ตอนที่ 4 - ความอดกลั้นของพี่ชาย
ตอนที่ 4 ความอดกลั้นของพี่ชาย
-------------------------
ตอนที่ 4 ความอดกลั้นของพี่ชาย
" พี่ ! พี่ ! พี่เป็นอะไร "
" รีบตื่นขึ้นมาสิ ! ต่อไปนี้ฉันจะไม่จงใจยั่วโมโหพี่อีกแล้ว "
" พี่รีบตื่นสิ ! "
" พี่ ! พี่.....พ่อคะ ! แม่คะ ! รีบมานี่เร็ว พี่เป็นลมหมดสติไปแล้ว "
เฉินโจวอี้ลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือภาพของใบหน้าน้องสาวที่มีน้ำตาอาบแก้ม จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้าง รีบออกจากอ้อมกอดของเฉินซิงเยว่น้องสาวของเขา แล้วลุกขึ้นนั่ง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอเข้ามาได้ยังไงเหรอ?"
" พี่ พี่เพิ่งจะเป็นลมหมดสติไปนะ รู้ตัวหรือเปล่า ? " เฉินซิงเยว่พูดขึ้นอย่างเสียใจ น้ำตายังคงไหลออกมา
เฉินโจวอี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะรวบรวม หนังสือแห่งความรู้ นั้น ตัวเขาเองกำลังยืนอยู่ ต่อมาหลังจากที่เข้าไปในมิติแล้ว ผลก็คือตัวเขาเองกลายเป็นแบบที่คาดไม่ถึงเสียแล้ว
หลังจากที่คิดทุกอย่างชัดเจนดีแล้ว เขามองไปยังน้องสาวที่วันนี้ดูจะไม่เหมือนเดิมเท่าไร จู่ๆ เขาก็พบว่าน้องสาวของตัวเองไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้นแล้ว
เมื่อเทียบกับท่อนแขนที่ดูไม่มีกล้ามเนื้อของเขานั้น เผยให้เห็นรูปร่างที่แข็งแรงของตัวเอง ปากของเขาพูดคำพูดที่เขาไม่เชื่อออกมา " อย่าพูดเหลวไหลน่า ฉันจะไปเป็นลมได้ยังไง ร่างกายของฉันแข็งแรงขนาดนี้! ก็แค่วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันไปเรียน รู้สึกเหนื่อยไปหน่อย เลยค่อนข้างง่วงนอนหน่ะ "
เพื่อที่จะเน้นน้ำเสียง เขาก็พูดขึ้นอีกว่า " สรุปก็คือ ฉันก็แค่ง่วงนอนหน่ะ "
โดยสัญชาตญาณ เขาไม่ต้องการให้น้องสาวของเขารู้เรื่องหนังสือแห่งความรู้
โชคไม่ดีที่คำอธิบายของเขาไม่น่าเชื่ออย่างสิ้นเชิง หลังจากที่พ่อแม่รีบมาถึง เรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ร้านอาหารปิดเร็วมาก เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันทีและทำการตรวจร่างกายเต็มรูปแบบ ผลก็คือไม่พบอาการป่วยผิดปกติใดๆ ร่องรอยของหนังสือแห่งความรู้แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ตรวจหาไม่เจอ
สิ่งนี้ทำให้เฉินโจวอี้โล่งอกเป็นอย่างมาก
ตอนที่อยู่บนรถขณะขับกลับ เฉินโจวอี้บ่นพึมพำ " ผมบอกไปแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องไปโรงพยาบาล "
" หุบปาก ! " สีหน้าแม่ของเขาดูไม่พอใจ " ลูกจะไปรู้ได้ยังไงว่าลูกไม่เป็นอะไร อยู่ดีๆ แล้วจะเป็นลมได้ยังไง วันหลังไปตรวจดูที่โรงพยาบาลใหญ่ของเมืองจงไห่อีกรอบ "
" พ่อคิดว่าโจวอี้น่าจะขาดสารอาหารนะ ดูลูกผอมๆ เวลาออกไปข้างนอกกับลูก พ่อยังรู้สึกอายเลยที่บอกว่าตัวเองเปิดร้านอาหาร " เฉินต้าเหว่ยที่ขับรถอยู่พูดขึ้น
เฉินโจวอี้แอบแตะๆ ที่กระดูกซี่โครงทั้งตัวของเขา ทำเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ดูแล้วต่อไปคงไม่สามารถเข้าไปในสมุดแห่งความรู้ในตอนกลางวันได้อีก
....
กลับไปถึงร้านอาหารก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว ในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่สามารถเปิดร้านต่อได้แล้ว
สองพี่น้องเฉินโจวอี้ช่วยเจียงเฟินแม่ของพวกเขาเก็บกวาดและทำความสะอาด เฉินต้าเหว่ยกลับมาที่ห้องครัว ผัดอาหารจนเต็มโต๊ะ
เฉินโจวอี้มองไปยังเนื้อและผักที่เต็มถ้วย ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว
" อันนี้ให้พี่ ! " เฉินซิงเยว่คีบกระดูกซี่โครงขึ้น แล้วรีบส่งไปในถ้วยของเฉินโจวอี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็หันหน้าหนีอย่างอายๆ
เฉินโจวอี้รู้สึกซาบซึ้งเบาๆ น้องสาวของตัวเองมีบางครั้งที่ดูเหมือนจะไม่น่ารำคาญขนาดนั้น
" คู่พี่ชายน้องสาวต้องแบบนี้สิ แบบที่ชอบทะเลาะกันโวยวายใส่กันเหมือนเมื่อก่อนนั่นไม่น่าดูเลย พี่ชายลูกร่างกายอ่อนแอ เรียนก็ไม่ดี ในอนาคตยังต้องให้ลูกช่วยอีกมาก อย่าไปเอาแต่โกรธพี่เขาเลย " เจียงเฟิน แม่ของพวกเขาเมื่อเห็นภาพที่สองพี่น้องรักกัน ก็พูดขึ้นมาอย่างชื่นใจ
" แม่คะ หนูรู้แล้วน่า ! " หน้าของเฉินซิงเยว่แดง เธอรีบพูดขึ้น
เฉินโจวอี้ที่ได้ยินดังนั้นในใจเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี ในสายตาของแม่ เขาดูไร้ประโยชน์ขนาดนั้นเลยหรอ
แต่เมื่อเทียบกับน้องสาวอัจฉริยะที่เปล่งประกาย เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่ดูธรรมดามาก ตั้งแต่เด็กจนโต เขายังไม่เคยได้ผลการเรียนที่เป็นที่โดดเด่น ความทรงจำที่เคยได้รับรางวัล ก็คงต้องย้อนไปถึงวัยอนุบาล
แต่ในเวลานั้น เด็กทุกคนก็ต่างก็ต้องได้รับของรางวัลเหมือนกัน
" พ่อคะ แม่คะ หนูยังไม่ได้บอกข่าวดีเลยนะ ! " เฉินซิงเยว่อึดอัดมานาน ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
" ข่าวดีอะไรหรอ ? " เฉินต้าเหว่ยวางแก้วเหล้าลง แล้วพูดขึ้นอย่างมีหวัง
หนูถูกเสนอชื่อเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในเมืองหลวงแล้วนะคะ!
" อะไรนะ ? " เจียงเฟิน แม่ของเขาพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ ช่างเป็นลูกสาวที่เชื่อฟังของแม่เสียจริง ทำไมลูกไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็จะได้ไปฉลองที่ร้านเหล้ากัน
" ไปพรุ่งนี้ก็ยังไม่สายน่า " เฉินต้าเหว่ยหัวเราะพลางพูดขึ้น
ทุกวันนี้ศิลปะการต่อสู้ในสังคมได้กลายเป็นกระแสไปแล้ว ต่อให้เป็นแค่ชาวยุทธฝึกหัด ก็ยังมีโอกาสได้รับตำแหน่ และมีรายได้ปานกลางขึ้นไปในสถาบันฝึกอบรมศิลปะการต่อสู้จำนวนมาก รวมถึงในโรงเรียนมัธยมและประถมด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อสามารถเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ของเมืองหลวงที่เป็นวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ ยิ่งมีโอกาสสูงเป็นอย่างมากที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
" พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากหรอก ต่อให้ไม่ถูกเสนอชื่อ หนูก็มั่นใจว่าในปีนี้จะต้องสอบผ่านการทดสอบชาวยุทธให้ได้ พอถึงตอนนั้นค่อยฉลองแล้วกัน " เฉินซิงเยว่พูดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ
....
สีหน้าของพ่อแม่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา!
คิ้วของเฉินซิงเยว่กระตุก!
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข
เฉินโจวอี้เองก็แสร้งทำหัวเราะออกมา เขาพูดแสดงความยินดีด้วยคำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริง เดิมทีเขารู้สึกว่าอาหารรสชาติอร่อยมาก แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวขี้ผึ้งที่ไม่มีรสชาติอะไร
หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว เฉินโจวอี้เมื่ออาบน้ำเสร็จก็กลับมายังห้องนอน
เขานอนลงบนเตียง พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ
นอนไปได้สักพัก จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นบนเตียง นั่งนิ่งอยู่สักพัก จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ เขารีบกระโดดลงจากเตียง จัดท่าทาง เริ่มฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพไปแล้ว
ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานี้ ศิลปะการต่อสู้ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีในการเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายก็มีความหลากหลายมากขึ้น แต่วิธีการฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายเป็นของสำนักงานใหญ่ศิลปะการต่อสู้ของประเทศ รวบรวมวิธีฝึกฝนของนักรบจากโลกที่แตกต่าง วิธีฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม วิธีการฝึกโยคะของอินเดีย รวมถึงการวิจัยชีววิทยาของร่างกายมนุษย์ เพิ่มเสริมเติมแต่งให้ดีขึ้น เก็บส่วนที่ดีไว้จนเกิดเป็นวิธีฝึกฝนที่ได้มาตรฐาน
มาจนถึงปัจจุบันเป็นฉบับที่สามแล้ว ผลลัพธ์เมื่อเทียบกับสองฉบับก่อนหน้านี้ถือว่าดีขึ้นมาก
อย่ามองว่าเขามีรูปร่างผอมจนเห็นซี่โครง นั่นเป็นเพราะเขาเกิดมาก็ผอมแล้ว
ที่จริงแล้ว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ขดแน่นเหมือนลวด เวลาไม่ใช้แรงก็ยังสามารถเห็นซิกแพคแปดก้อนอยู่
ถ้าเทียบกับเมื่อยี่สิบปีก่อน คุณสมบัติของร่างกายแบบนี้ สามารถเข้าร่วมกับนักกีฬาทีมชาติได้อย่างสบาย
ยกตัวอย่างเช่นความแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าคุณสมบัติจะมีแค่ 10.4 แต่ในความเป็นจริงกลับสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 110 กิโลกรัม ไปจนเกือบ 200 กิโลกรัม ขณะเดียวกันความเร็วในการวิ่งหนึ่งร้อยเมตรอยู่ที่ 10.20 วินาที
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานของการทดสอบการฝึกฝนชาวยุทธแล้ว ผู้ชายต้องมีสถิติวิ่งร้อยเมตรอยู่ที่ 9.5 วินาที ยกน้ำหนัก 200 กิโลกรัม ระยะห่างยังถือว่าไกลมาก นี่ก็ยังเป็นคุณสมบัติทางกาย นอกเหนือจากนี้ ยังมีการทดสอบของอาวุธเหล็กกล้าที่ยากยิ่งกว่า
....
เฉินโจวอี้เริ่มฝึกฝนตามความทรงจำของเขา หลังจากที่ความรู้ถูกเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว มันดูลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ราวกับตราประทับเหล็กที่จารึกลงในสมองของเขา ราวกับเคยฝึกฝนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
จากตอนแรกที่ฝึกอย่างไม่ชำนาญ พอมาถึงรอบที่สองก็เริ่มค่อยๆ ชำนาญมากยิ่งขึ้น พอมาถึงรอบที่สามนั้น สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องทำการปรับแต่งใด ๆ
ไม่นานเขาเริ่มค้นพบอย่างรวดเร็วถึงความแตกต่างของแบบฉบับที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพโดยหนังสือแห่งความรู้ ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกาย และยังมีผลต่อการใช้พละกำลังในร่างกายอยู่ไม่น้อย
ในขั้นต้นเขาสามารถฝึกได้สิบรอบในหนึ่งลมหายใจ ถึงจะเริ่มเหนื่อยจนหมดแรง เพราะเขาใช้พลังจนหมดตัว
อย่างไรก็ตามในเวลานี้พึ่งจะทำได้แค่สี่รอบ แรงที่ใช้ก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะหมดไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขาพบว่าบางครั้งเวลาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ตอนที่ท่าต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างคล่องแคล่ว ร่างกายจะเกิดอาการปวกเปียกราวกับโดนไฟช็อต ความรู้สึกแบบนี้ช่างน่าทึ่งเสียเหลือเกิน ราวกับว่ากระแสความร้อนไหลวนอยู่ในร่างกายของเขา มีแนวโน้มว่าจะอบอุ่นขึ้นไปทั่วร่างกาย
เหงื่อร้อนไหลออกมาจากร่างของเขาไม่หยุด เมื่อเฉินโจวอี้กัดฟันฝึกรอบที่ห้าสำเร็จ ในที่สุดพลังในร่างกายของเขาก็หมดลง เขาไม่สามารถกัดฟันฝืนได้อีก จึงนั่งลงบนพื้น
เขาเรียกหาหนังสือแห่งความรู้ ไม่นานคุณสมบัติของเขาก็พุ่งเข้ามาในหัว
การฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายก่อนหน้านี้ (ขั้นเริ่มต้นระดับ 5) กลายเป็น (ขั้นเริ่มต้นระดับ 12) เพิ่มขึ้นมา 7 จุด
ท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาของเขาส่องแสงเปล่งประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้น เขาถึงจะสามารถยับยั้งแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาอยากจะตะโกนเสียงดังออกมาได้
" ตอนนี้มีหนังสือแห่งความรู้ จากนี้ไปจะต้องกลายเป็นคนมีพรสวรรค์เหมือนน้องสาวอย่างแน่นอน "
ภายใต้ความอดกลั้นของวัยรุ่นที่เย่อหยิ่ง ชั่วครู่หนึ่งความเหนื่อยล้าของเขาก็ลดลงไปมาก พักผ่อนสักพัก เขาก็ลากสังขารที่เหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นมา แล้วกัดฟันฝึกอีกสามรอบ จนกระทั่งเขาขยับนิ้วไม่ได้ ถึงจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียง เขาเหนื่อยเกินกว่าที่จะอาบน้ำ พอหัวถึงหมอน เขาก็ผล็อยหลับไปทันที