ตอนที่ 2 - ไม้ที่ผุพัง
ตอนที่ 2 ไม้ที่ผุพัง
-------------------------
ตอนที่ 2 ไม้ที่ผุพัง
ตอนบ่ายหลังเลิกเรียน เฉินโจวอี้ไม่ง่ายเลยที่จะบอกปัดคำแนะนำของเพื่อนทั้งสองคนเพื่อไปเล่นเน็ตที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เขาเล่นไปสักพัก จากนั้นก็ปั่นรถจักรยานกลับบ้านอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
" พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว "
ตอนนี้ยังเร็วกว่าจะถึงเวลากินข้าว ยังไม่ถือว่าเป็นช่วงที่ยุ่งที่สุด ในร้านอาหารไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว แม่ของเขากำลังนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ชำระเงิน กดเครื่องคิดเลขซ้ำแล้วซ้ำอีก เธอพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้าว่า
" หิวหรือยัง ถ้าหิวก็ให้พ่อของลูกทำอะไรให้กินรองท้องไปก่อน "
คนที่เปิดร้านอาหารมักจะได้กินข้าวเย็นเร็วตลอด เพราะว่าถ้ารอถึงเวลากินข้าวเย็นตามปกติ มักจะเป็นเวลาที่ยุ่งที่สุด
"รอน้องกลับมาค่อยกินพร้อมกันเถอะ ! " เฉินโจวอี้วางกระเป๋านักเรียนลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สดชื่น
" งั้นไม่ต้องมายืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้แล้ว กลับห้องไปทำการบ้านไป ! " แม่ของเขา เจียงเฟินเหลียวมองมาที่เขา พูดขึ้นด้วยสีหน้ารำคาญ
" วันนี้การบ้านไม่เยอะ ผมทำเสร็จไปนานแล้วครับ "
" งั้นไปช่วยพ่อของลูกฆ่าปลาสิ เห็นผลการเรียนของลูก แม่ก็ไม่หวังอะไรแล้ว "
เฉินโจวอี้เป็นคนที่ถูกเลี้ยงมาด้วยไม้แส้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยขัดขืน ได้ยินดังนั้นจึงไม่ตอบโต้อะไร รีบวิ่งไปห้องครัวอย่างว่าง่าย
เฉินต้าเหว่ยเตรียมวัตถุดิบทำอาหารไปด้วย พลางหัวเราะแล้วพูดขึ้นไปด้วย อย่าไปฟังแม่ของลูกเลย กลับไปตั้งใจอ่านหนังสือที่ห้องเถอะ เหลือเวลาเตรียมสอบเกาเข่าแค่หนึ่งปีเท่านั้น สองเล่มอาจจะมีหวังไม่มาก สามเล่มพ่อคิดว่าน่าจะสามารถสู้ได้อยู่นะ ! "
" ใครให้ลูกชายพ่อเกิดมาโง่ล่ะ ผมไม่ใช่ไม่ตั้งใจนะ แต่ผมสอบได้ไม่ดี แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ? " เฉินโจวอี้อดไม่ได้ที่จะบ่นเบาๆ ในปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ตลอดทั้งวันเขาไม่ได้หยุดพักเลย เขาตั้งใจเรียนเสริมมาก แต่ผลการเรียนของเขากลับเพิ่มสูงขึ้นไม่มาก
ตั้งแต่เด็กเขากลัวแม่ของเขามากที่สุด คำพูดนี้ทำได้แค่พูดกับพ่อของเขาเท่านั้น กับแม่เขาน่ะเหรอ นั่นเป็นอะไรที่ไม่กล้าอย่างแน่นอน
เขาพูดไปด้วยพลางจับปลาไปด้วย หลังจากทุบหัวปลาแล้วก็ขอดเกล็ดปลาอย่างชำนาญ
" นี่ต้องถามแม่ของลูกแล้ว ตอนที่ตั้งท้องอยู่ก็ไม่อดทนรอดีๆ จะออกไปวิ่งเล่นที่ทุ่งอย่างเดียวเลย ผลก็คือล้ม ทำให้ลูกคลอดก่อนกำหนด " เฉินต้าเหว่ยอารมณ์ดีมาก พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเทียบกับลูกคนที่สองที่ฉลาดแล้ว เขาค่อนข้างจะชอบลูกชายที่ดูโง่ๆ ลูกชายแบบเขาคนนี้
" นี่ยังจะโทษฉันอยู่อีกเหรอ ! " แม่ของเขาที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงของเฉินต้าเหว่ย ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นมาทันที "คุณคิดบ้างหรือเปล่า ตอนที่ฉันท้องกำลังเป็นช่วงที่ยุ่งกับการทำนากัน ฉันไม่ไปส่งน้ำให้พวกคุณ พวกคุณได้กระหายน้ำตายแน่ๆ "
" ใครโทษคุณหล่ะ! " เฉินต้าเหว่ยได้ยินดังนั้น มีดที่กำลังจะหั่นเนื้ออยู่ จู่ๆ ก็หยุดกึกในทันที เขารีบพูดขึ้น
เฉินโจวอี้บีบยิ้มมีความสุขบนความทุกข์ของพ่อเขา
ในบ้านที่หยินมากหยางพร่องหนักขนาดนี้ สถานะของแม่เขาสูงที่สุด คำพูดก็มีอิทธิพลมากที่สุด พ่อของเขาเป็นแค่อันดับที่สาม ข้างหน้ามีน้องสาวเขาอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดคือตัวเขาเอง
" ซี๊ด ! "
ดูเหมือนว่าจะรักสนุก ทุกข์ถนัด เฉินโจวอี้ไม่ระวังใช้แรงเยอะเกินไปในการใช้มีดขอดเกล็ดปลา ทันใดนั้นมีดก็บาดไปที่นิ้วของเขา ไม่นานเลือดของเขาก็ไหลออกมา
" บอกให้ลูกไม่ต้องทำตั้งนานแล้ว รีบไปล้างเร็ว พลาสเตอร์ปิดแผลอยู่ด้านล่างโต๊ะชาที่ห้องรับแขกชั้นบน " เฉินต้าเหว่ยเหลียวมองมาแล้วรีบพูดขึ้น
มือเจ็บ แน่นอนว่าเฉินโจวอี้ทำต่อไม่ได้แล้ว เขารีบล้างมือ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างช้าๆ
บ้านของเขาเป็นบ้านที่หันหน้าเข้าหาถนน ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ชั้นล่างทำเป็นร้านอาหาร ตอนที่พึ่งสร้างที่นี่ยังเป็นแค่หมู่บ้านชนบทเขตชานเมือง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยการขยายตัวของเมือง ทำให้บ้านหลังนี้มีมูลค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเดินมาถึงชั้นบน หาพลาสเตอร์ปิดแผลเจอ ขณะที่เพิ่งจะแปะแผลเสร็จ ก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของน้องสาวดังแว่วมา
ได้ยินแม่ปฏิบัติต่อน้องสาวและปฏิบัติต่อเขา มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉินโจวอี้แอบเบะปาก
คนชอบประจบสอพลอ!
อย่ามองที่ภายนอกว่าเขาดูแลน้องสาวดีขนาดนี้ ความจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องไม่ค่อยดีเท่าไร
ตั้งแต่เด็กชอบแย่งของเล่น แย่งขนม แย่งความรักกัน พอตอนโตก็มาเทียบผลการเรียน เทียบรางวัลกัน
การมีตัวตนของน้องสาวเขา มักจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีสักอย่าง ราวกับขยะที่เดินได้
สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุดก็คือเมื่อก่อนตอนที่เขาแย่งของมาไม่ได้ เขาก็ยังทำให้น้องสาวร้องไห้ได้ ตอนนี้แม้แต่สิ่งนี้ ก็ยังไม่มีแรงจะทำ
ตอนนี้เธอได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แม้ว่าจะใช้แค่มือเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้
" พี่ ได้ยินแม่พูดว่าพี่ฆ่าปลาแล้วโดนมีดบาดเหรอ ! " ไม่นาน น้องสาวของเขา เฉินซิงเย่วก็เดินขึ้นมาชั้นบน เธอหัวเราะพลางพูดขึ้น
เฉินซิงเยว่ถักเปียหางม้าทั้งหัว ผิวขาวเนียน ดูไปแล้วงดงามมีเสน่ห์ และดูทรงพลังมาก
แต่มีเพียงแค่เฉินโจวอี้เท่านั้นที่รู้ว่าน้องสาวของเขาเจ้าเล่ห์ขนาดไหน
" ไม่เป็นไรหรอก แค่บาดโดนผิวไปนิดหน่อยเท่านั้น ! " เฉินโจวอี้พยายามสวมบทบาทพี่ชาย เขาพูดเสียงเรียบ ดูจากสีหน้าของเธอ เขาเห็นได้ถึงความรู้สึกสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น
เฉินซิงเยว่ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เธอหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี
"..
อย่างที่ทุกคนรู้ โลกที่แตกต่างเป็นโลกที่ถูกปกครองโดยเหล่าเทพเจ้า รูปแบบของสังคมภายในยังอยู่ในช่วงเวลาที่ไร้อารยธรรม คล้ายกับระหว่างช่วงต้นยุคหินใหม่และยุคสำริด แต่ด้วยการสำรวจล่าสุดของผู้บุกเบิกในช่วงนี้ พบว่าโลกที่แตกต่างกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ตอนนี้ให้ศาสตราจารย์หลัว นักสังคมวิทยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาแสดงความคิดเห็นโดยละเอียดกันค่ะ
...."
รายการของโลกที่แตกต่าง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ให้ความสนใจมาโดยตลอด เฉินโจวอี้นั่งลงบนโซฟาดูอย่างเพลิดเพลิน ดูไปได้สักพัก เขาก็หันกลับมาแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า " วันนี้ ทำไมเธอไม่ทำการบ้านหล่ะ "
เฉินซิงเยว่เอาแต่จ้องไปที่หน้าจอตลอดเวลา เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า " ฉันถูกแนะนำให้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนชาวยุทธของเมืองหลวง "
" อะไรนะ ! " เฉินโจวอี้หันมาด้วยอาการช็อก ตอนที่พูดก็พูดด้วยน้ำเสียงติดอ่างว่า " ธะ เธอผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดแล้วหรอ "
" ยังหรอก แต่ไม่นานก็ผ่านแล้ว คุณครูของฉันคาดคะเนไว้ว่า ฝึกอีกสักหนึ่งเดือน ฉันก็สามารถผ่านการทดสอบแล้ว "
" แต่ว่า...."
" ปีนี้โรงเรียนมีนักเรียนสามสิบคนถูกเสนอชื่อไป แบ่งเป็น ม.4 จำนวน 3 คน ฉันคือหนึ่งในนั้น " เฉินซิงเยว่ไม่รอให้เฉินโจวอี้ถาม เธอรีบพูดตัดบททันที
น้ำเสียงที่ราบเรียบและเป็นไปตามธรรมชาตินี้ เกือบทำให้เฉินโจวอี้โกรธ
วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้และเกาเข่าซวนเซไปหมด เริ่มลงทะเบียนนักเรียนใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ หมายความว่าน้องสาวที่อ่อนกว่าเขาสองปีจะเรียนจบมัธยมปลายก่อนเขาไปครึ่งปี
" เธอยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่หรอ ? "
" เรื่องสำคัญแบบนี้แน่นอนว่าต้องเอาไว้บอกตอนกลางคืน เฉินซิงเยว่พูดขึ้น
เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า งั้นทำไมเธอถึงมาบอกฉันก่อนล่ะ ? "
" ใครใช้ให้พี่เป็นพี่ชายคนสนิทฉันล่ะ ถ้าเป็นข่าวดีแน่นอนว่าต้องบอกพี่ก่อนสิ ! "
ช่างเป็นน้องสาวที่น่ารังเกียจเสียจริง ในใจของเธอคงเต็มไปด้วยความดำมืดสินะ
เขาจ้องไปที่โทรทัศน์ แต่ว่ารายการที่ดูอย่างเพลิดเพลินเมื่อกี้ ในเวลานี้กลับดูไม่น่าสนใจเสียแล้ว คิดถึงอนาคตอันมืดมนของตัวเอง เขานั่งไม่ติดที่แล้ว ดังนั้นจึงแบกกระเป๋านักเรียนขึ้นมา
" ฉันไปอ่านหนังสือแล้วนะ "
" อีกแปปก็กินข้าวแล้วนะ ! "
"ไม่กิน.....เอ่อ อีกพักหนึ่งช่วยเอาขึ้นไปส่งที่ห้องนอนฉันที "
เดินมาถึงห้องนอนของตัวเอง ปิดประตู เฉินโจวอี้แสดงสีหน้าหงุดหงิดของตัวเองออกมาในทันที ทำไมพวกผู้หญิงในห้องต่างก็น่ารักมาก แต่น้องสาวของตัวเองกลับน่ารังเกียจได้ถึงเพียงนี้กันนะ
นี่คือการแสดงแบบออกนอกหน้า เหมือนเป็นการเทเกลือเพิ่มลงไปที่บาดแผลของเขา
เขาหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ออกมาจากกระเป๋านักเรียน อย่างไรก็ตามภายใต้อารมณ์หงุดหงิดนี้ กลับอ่านยังไงก็อ่านไม่เข้าใจ
เขาปิดหนังสือคณิตศาสตร์ เดินไปที่ด้านหน้าของตู้กระจกในห้องนอน เตรียมสงบสติอารมณ์
ตู้กระจกคือชั้นหนังสือของเขา และยังเป็นที่เก็บของสะสมของเขาอีกด้วย ด้านในนอกจากจะมีตำราที่ใช้อ้างอิงมากมายหลายประเภทและหนังสือรวบรวมผลงานแล้ว ยังเก็บรวบรวมสิ่งของจำนวนไม่น้อยที่มาจากสไตล์ของโลกที่แตกต่าง ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เขาโปรดปรานมาก
มีทั้งขวานสำริด โล่หนัง หินแกะสลักรูปภาพลึกลับไม่กี่ก้อน ป้ายไม้รูปทรงประหลาดอีกไม่กี่แผ่น ทำให้คนรู้สึกถึงความไร้อารยธรรม
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นของเลียนแบบที่ซื้อมาจากร้านขายงานฝีมือ แม้แต่คนธรรมดาอย่างเฉินโจวอี้ก็สามารถแยกแยะได้อย่างรวดเร็ว
วัสดุของขวานสำริดคือสะเก็ดเงินเก่า หนังของโล่ก็ทำมาจากหนังวัวเก่าฟอกสี สำหรับรูปภาพบนแผ่นหินพวกนั้น เดิมทีไม่ปรากฏร่องรอยอายุของหิน ขนาดตัวหินยังเป็นหินแกรนิตทั่วไปที่สามารถพบได้ทุกที่บนโลกใบนี้
แต่ก็ไม่ใช่ทุกชิ้นที่เป็นของเลียบแบบ หนึ่งในนั้นมีอยู่ชิ้นหนึ่ง เฉินโจวอี้สงสัยว่าน่าจะของแท้ที่มาจากโลกที่แตกต่าง
นี่คือแผ่นไม้ผุพังแผ่นหนึ่ง
สีของมันดำมืด คุณภาพแย่มาก จนเกือบจะผุพังหมดแล้ว ด้านบนมีรูเต็มไปหมด ราวกับว่ามันถูกกัดเซาะด้วยปลวก ปรากฏการณ์แบบนี้อธิบายได้ว่าอันเดิมของมันน่าจะเป็นวัตถุเหนือธรรมชาติ ที่มาที่ไปดูไม่ธรรมดา ดูล้ำค่าประเมินราคาไม่ได้
จนกระทั่งมาถึงโลกมนุษย์ พลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้พังทลาย วัสดุสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว
มันกลายเป็นแผ่นไม้ผุพังของจริง ถ้าโยนลงไปบนพื้น พบเข้ากับคนที่ไม่รู้เรื่องสินค้า ก็คงไม่มีใครเก็บขึ้นมา
ที่จริงแล้ว เรื่องจริงก็เป็นแบบนั้น แผ่นไม้ผุพังแผ่นนี้ เฉินโจวอี้เก็บได้บนพื้นตอนที่เดินผ่านไซต์งานก่อสร้างที่ถูกรื้อถอน เขาจึงได้สมบัติชิ้นนี้มาในทันที
เขาเปิดตู้กระจก หยิบแผ่นไม้ผลุพังแผ่นนี้ออกมา
ภายใต้กฎของการกัดเซาะในจักรวาลนี้ ด้านในของแผ่นไม้เต็มไปด้วยรู แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าวัสดุของมันยังคงแข็งแกร่งมาก มันยังคงแสดงถึงที่มาที่ไม่ธรรมดาของตัวมันเบาๆ
บนพื้นผิวที่ขรุขระของมันสามารถมองเห็นรูปภาพลึกลับไม่กี่ภาพได้รางๆ
เขาเคยศึกษามันมาก่อน นี่คือรูปอธิบายเรื่องราว จิตรกรรมฝาผนังโบราณจำนวนมากของโลกมนุษย์ต่างก็เป็นรูปแบบนี้ สิ่งที่มันอธิบายดูเหมือนว่าจะเป็นกระบวนการพัฒนาที่สำคัญของอารยธรรมโลกที่แตกต่าง
การที่มนุษย์ในโลกใบนั้นใช้เปลวไฟเป็นครั้งแรก
การใช้ตัวหนังสือเป็นครั้งแรก
....
ที่มุมบนฝั่งซ้ายของภาพวาดแต่ละภาพมีสัญลักษณ์ลึกลับและซับซ้อน ซึ่งแตกต่างกันออกไป ในฐานะผู้ที่เคยดูรายการอธิบายโลกที่แตกต่างอย่างเฉินโจวอี้ ดูก็รู้แล้วว่า นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าในโลกอีกใบ อีกอย่างมันมีมากกว่าหนึ่งอัน
น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์อะไร ต่อให้เป็นสิ่งของลึกลับ ถ้าตกลงสู่โลกมนุษย์แล้ว มันจะกลายเป็นสิ่งของธรรมดา
เขาลูบกระดานไม้อย่างแผ่วเบา และถอนหายใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ถ้าของสิ่งนี้มีพลังเหนือธรรมชาติจริงๆ ก็คงจะดี
นึกถึงตอนที่ในมือตัวเองถือแผ่นไม้ มีลำแสงพุ่งออกมานับไม่ถ้วน สะเทือนไปทั้งแผ่นดิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแหยๆ ออกมา