้วยสีหน้าโกรธขึ้งจนต้องตะโกนน้ำเสียงยะเยือก “ข้าไม่ยอมรับ! ข้าเองก็สงสัยว่าพวกท่านล้วนฝึกฝนวิชาของปีศาจ เช่นนั้นสมควรให้ข้าทดสอบพวกท่านทุกคนด้วยการใช้วิชายุทธ์ ดังนั้นข้าจะเป็นคนประมือกับพวกท่านทุกคนด้วย เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
ระดับพลังของนางคือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ทั้งยังเป็นผู้มาจากสถาบันยุทธ์เทียนเสวียน พละกำลังของนางแน่นอนว่าไม่อ่อนด้อย และไม่มีผู้ใดทราบว่าวิญญาณยุทธ์ของนางคืออะไรกันแน่ กระทั่งเป็นผู้ฝึกตนเฒ่าชรายังไม่อาจหาญกล้าสู้กับนาง
ผู้นำตระกูลหวังพลันกล่าวขึ้น “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด วันนี้พวกเราตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว หากฉินหยุนไม่อาจให้คำอธิบายแก่พวกเรา พวกเราจะถอนตัวจากสถาบันแห่งนี้!”
“พวกเราจะถอนตัวจากสถาบันและตีตราว่าสถาบันนี้ตั้งตนอยู่ฝ่ายเดียวกับปีศาจ ทั้งยังจะเข้าสนับสนุนสถาบันอื่นของจักรวรรดิใกล้เคียงแทน”
“วิชาปีศาจของฉินหยุนนับวันยิ่งทรงพลัง เขาถึงขั้นฉกชิงทรัพยากรของเด็กใหม่ทั้งหมดจนสิ้น เรื่องนี้อยุติธรรมนัก หากยืนกรานเช่นนี้พวกเราก็ต้องขอถอนตัว”
“สถาบันยุทธ์แห่งอื่นของจักรวรรดิข้างเคียงก็ไม่ได้ดีหรือแย่ไปกว่าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง นอกจากนี้ทั้งอาจารย์และผู้อำนวยการที่นี่ล้วนให้การปกป้องปีศาจร้าย!”
“ด้วยฐานะอาจารย์ พวกเราจะไม่ขอทนเช่นกัน พวกเราจะถอนตัว!” อาจารย์คนหนึ่งกล่าวขึ้น
ผู้นำของตระกูลใหญ่หลายคนพร้อมอาจารย์หลายท่านเริ่มตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน
สีหน้าของผู้อำนวยการจางพลันน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด เขาทราบว่าคนกลุ่มนี้ตั้งใจมากดดันเช่นนี้แต่แรกแล้ว วันนี้ที่เขาทำได้คือหาทางเกลี้ยกล่อมให้ฉินหยุนจากไป นั่นคือทางเลือกเดียว
ฉินหยุนพลันโพล่งกล่าวถามขึ้นมา “ใครกันที่จะประลองกับข้า? หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าคิดผลักดันข้าให้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนแข็งแกร่งทรงพลัง ข้ายินดีรับคำท้านั้น!”
พระยาเยี่ยนหัวเราะคิกคักขณะกล่าวอย่างอหังการ “เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก เขาเพียงเพิ่งอายุสิบแปดและเพิ่งกลับจากสถาบันยุทธ์หลิงเสวียน เป็นหลานชายของข้าเอง เยี่ยนชิงหยู!”
“เยี่ยนชิงหยูครอบครองเส้นวิญญาณสี่ตะวัน ทั้งยังมีวิญญาณยุทธ์กระบี่ระดับแพลทินัม เขาเข้าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงก่อนหน้าและได้รับเลือกโดยสถาบันยุทธ์หลิงเสวียน ผู้คนต่างทราบว่าระดับพลังของเขาตอนนี้คือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก!” นักเรียนคนหนึ่งอุทานขึ้นพร้อมบรรยายสรรพคุณเรียบร้อย
สถาบันยุทธ์หลิงเสวียน สถาบันยุทธ์เทียนเสวียน และสถาบันยุทธ์ชิงเสวียน เหล่านี้ถูกรู้จักในนามสามสถาบันยุทธ์ระดับเสวียน พวกเขาล้วนทรงพลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!
พระยาเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มฉายชัดที่ใบหน้า “อย่าได้กังวลไป พวกเราจะไม่ให้มีการใช้อาวุธในการประลอง ฉินหยุน หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบและยืนยันตนได้ว่าเจ้านั้นไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาของปีศาจ พวกเราจะยอมคุกเข่าขออภัยต่อเจ้า พวกเราจะยอมมอบสินทรัพย์ปลอบขวัญหนึ่งแสนเหรียญผลึกด้วย!”
“ตกลง ข้ายอมรับข้อเสนอ!” ฉินหยุนกล่าวรับคำ