ตอนที่ 26 - ภาษาที่ใช้กันทั่วไป
ตอนที่ 26 ภาษาที่ใช้กันทั่วไป
-------------------------
ตอนที่ 26 ภาษาที่ใช้กันทั่วไป
ในความเป็นจริงแล้วดูว่าใครเป็นคนมีฝีมือนั้นง่ายดายมาก ก็แค่ดูว่าคนที่มามุงดูเขามีมากหรือน้อย โดยปกติคนที่มีฝีมือมักจะสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้เป็นจำนวนมาก
เฉินโจวอี้ไม่กระตือรือร้นที่จะฝึก เขามองไปยังทีละคนๆ
ในเวลานี้เขาหยุดฝีเท้าของตัวเอง ด้านหน้ามีคนกลุ่มใหญ่ยืนล้อมรอบบางคนไว้ แม้แต่สายตาของครูฝึกสอนยิงธนูของโรงยิมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงยังต้องมองไปทางนั้นเป็นครั้งคราว
นี่คือชายวัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียวที่มีท่าทีไม่แยแสต่อสิ่งใด ภายใต้เสื้อกีฬาแบบลำลองแขนสั้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนที่ดูแน่นเป็นมัดๆ ราวกับการบิดขดลวดเข้าไว้ด้วยกัน ทุกครั้งที่เขายิงธนูออกไป ต่างก็ทำให้เกิดเสียงพุ่งผ่านอากาศที่แหลมคม
การเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยจังหวะ เหมือนมีจังหวะอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าความเร็วของลูกธนูจะไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป แต่กลับให้ความรู้สึกลื่นไหลราวกับสายน้ำ
เฉินโจวอี้มองดูอยู่ทางด้านข้างอย่างเงียบๆ ไปสักพัก จากนั้นเขาก็เดินไปยังโซนพักผ่อนเพื่อเอนกายลงบนเก้าอี้ เขาหลับตาลงดูเหมือนกำลังทำสมาธิ เขานั่งนานถึงสองชั่วโมง รอถึงตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา ชายวัยกลางคนคนนั้นก็เดินมาแล้ว
แต่ว่าเขากลับไม่สนใจ สิ่งที่เขาควรจะได้รับ เขากลับได้รับมันไปแล้ว
" ขอโทษนะครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ? "
" ผมต้องการธนูหนักสามร้อยปอนด์ "
เฉินโจวอี้รับธนูหนึ่งคันและซองใส่ลูกธนูอีกสามอันมา เดินมายังที่ว่างหนึ่งที่ในนั้น
เขาลองทดสอบแรงของคันธนู พบว่าสำหรับแรงในปัจจุบันของเขานั้น มันค่อนข้างเบาไปนิด แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนอันใหม่ ธนูหนักสามร้อยปอนด์ถือว่าตรงตามมาตรฐานของการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดเพศชายแล้ว
โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่ที่เป็นคนธรรมดาสามารถดึงคันธนูที่มีน้ำหนักเพียงสี่สิบถึงห้าสิบปอนด์เท่านั้น ถ้าคันธนูที่มีน้ำหนักเกินกว่าร้อยปอนด์มันได้เกินขอบเขตของพวกธนูที่ให้สำหรับล่าสัตว์และธนูที่ใช้ในการต่อสู้ไปแล้ว แต่แรงของธนูน้ำหนักสามร้อยปอนด์ในช่วงระยะยิงสั้นหรือระยะกลาง แรงของมันเทียบได้กับปืนไรเฟิล
ก็เหมือนกับการใช้ดาบ วิถีของธนูมีมาตรฐานในการออกแรงและการเคลื่อนไหวที่แน่นอน แต่มันง่ายกว่ามากเมื่อเทียบกับวิชาดาบ การทดสอบที่เพิ่มเข้ามาคือความสามารถในการมองเห็น สัญชาตยาณและความสามารถในการคาดการณ์ มันไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากมาย นอกจากความสามารถของตัวเองแล้ว ก็ต้องฝึกฝนให้มากขึ้น ฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมา
เหมือนกับเขาที่เชี่ยวชาญในวิชาดาบ อยากเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เขาหลับตาลง นึกถึงความทรงจำของกล้ามเนื้อของชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในมิติแห่งความทรงจำ
วินาทีต่อมา เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วดึงคันธนูเพื่อยิงธนูในทันที
เขายิงได้ในครั้งเดียว ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว!
ลูกธนูพุ่งไปอย่างรวดเร็ว พุ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินโจวอี้ส่ายหัว เขายิงธนูออกไปอีกหนึ่งดอก ครั้งนี้มันยิงลงเป้า แต่น่าเสียดายที่มันปักลงแค่ตรงวงที่หนึ่ง
ธนูดอกที่สามออกนอกเป้าหมายอีกครั้ง
ธนูดอกที่สี่ปักลงวงที่สาม!
แต่หลังจากธนูดอกที่ห้าไป มันสามารถปักลงไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้แล้ว
เขายังไม่หยุดยิงธนู ปัจจุบันความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาทรงพลังมาก เขามีแรงมากมายไม่สิ้นสุด คันธนูน้ำหนักสามร้อยปอนด์สำหรับเขานั้นถือว่าเขาแทบไม่ต้องเปลืองแรงเลย ซึ่งเขาไม่รู้สึกว่ามันใช้แรงมากเลยสักนิด
หลังจากฝึกยิงธนูไปได้ไม่นาน ลูกธนูในซองธนูทั้งสามซองก็ถูกยิงจนหมด
เขาไปเอาลูกธนูมาเพิ่ม แล้ววิเคราะห์ศึกษาระยะห่างระหว่างเป้า เขาเริ่มยิงธนูต่อโดยไม่ได้พักผ่อน
เพื่อความปลอดภัย พื้นที่ในการยิงธนูของยิมนี้แต่ละที่จะมีกำแพงกั้น ซึ่งสามารถไปเอาลูกธนูได้ตลอดเวลา
ความสำเร็จของเขาสามารถมองเห็นความเร็วของมันได้ด้วยตาเปล่า มันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รอจนกระทั่งยิมฝึกยิงธนูปิดลง วิถีแห่งธนูของเขาจากเดิมที่ยังอยู่ในระดับ (ยังไม่เริ่มต้น) ตอนนี้มาถึง (ขั้นเริ่มต้นระดับ 10) แล้ว
....
เวลาสามทุ่มครึ่ง เขากลับไปยังโรงแรมพร้อมกระเป๋าเอกสาร
พอเตรียมจะขึ้นบันได เขาก็ถูกแผนกต้อนรับเรียกไว้ "หนุ่มหล่อ พัสดุของเธอมาถึงแล้วนะ"
" อ้อ ขอบคุณครับ! " เฉินโจวอี้กล่าวขอบคุณ หลังจากรับพัสดุมาแล้ว เขารีบกลับไปยังห้องของตัวเอง
เขาปิดประตู นั่งลงบนเตียงแล้วฉีกกล่องพัสดุ ด้านในมีหนังสือเล่มหนาอยู่สามเล่ม
'บทสนทนาที่มักจะใช้สนทนากับคนเถื่อน'
'พจนานุกรมคำที่ใช้พูดทั่วไปในโลกที่แตกต่าง'
'เรียนภาษาคนเถื่อนจากรูป'
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในพื้นที่ที่มนุษย์แต่ละประเทศสามารถสำรวจได้ในปัจจุบัน ภาษาในโลกที่แตกต่างดูเหมือนจะมีแค่แบบเดียวเท่านั้น ไม่ว่าเผ่าของคนเถื่อนทั้งสองเผ่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน ไม่ว่าในชนเผ่านี้จะเชื่อเรื่องเทพเจ้าหรือไม่ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีสติปัญญาไม่เหมือนกับพวกคนเถื่อน ดูเหมือนจะใช้ภาษาเดียวกันทั้งหมด
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เข้าใจได้ยากเกินกว่าที่สามัญสำนึกของมนุษย์จะเข้าใจได้
นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้มานับไม่ถ้วน จนกระทั่งเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วของพันธุศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้พัฒนาคำอธิบายที่น่าเชื่อถือมากขึ้น การวิจัยพบว่ายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มภาษาของพวกเขามีประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนจะมากกว่าของมนุษย์หลายสิบเท่า แต่ความสามารถทางภาษากลับไม่แข็งแกร่งเท่ามนุษย์
ในแง่ของเคมี ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นการสิ้นเปลืองที่ร้ายแรงและมีความซ้ำซ้อนเป็นอย่างมาก
นักวิทยาศาสตร์บางคนคาดการณ์ข้อสันนิษฐานที่น่าประหลาดใจว่ายีนส์ของพวกเขาน่าจะสามารถถ่ายทอดข้อมูลทางภาษาได้
แต่อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการโต้เถียงตั้งแต่เริ่มเผยแพร่ออกมา เพราะมันยังสามารถนำไปสู่ข้อสรุปที่เหลือเชื่อมากขึ้น
นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกที่แตกต่างล้วนแล้วแต่มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน
ต้นกำเนิดแบบนี้ไม่ได้เหมือนบนโลกมนุษย์ที่ว่า โมเลกุลอินทรีย์ตัวแรกถือกำเนิดมาจากสัตว์ใต้ท้องทะเล
" ต้นกำเนิด " ของสิ่งมีชีวิตในโลกที่แตกต่างอย่างน้อยควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาได้ หลังจากที่ " มัน " ล้าหลัง เซลล์และยีนส์ของ " มัน " เริ่มแพร่กระจายออกไป ชีวิตนับไม่ถ้วนได้ถือกำเนิดขึ้นจากการวิวัฒนาการบนพื้นฐานนี้ และเริ่มวิวัฒนาการต่อไป
แต่ภาษาของ " มัน "นั้นสืบทอดมาจากยีนส์
....
แต่สำหรับเฉินโจวอี้แล้ว ไม่ว่าต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตในโลกที่แตกต่างจะน่าพิศวงและเหลือเชื่อแค่ไหน อย่างน้อยๆ สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ต้องไปกังวลว่าภาษาของเด็กหญิงเปลือกหอยจะเป็นภาษาที่แปลกประหลาดหรือไม่มีประโยชน์อะไร
พอนึกถึงเด็กหญิงเปลือกหอยขึ้นมา เฉินโจวอี้รีบเปิดกระเป๋าเอกสารใบใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมาอย่างรวดเร็ว
แล้วรีบนำเด็กหญิงเปลือกหอยที่ถูกมัดอยู่ออกมาจากในนั้น
เขาฉีกเทปที่ปิดปากของเธอไว้ แล้วตัดเชือกที่มัดมือและเท้าของเธอออก
เด็กหญิงเปลือกหอยขยับมือและเท้าได้แล้ว เธอมองเฉินโจวอี้ด้วยสายตาเกลียดชัง ไม่ยอมหันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แต่หลังจากรอให้เฉินโจวอี้ยื่นลูกแก้วหลากสีให้ เธอรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสทันที
เธอเอาลูกแก้วส่องกับโคมไฟ มองไปยังแสงที่เปลี่ยนสีไปมานั้น ยิ่งมองเธอก็ยิ่งชอบ ขาที่นั่งอยู่ขอบโต๊ะ เริ่มแกว่งไปมาโดยไม่รู้ตัว
ลูกแก้วชนิดนี้เป็นลูกแก้วของเด็กเล่น ราคาค่อนข้างถูก กล่องใหญ่ราคาสามสิบหยวน เฉินโจวอี้ซื้อมาหนึ่งกล่อง ด้านในมีหลายร้อยหลายพันลูก มีหมดทุกสี
เฉินโจวอี้คาดการณ์ไว้ว่าสามารถใช้ไปได้อีกนาน
หลังจากป้อนน้ำผึ้งให้เธอแล้ว เฉินโจวอี้ก็วางเธอไว้บนหมอน เปิดโทรทัศน์แล้วเปลี่ยนเป็นช่องการ์ตูน
และก็ไม่ได้สนใจเธออีก
ตอนนี้เธอติดโทรทัศน์มาก โดยเฉพาะช่องการ์ตูน ถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่แค่ดูภาพก็รู้สึกเพลิดเพลินมาก เธอดูตาไม่กระพริบ
แต่เฉินโจวอี้กลับหยิบเอาหนังสือ 'เรียนภาษาคนเถื่อนจากภาพ' ซึ่งเป็นเล่มที่ง่ายที่สุดขึ้นมา แล้วเริ่มเรียนภาษาของโลกที่แตกต่างอย่างตั้งใจ
เขาอ่านไปสักพัก ทันใดนั้นเขาก็หันไปพูดกับเด็กหญิงเปลือกหอยว่า ปัวจาลั่ว เค้อปาตัว!
ในหนังสือ ประโยคนี้มีความหมายว่า " พวกเราเป็นเพื่อนกัน! "
เด็กหญิงเปลือกหอยกลับไม่ได้ยิน ดวงตาของเธอเอาแต่จดจ้องไปที่การ์ตูนตาไม่กระพริบ เพ่งสมาธิอยู่กับมัน
เฉินโจวอี้หยิบรีโมทขึ้นมาปิดโทรทัศน์ แล้วเริ่มพูดซ้ำอีกรอบ
เด็กหญิงเปลือกหอยอารมณ์เสีย เธอลุกขึ้นเอามือเท้าเอวแล้วพูดตะโกนเสียงดังว่า " เป้ปป้า เป้ปป้า เป้ปป้า! "
ตอนนี้เธอไม่หวาดกลัวคนตัวยักษ์คนนี้แล้ว ขอแค่หาทรายทองคำมาให้เขาได้มากพอ ต่อให้เธอทำท่าทีไม่เกรงใจเขา เขาก็ไม่จัดการเธอ นอกเสียจากว่าตอนที่ถูกเขาจับมัด
" เป้ปป้า? " เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจความโกรธของเด็กหญิงเปลือกหอย เขาตั้งใจฟังเสียงเล็กๆ อันแผ่วเบาของเธอ ในใจก็ท่องตาม เขาลองหาคำศัพท์ตามเสียงที่ได้ยิน แต่น่าเสียดายที่หามาตั้งนานก็ยังไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร
หรือว่าออกเสียงผิดนะ?
" เป้ปป้า ไปป้า เปปป้า เป๊ปป้า "
" เป๊ปป้าพิกนี่เอง! "