เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0042
ตอนที่ 42 : ค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบ
ฉินหยุนหันมองรอบด้าน เมื่อยืนยันว่าไม่มีผู้ใดอยู่แถวนี้ เขาจึงนำตำราม้วนไผ่ “สามสิบหกผังวิญญาณ” ออกมากาง ด้วยความมั่นใจระดับหนึ่ง เขาทำการเปรียบเทียบค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบกับผังวิญญาณและพบว่าพวกมันคล้ายกันยิ่ง
“ที่เราเห็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของผังวิญญาณในตำรา เพราะแบบนั้นถึงรู้สึกคุ้นเคย!” ฉินหยุนลอบยินดีภายใน จากนั้นเขาจึงเดินไปมาทั่วชั้นนี้ขณะจดจำตำแหน่งการวางผังวิญญาณ
จากนั้นเขาจึงนำเอากระดาษอีกแผ่นหนึ่งออกมาพร้อมวาดด้วยความรวดเร็ว ไม่ช้าภาพวาดนั้นก็ปรากฏขึ้นเป็นค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบ
อย่างกะทันหัน คลื่นพลังรุนแรงเริ่มผันผวนขณะเขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณเก้าตะวันปริมาณมหาศาลกำลังทะลักเข้าไปในค่ายอาคม
ค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบทำงานแล้ว!
ฉินหยุนเร่งรีบนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น เขาเริ่มใช้วิชาหยางสีดำเพื่อทำการดูดซับพลังเก้าตะวันสู่ร่างกาย
หลังเลื่อนพลังสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า เขาจำต้องทำการกควบแน่นพลังปราณอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาและทำให้กำลังภายในแข็งแกร่งขึ้น
หยางฉีเย่ว์ได้บอกกับเขาก่อนหน้านี้ว่าระหว่างอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า เขาจะต้องก่อร่างสร้าง “วิถีกระดูก” “วิถีหัวใจ” และ “วิถีวิญญาณ” ในร่างกายขึ้นมาก่อนเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก
ฉินหยุนกำลังมองไปที่พลังธาตุสั่นไหวขณะคิดกับตนเอง “เรามีพรสวรรค์เทียบเท่าเก้าตะวัน แต่เป็นเพราะมีพลังธาตุสองแห่ง เราจึงต้องยิ่งพยายามมากยิ่งกว่าผู้ที่มีหนึ่งแห่ง ทั้งหมดนี่จะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น!”
สิบวันผ่านไปไวอย่างเหลือเชื่อ!
ภายในค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบ ฉินหยุนกำลังทำการดูดซับพลังเก้าตะวันปริมาณมหาศาล สิ่งนี้ทัดเทียมได้กับการที่เขาดูดซับพลังเป็นระยะเวลาถึงสองปีเต็ม!
หลังค่ายอาคมเริ่มเลือนหาย ฉินหยุนจึงเดินลงบันไดไป
เขายังไม่ได้เลื่อนระดับพลัง ทว่าพลังธาตุทั้งสองนั้นเติบโตอย่างมาก ประเด็นหลักคือเขาใช้พลังภายในไปปริมาณมากเพื่อผสานรวมกับกำลังภายใน
ครั้งล่าสุดตอนเขาบาดเจ็บหนักเพราะฉินเต๋อเหรินโจมตีเข้าใส่ตันเถียน พลังธาตุของเขารอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งหมดก็เพราะพลังธาตุสั่นไหวช่วยคุ้มกันให้เขาเอาไว้ ดังนั้นการพัฒนากำลังภายในให้แข็งแกร่งขึ้นจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
“ต่อไปเราต้องฝึกฝนสามมหาวิถีให้ได้ก่อนจึงสามารถเลื่อนพลังสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก! แม้ตอนนี้เรายังไม่เลื่อนพลังเป็นระดับที่หก แต่หากต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับหก ต่อให้ไม่ชนะ เราก็ไม่มีทางแพ้”
ฉินหยุนเดินออกจากหอคอยน้ำแข็งขณะเลือกชำระกายในแดนหิมะและน้ำแข็งภายนอก เขาเปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดขาวและเริ่มไต่ลงจากยอดเขาฮัวหลิง
หลังลงจากยอดเขาฮัวหลิงเรียบร้อยเขาจึงได้เห็นหยางฉีเย่ว์กำลังเดินเชื่องช้าเข้าหาเขาจากระยะไกลออกไป นางวันนี้สวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วง เป็นผลให้นางทั้งดูลึกลับและเย็นชา ทว่าก็ยังงดงามเช่นเคย
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “อาจารย์มาตรงเวลานัก!”
หยางฉีเย่ว์ยิ้มอ่อนให้ “ก็เจ้าเป็นนักเรียนคนเดียวที่ล้ำค่าของข้า แน่นอนว่าข้าต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดี นอกจากนี้ข้ายังเป็นกังวลเพราะปรมาจารย์เว่ยยังอยู่ในสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง”
“นี่เขายังไม่จากไปอีก? ไม่ใช่แค่อยู่รอจัดงานฉลองให้เว่ยเสวียนคุนที่ได้เป็นนักจารึกหรือ? คงไม่ใช่ว่าจนกระทั่งวันนี้ยังไม่เริ่มงานอีกหรอกนะ?” ฉินหยุนเพียงยิ้มขณะกล่าวถาม “ก็แค่ทำยันต์ขึ้นมา มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา!”
หยางฉีเย่ว์ลอบเม้มริมฝีปาก ดังที่ว่า ในสายตาของฉินหยุนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่ากับคนหมู่มาก ตราบเท่าที่สามารถวาดผังวิญญาณขึ้นได้ เรื่องนั้นก็คุ้มค่าต่อการจัดงานฉลองแล้ว!
นางกล่าว “ปรมาจารย์เว่ยเชิญแขกมากหน้าหลายตา ดังนั้นเขาจึงอยู่โยงจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังเชิญพวกเราด้วยเช่นกัน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “หากมีอาหารและเครื่องดื่มฟรี เช่นนั้นทำไมข้าต้องปฏิเสธด้วยกันเล่า? อย่างไรนี่ก็เป็นถึงปรมาจารย์เว่ย ย่อมต้องนำเสนอของดีทั้งอาหารและไวน์แก่แขกเหรื่ออย่างแน่นอน”
เขาไปฝึกฝนที่หอคอยน้ำแข็งมาถึงสิบวัน แม้กระนั้นก็ไม่คล้ายรู้สึกหิวหลังได้ดูดซับพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้าไป พวกมันเปรียบเสมือนอาหารอันโอชะแก่เขาด้วยตัวของพวกมันเองอยู่แล้ว
หยางฉีเย่ว์ยิ้มอ่อนเผยที่ใบหน้าขณะกล่าวคำ “ตามนั้น งั้นก็ไปด้วยกันเลย ข้าได้ยินว่าพวกเขานำอาหารชั้นเลิศทั้งรสชาติและรูปลักษณ์มานำเสนอกันไม่น้อย เมื่อถึงเวลา พวกเราจะดื่มกันสักสองถ้วยและใช้ที่จัดงานเลี้ยงนั่นเป็นการฉลองที่เจ้าสร้างผังวิญญาณได้สำเร็จ”
ขณะฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์สนทนากัน พวกเขาก็เดินมาจนถึงทะเลสาบขณะเดินเลียบแม่น้ำซึ่งเต็มไปด้วยต้นหลิวระหว่างทาง
“อาจารย์ ข้าคิดว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว... เยี่ยนหยุนบาดเจ็บเพราะข้าไม่น้อย นางต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้โดยง่ายแน่” ฉินหยุนกล่าวอย่างเป็นกังวล
“เว่ยเสวียนคุนเองก็บาดเจ็บเพราะเจ้า แล้วเขาจะทำอะไรเจ้าได้กันเล่า?” หยางฉีเย่ว์ไม่เห็นด้วย
“ไม่เลย! เป็นมันที่ลอบแก้แค้นในความมืด!” ฉินหยุนนึกย้อนถึงเรื่องราวการเผชิญหน้ากับวานรเงาวายุจนเผยสีหน้ากราดเกรี้ยวให้เห็น
“ดูเหมือนที่อาจารย์ติงบาดเจ็บจะเพราะสาเหตุอื่นจริง!” เป็นหยางฉีเย่ว์รู้สึกถึงเรื่องนี้แต่แรกแล้ว
“ผู้อำนวยการจางกลับมาหรือยังขอรับ?” ฉินหยุนลดเสียงลงต่ำขณะหันมองรอบด้านและเอ่ยถาม
เมื่อหยางฉีเย่ว์เห็นท่าทีของฉินหยุน นางก็ทราบแล้วว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องทำให้ผู้คนแตกตื่นได้ นางเร่งรีบลากเขากลับไปยังบ้านพักในป่าไผ่ของนางโดยทันที
“อาจารย์ติงและข้าโดนลอบโจมตี!” ฉินหยุนนำร่างของวานรเงาวายุออกมาและวางบนพื้นให้เห็น
“นี่มัน...” หยางฉีเย่ว์คิ้วขมวด นางเร่งรีบตรวจสอบบริเวณคอของมันพร้อมอุทาน “สัตว์ปีศาจที่มีเจ้าของ!”
“หลังอาจารย์ติงได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับวานรเงาวายุ ซุยฮ่วยโผล่มาพร้อมกลุ่มนักเรียนของนาง ข้าโดนล้อมและรุมโจมตีโดยพวกนักเรียน ขณะที่อาจารย์ติงและซุยฮ่วยไปสู้กันอีกด้านหนึ่ง”
เมื่อฉินหยุนกล่าวถึงตรงนี้ หยางฉีเย่ว์ก็เดาได้แล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ
“ผู้อำนวยการจางกลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน เขาหาทั้งซุยฮ่วยและนักเรียนคนอื่นไม่พบแม้สักคน” หยางฉีเย่ว์มองฉินหยุนคล้ายถามไถ่ ฉินหยุนพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“ข้าฆ่าพวกมันเอง ทั้งพวกนักเรียนและซุยฮ่วย!” ฉินหยุนกล่าวจบก็ถอนหายใจและเล่าให้นางฟังว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น
“แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์ติงดูแล้วคงไม่คิดบอกต่อผู้อื่นเช่นกัน” หยางฉีเย่ว์ลูบศีรษะฉินหยุนไปมาขณะกล่าวปลอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “รีบบอกข้าเร็วว่าเจ้าได้อะไรจากค่ายอาคมวิญญาณเก้าตะวันบรรจบบ้าง”
ฉินหยุนเล่าให้หยางฉีเย่ว์ฟังถึงการฝึกฝนที่ผ่านมาก่อนจะถามเรื่องให้ชี้แนะเรื่องสามมหาวิถี
หลังจากหยางฉีเย่ว์ได้ยินคำถาม นางยิ้มพึงพอใจไม่น้อยขณะเริ่มบรรยายถึงสามมหาวิถีที่เขาสนใจอยากรู้ให้ฟัง
ฉินหยุนรับฟังด้วยความตั้งใจและเอ่ยถามคำถามจำนวนหนึ่งระหว่างที่รับฟังไปด้วย
ยังไม่ทันถึงกลางดึก หยางฉีเย่ว์ก็จบการบรรยายก่อนจะกลับเข้าห้องไปเพื่อพักผ่อน
ช่วงกลางดึก ฉินหยุนยังเปี่ยมล้นด้วยพลัง เขาไม่คิดหยุดพัก แต่เลือกที่จะขัดเกลายันต์ขึ้นมา
“ยันต์สายฟ้าที่ซุยฮ่วยใช้ทรงพลังมาก มันถึงขั้นทำร้ายพยัคฆ์โลหะได้”
เขากำลังมองอักษรโบราณสายฟ้าในม้วนตำราไผ่ที่บันทึกผังวิญญาณทั้งสามสิบหกเอาไว้ จากนั้นเขาจึงเริ่มวาดพวกมันลงบนกระดาษยันต์
หลังเผชิญความล้มเหลวหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ขัดเกลายันต์สายฟ้าขึ้นได้
ด้วยประสบการณ์ขัดเกลายันต์อัคคี มันยิ่งง่ายดายขึ้นเมื่อฉินหยุนคิดขัดเกลายันต์อื่น
“ตอนนี้เราทำได้แค่ผังวิญญาณระดับต่ำ ขณะที่ของซุยฮ่วยเป็นผังวิญญาณสายฟ้าระดับสูงและชั้นเลิศ” ฉินหยุนลายเส้นสายฟ้าที่เขาทำขึ้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
“ไว้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้น พลังจิตก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แล้วตอนนี้เราก็ขัดเกลายันต์อัคคีได้เร็วกว่าก่อนหน้านี้แล้วด้วย”
หลังจากนั้นเขาจึงทำยันต์อัคคีอีกจำนวนหนึ่งก่อนจะไปพักผ่อน
ช่วงกลางวัน ลานกว้างฝึกฝนซึ่งใหญ่ที่สุดของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเต็มไปด้วยเสียงตื่นเต้นฮือฮา
ที่ลานกว้างฝึกฝนวิชายุทธ์ หลายผู้คนกำลังง่วนกับการจัดเรียงเก้าอี้ตรงโน้นทีและตรงนี้ทีเพื่องานจัดเลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่
ปรมาจารย์เว่ยได้จ่ายไปไม่น้อยเพื่อแสดงความยินดีแก่ความสำเร็จของบุตรชาย พร้อมกันนี้ก็เปิดโอกาสให้เว่ยเสวียนคุนได้กอบกู้หน้าจากการพ่ายแพ้ฉินหยุนผ่านงานฉลองครั้งนี้ด้วยในตัว
ในช่วงเย็น ตะวันทั้งเก้ากำลังย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดง
ที่ลานกว้างฝึกวิชายุทธ์ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง มีโฉมงามจำนวนมากทั้งบุคคลในเครื่องแบบ เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลระดับสูงที่ปรมาจารย์เว่ยเชิญมา
ฉินหยุนและหยางฉีเย่ว์ก็เข้าร่วมงานเช่นกัน พวกเขาเลือกนั่งอยู่แถวหลัง ทว่าปรมาจารย์เว่ยคล้ายเตรียมรออยู่ก่อนแล้วจึงส่งคนมาเชิญพวกเขาไปนั่งบริเวณแถวหน้า การกระทำนี้ชัดเจนว่าเขาต้องมีเจตนาอะไรบางอย่างแน่นอน