ตอนที่ 8 - พลานุภาพของดาบ
ตอนที่ 8 พลานุภาพของดาบ
-------------------------
ตอนที่ 8 พลานุภาพของดาบ
หลังเลิกเรียนเฉิน เฉินโจวอี้แอบเปิดแผงคุณสมบัติของเขา
" ความตั้งใจ: 11 จุด "
เขาเบิกตากว้างอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนเช้าเขาเคยเปิดดูไปแล้วรอบหนึ่ง ในเวลานั้นคุณสมบัติด้านความตั้งใจของเขามีแค่ 10.0 เท่านั้น แต่แค่เวลาช่วงบ่ายสั้นๆ ความตั้งใจของเขากลับก้าวกระโดดไปที่ 11 จุด และก็เป็นคุณสมบัติที่ถึง 11 จุดจากบรรดาคุณสมบัติทั้งหมด
เฉินโจวอี้นึกถึงคาบเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเขาจะเอาชนะนิสัยความอ่อนแอและความต่ำต้อยของตัวเองที่หยั่งรากลึกได้ แล้วก้าวเกินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ นึกถึงตอนที่พูดคุยกับเพื่อนๆ หลังเลิกคาบ ความคิดและการกระทำที่คล่องแคล่วว่องไวนั่น......
เมื่อคิดเกี่ยวกับมันในเวลานี้ เขาแทบอยากจะไม่เชื่อ รู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้เปลี่ยนเป็นอีกคนไปแล้ว
ที่แท้นี่คือความตั้งใจนี่เอง ! เขาคิดตั้งมากมาย ตัวเขาเองแตกต่างไปแล้วจริงๆ
รู้สึกถึงตัวเองที่มีนิสัยชอบหดหัวไม่กล้าทำอะไร แต่พอเขาได้เงยหน้าขึ้นมา สายตาของเขามองตรงไปยังด้านหน้า
....
ซุนซินผู้ซึ่งเดินอยู่ข้างเขาไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งของเฉินโจวอี้ เขาเกาหนังศรีษะอย่างแรง รังแคปลิวว่อนออกมา จากนั้นเขาเอามือมันแผล็บเช็ดที่กางเกงแล้วถามขึ้น " วันหยุดพวกนายวางแผนที่จะทำอะไรกันหรอ ? "
" นอน เล่นเกม ยังมีอะไรให้ทำอีกหรอ ? " จ้าวอี้เฟิงตอบ
" ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย อาจจะลงเรียนเสริมสักวิชา " เฉินโจวอี้คิดแล้วพูดขึ้น
บรรยากาศในการเรียนศิลปะการต่อสู้ของโรงเรียนมัธยมตงหนิงหมายเลขห้ายังไม่เข้มข้นเท่าไร วิชาศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ไว้ให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เนื้อหาน้อยจนน่าใจหาย แค่ท่าแทงดาบยังต้องใช้เวลาเรียนตลอดทั้งปี นอกจากนี้ก็มีแค่วิ่งระยะสั้นและการฝึกความแข็งแกร่งอีกบางส่วน โดยปกติแล้วไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการส่วนบุคคลได้
อีกอย่างท่าพุ่งไปแทงดาบของเขาในตอนนี้ อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ขาดไปเพียงอย่างเดียวคือความเร็วในการตอบสนองของกล้ามเนื้อ ยังต้องฝึกอีกหลายพันครั้ง หรือฝึกซ้ำๆ อีกหลายหมื่นครั้ง ให้กระบวนการในการออกแรงของกล้ามเนื้อประสานกับร่างกาย ให้การพุ่งแทงดาบกลายเป็นสัญชาตญาณของร่างกาย แต่สิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้กระบวนท่าดาบขั้นพื้นฐานอื่น ๆ แล้ว
" นายสองคนน่าเบื่อจริงๆ " ซุนซินมองบนแล้วพูดขึ้น
....
ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้จ้าวอี้เฟิงดูเงียบผิดปกติ ตลอดทางเขาไม่ได้พูดอะไรมากมาย เพียงแต่เฉินโจวอี้เองก็ไม่ได้เป็นคนที่ช่างสังเกตอะไรอย่างรอบคอบ เขาจึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
เขากลับเพื่อนอีกสองคนกลับคนละทางกัน หลังจากที่ขี่จักรยานแยกย้ายกันกลับแล้ว
....
" พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว ! "
หลังจากที่เขาจอดรถจักรยานไว้ที่โรงรถประตูหลังแล้ว เขาเดินเข้าไปในร้านอาหาร แต่ไม่มีใครตอบกลับ พ่อกับแม่ของเขากำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในร้านอาหาร ด้านข้างยังมีเถ้าแก่เจ้าของร้านอีกเป็นจำนวนมากนั่งอยู่
"เกิดอะไรขึ้นหรอครับ?" ใจเขาเต้นแรงไปพักหนึ่ง
เขารีบเงยหน้ามองไปที่โทรทัศน์อย่างรวดเร็ว ในโทรทัศน์กำลังประกาศข่าวๆ หนึ่งอยู่ ผู้ประกาศข่าวสาวสวยกำลังประกาศข่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง
" จากแหล่งข่าวที่ผู้สื่อข่าวของเราได้ทราบมา นกดุร้ายที่มาจากโลกที่แตกต่างตัวนี้ โผล่มาจากรูมิติขนาดใหญ่หมายเลข 13541 ที่มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 15 กิโลเมตร มันฝ่าด่านวงล้อมไฟของกองกำลังทหาร แล้วบินไปด้วยอาการบาดเจ็บไปได้ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ก็ถูกเครื่องบินรบที่พุ่งมากระหน่ำยิง ในที่สุดจึงร่วงลงสู่ถนนจงหมิงกลางเมืองหนิงโจว "
เฉินโจวอี้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ หนิงโจวเป็นเมืองระดับนครท้องที่ของเมืองตงหนิง ห่างจากที่นี่เพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
เขามองไปที่รายการข่าว ภาพจากกล้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นกดุร้ายตัวหนึ่งที่มีเขี้ยวยาวลากดินกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ฝูงชนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบด้าน พากันวิ่งป่าราบและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
นี่คือนกยักษ์ขนาดใหญ่ แค่ลำตัวของมันก็มีขนาดเท่าถนนสองเลน บนโลกมนุษย์นี้ไม่มีนกชนิดไหนที่มีขนาดตัวใหญ่ได้ถึงระดับนี้มาก่อน แต่แต่ช้างแอฟริกันที่เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดยังไม่คู่ควรที่จะเอ่ยเทียบกับมัน
ร่างของมันได้รับบาดเจ็บสาหัส บาดแผลตรงหลายจุดเนื้อเปิดชุ่มไปด้วยเลือด ปากแผลมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บสาหัสนี้ดูเหมือนจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณดุร้ายของมันออกมา มันพุ่งเข้าโจมตีผู้คนที่วิ่งหนีอยู่บนถนน ทิ้งศพเกลื่อนกลาดไว้เต็มไปหมด
....
นับตั้งแต่การรวมตัวกันของโลกมนุษย์และโลกที่แตกต่างเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว บรรดาสัตว์ร้ายจากแต่ละที่ทั่วโลกรวมถึงบรรดาคนป่าเถื่อนฝ่าด่านปิดล้อมของกองกำลังทหารเข้ามาไม่ขาดสาย
แรงดึงดูดของโลกที่แตกต่างมีมากกว่าโลกมนุษย์ถึงสามเท่า ต่อให้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดา แต่เมื่อมายังโลกมนุษย์ ก็จะกลายเป็นอันตรายจนยากที่จะเปรียบ ทุกครั้งที่พวกมันปรากฏตัวมักจะทำให้มนุษย์เกิดความหวาดกลัว
ในความเป็นจริง สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แต่คือเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียของโลกที่แตกต่าง
เมื่อไม่กี่ปี ก่อนที่โลกมนุษย์จะรวมกับโลกที่แตกต่าง ทั่วโลกมีรายงานการระบาดโรคติดเชื้อเฉียบพลันขั้นร้ายแรงกลุ่มเอมากกว่าสิบครั้งจนทำให้มีผู้เสียชีวิต ประชากรโลกมากกว่าหนึ่งพันล้านคนเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ แม้แต่ผู้คนในบรรดาประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรน้อยต่างก็พากันล้มตายจนหมดประเทศ
โชคดีที่หลายปีมานี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับการที่ร่างกายของมนุษย์ค่อยๆ ผลิตแอนติบอดี้ที่เกี่ยวข้องกับการต้านทานเชื้อโรคร้ายพวกนี้ เรื่องราวการเสียชีวิตเป็นวงกว้างจึงค่อยๆ หายไปและไม่ค่อยได้ยินอีก
....
ไม่กี่นาทีต่อมา หรืออาจจะเป็นเพราะเกิดการนองเลือดมากเกินไป ข่าวนี้ไม่นานก็ถูกตัดออก ผู้คนในร้านอาหารเริ่มพูดคุยกันบางส่วนก็แยกย้ายกลับ
" กลับมาแล้วหรอ " แม่ของเขาที่หน้าเริ่มซีดดูเหมือนจะพึ่งสังเกตว่าเฉินโจวอี้กลับมาแล้ว
" ครับ ! "
" อย่าคิดมากนะลูก หิวหรือยัง อยากกินอะไร พ่อจะทำให้ลูกกิน " เฉินต้าเหว่ยปิดทีวีแล้วแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม
....
เฉินโจวอี้อ้าปากค้าง ในใจเขาอยากจะถาม แต่รู้สึกว่าพ่อของเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้เขาพูดถึงมัน
" ขอเป็นข้าวซุปกวางตุ้งฮ่องเต้ใส่กระดูกซี่โครงแล้วกันครับ ! "
พูดจบเขาชะงักไปพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกว่า " วันเสาร์นี้ผมอยากจะลงเรียนเสริมสักวิชาหนึ่งครับ "
เผชิญหน้ากับความก้าวหน้าของลูกชายที่หาได้ยากเช่นนี้ แม่ของเขาที่พึ่งไม่สบายใจเพราะดูข่าวที่น่ากลัวนั่น กลับไม่ได้ดีใจจนออกนอกหน้า " ตราบใดที่มันมีประโยชน์ต่อการสอบเกาเข่า พ่อและแม่ก็สนับสนุนหมดแหละ ที่พวกเราทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพื่อให้ในอนาคตพวกลูกมีชีวิตที่ง่ายขึ้น มีการงานที่มั่นคงทำหรอกเหรอ "
" แต่ผมอยากลงเรียนเสริมวิชาศิลปะการต่อสู้ ! "
แม่ของเขาได้ยินดังนั้นค่อยๆ ชะงักไป เมื่อกี้พึ่งจะมีสีหน้ายิ้มแย้มดูดีขึ้น พริบตาเดียวก็เปลี่ยนสีหน้าอีกแล้ว
" อะไรนะ ตอนนี้ลูกอยู่ชั้น ม.6 แล้วนะ ยังจะไปฝึกศิลปะการต่อสู้อีกเหรอ ? แต่ละวันจะหาเวลาว่างออกกำลังกายสักนิดก็ได้ แต่ไม่ใช่เอามันมาเป็นเรื่องหลัก เรื่องพวกนี้มันต้องพึ่งพรสวรรค์ ถ้าหากลูกมีพรสวรรค์แบบนั้นเหมือนน้องสาวของลูก แม่ก็จะไม่พูดเยอะแบบนี้หรอก จะให้เรียนทันทีเลย ครอบครัวของพวกเราถึงแม้จะไม่นับว่าร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน เพียงแต่ลูกจะเสียเวลาไปหรือเปล่า ? "
เฉินต้าเหว่ยที่อยู่ด้านข้างไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอาเวลามาเสียตรงส่วนนี้เหมือนกัน ถ้าหากจะพูดว่าลูกชายของเขายังพอมีความหวังในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย งั้นเรื่องศิลปะการต่อสู้ก็คงจะไม่มีความหวังแล้ว
เฉินโจวอี้เงียบไป ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ภายใต้การใช้อำนาจของแม่ เขามักจะเชื่อฟังมาโดยตลอดแม้ว่าเขาจะไม่สบายใจก็ตาม เขาก็จะยังเชื่อฟังแบบเงียบๆ แต่วันนี้ดูเหมือนว่ามีความคิดที่แข็งแกร่งพยายามขับเคลื่อนให้เขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
" แม่ครับ เรื่องเรียนผมไม่เคยปล่อยปะละเลย ช่วงสองสามวันมานี้ผมตั้งใจเรียนมาโดยตลอด ผมก็แค่อยากจะแบ่งเวลาออกมาเตรียมความพร้อมสำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้สักนิด เตรียมความพร้อมให้สองมือของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองก้าวหน้าไปมาก ร่างกายเริ่มแข็งแรงมากขึ้น คาบเรียนศิลปะการต่อสู้ในวันนี้ คุณครูยังชมผมเป็นพิเศษเลย ผมคิดว่ายังพอมีความหวังเยอะอยู่นะครับ "
" พ่อครับ แม่ครับ ที่ผ่านมาผมเชื่อฟังพ่อกับแม่มาโดยตลอด พ่อกับแม่ให้ผมเดินไปทางไหน ผมก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ผมรู้ครับว่าพ่อกับแม่หวังดีต่อผม แต่วันนี้ผมหวังว่าพ่อกับแม่จะลองคิดพิจารณาความคิดของผมสักนิดนะครับ "
แม่ของเขาได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง เธอมองหน้าเฉินต้าเหว่ย ทั้งคู่ต่างเห็นถึงความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน
นี่ยังเป็นลูกชายเงียบๆ ลูกชายที่ปกติไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอยู่ไหม?
" งั้นลูกลองพูดมาสิ ทำไมครูสอนศิลปะการต่อสู้ของลูกถึงพูดชมลูก ? " แม่ของเขาเริ่มอ่อนข้อลง แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี ลูกชายของตัวเอง ตัวเองย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโต ทำอะไรมาบ้างเธอรู้หมด
" เป็นเพราะท่าพุ่งแทงดาบของผมครับ ดีที่สุดในห้องเรียน " เฉินโจวอี้พูดด้วยความภาคภูมิใจ
เพื่อพิสูจน์ เขาหยิบตะเกียบไม้มาจากบนโต๊ะอาหารหนึ่งอันทำเป็นดาบ แสดงต่อหน้าพ่อกับแม่ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก เขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง ก็แทงลงไปบนผนัง
แรงจากปลายเท้าที่เหยียบอยู่บนพื้น ค่อยๆ วิ่งผ่านกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย มาถึงจุดที่จะแทงออกไป เพียงครั้งเดียว ตะเกียบพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ถูกต้องตามมาตรฐานเหมือนตำราเรียนเป๊ะๆ
เกิดเสียง " พลั่ก ! "
วินาทีต่อมา ตะเกียบไม้อันนี้เจาะเข้าไปที่พื้นผิวของกระเบื้อง ทะลุเข้าไปในผนังครึ่งหนึ่ง
" เฮ้ย ! "เฉินโจวอี้ตกตะลึง ไม่คิดว่าพลานุภาพของกระบวนท่าพุ่งแทงดาบของเขาจะทรงพลังได้ขนาดนี้ เขายังคิดว่าตะเกียบจะหักอยู่เลย นี่บนผนังแปะกระเบื้องไว้อีกชั้นด้วยนะ แข็งแรงขนาดนี้ ถ้ายึดตามความคิดของเขา ตะเกียบไม้จะแทงทะลุเข้าไปได้ไง ?