ตอนที่ 12 - การเติบโตอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 12 การเติบโตอย่างรวดเร็ว
-------------------------
ตอนที่ 12 การเติบโตอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็ค้นพบว่าความแข็งแรงของร่างกายและพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นมา 0.1 จุด พละกำลังเพิ่มมาถึง 10.6 จุด ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มมาถึง 10.5 จุด มองดูความเร็วในการเพิ่มขึ้นอันน่าแปลกใจนี้ ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น
บางที ใช้เวลาไม่นาน ตัวเขาเองน่าจะสามารถสอบผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดได้
ตอนสาย เขาฝึกวิชาดาบอีกสักพัก
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว รอให้เวลาผ่านช่วงเที่ยงวันไป เขารีบปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยังศูนย์ฝึกอบรมศิลปะการต่อสู้สำหรับเด็กและเยาวชน
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองจะมาถึงเป็นคนแรก แต่คิดไม่ถึงว่าเก้าอี้พักผ่อนที่อยู่ด้านนอกจะมีนักเรียนนั่งรออยู่เต็มไปหมด
" เฉินโจวอี้ นายเองก็ลงเรียนคอร์สนี้ไว้เหรอ ? " ยังไม่ทันเดินเข้าไป กัวเชี่ยนเชี่ยนที่พึ่งพบกันเมื่อวานก็ลุกขึ้นมาทักทาย ด้านข้างมีหลินเฟิงแฟนหนุ่มของเธอนั่งอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอมาเป็นเพื่อนเขา
" บังเอิญจังเลยนะ ฉันดูข้อมูลมาจากในอินเทอร์เน็ต ได้ยินมาว่าคุณครูสอนเสริมคนนี้เก่งมาก ฉันเลยมาตามคำโฆษณา " ในเวลานี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกัวเชี่ยนเชี่ยน เฉินโจวอี้สามารถปฏิบัติตัวต่อเธอได้ตามปกติแล้ว เขายิ้มแล้วพูดขึ้น
หลินเฟิงเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ นี่มันชั้นเรียนเสริมระดับสูงนะ ค่าเรียนไม่ใช่ถูกๆ คนที่ลงสมัครเรียนส่วนใหญ่ต่างก็มีความหวังว่าจะผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดกันทั้งนั้น เขารู้สึกว่าตัวเขาเองมองผิดไป แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะสุดท้ายแล้วรูปร่างของเฉินโจวอี้ยังดูมีแรงน้อยกว่าเขาเสียอีก
ไปพร้อมๆ กับเวลาที่ดำเนินมาถึงบ่ายโมงตรง พวกนักเรียนค่อยๆ ทยอยมาถึง
บวกเฉินโจวอี้ไปอีกคน ทำให้มีนักเรียนทั้งหมด 11 คนพอดี มีผู้หญิงสี่คน ผู้ชายเจ็ดคน ดูแล้วเกือบทุกคนจะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย
....
ครูสอนเสริมเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เธอปรบมือขึ้น
ต่อไปนี้นอกจากมีประกาศอะไรแล้ว ให้เริ่มเรียนทุกวันอาทิตย์เวลาบ่ายโมงตรง ทุกคนอย่ามาสายกันนะ คนที่มาเรียนเสริมที่นี่ ครูคิดว่าน่าจะเป็นพวกที่เตรียมผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดทั้งหมด
วิชาดาบจะสอบผ่านได้ง่ายหรือไม่นั้น สามารถเอาชนะหุ่นยนต์ทดสอบในการต่อสู้ได้หรือไม่นั้น จะพูดว่าง่ายมันก็ง่าย จะพูดว่ายากมันก็ยาก ต้องดูที่ว่าวิชาดาบของพวกเธอสามารถรับส่งได้ตามใจคิดหรือเปล่า ก้าวพื้นฐานชำนาญหรือไม่
หลายคนเข้าใจผิด นึกว่ายิ่งได้ท่าพื้นฐานของวิชาดาบมากเท่าไหร่จะยิ่งดี ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ในการต่อสู้ที่แท้จริง มักจะเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่าไม่กี่ท่า เว้นแต่ว่าเธอจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์จนมุมมากมายขนาดนี้ เข้าใจทุกอย่างอย่างละนิดละหน่อย ก็ไม่สู้เชี่ยวชาญให้ได้สักหนึ่งอย่าง
"ต่อให้เธอจะเชี่ยวชาญเฉพาะกระบวนท่าพุ่งแทงดาบซึ่งเป็นท่าที่ง่ายที่สุด แต่ถ้าฝึกฝนจนใช้ท่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเธอก็จะสามารถสอบผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย โดยทั่วไปแล้ว อย่างพวกชาวยุทธฝึกหัด หากยังไม่สามารถฝึกจนถึงจุดที่สามารถรับส่งกระบวนท่าตามสัญชาตญาณได้ เป็นการดีที่สุดไม่ควรเกินสามกระบวนท่า ไม่อย่างนั้นลมปราณจะแตก และในที่สุดมันจะไม่ทำงาน "
เฉินโจวอี้ที่ฟังอยู่ราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน ตื่นจากความปิติยินดีที่ได้เรียนรู้วิชาดาบกระบวนท่าใหม่ในทันที ในทำนองเดียวกัน ครูสอนวิชาศิลปะการต่อสู้ในโรงเรียนของเขาก็เคยพูดไว้เหมือนกัน แต่ไม่ได้เหมือนคำพูดที่บาดคมทะลุเข้าไปในใจได้เหมือนวันนี้
" รูปแบบดาบที่ได้มาตรฐานใดๆ ก็ตาม แค่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็สามารถกลายเป็นชุดดาบที่น่ากลัวได้ ในคาบเรียนแรกนี้ ครูจะยังสอนแทงดาบอยู่ พวกเธอเรียนรู้ท่าพุ่งแทงดาบได้กันหมดแล้ว ที่ครูจะสอนวันนี้คือท่าแทงดาบบนและท่าแทงดาบล่าง รวมถึงการใช้ก้าวพื้นฐานในการต่อสู้ "
....
เวลาเปิดเทอมดำเนินมาได้เกือบจะหนึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว การสอบรายเดือนหลังจากเข้าเรียนชั้น ม.6 กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้
ได้ยินมาว่าสอบครั้งนี้เสร็จ ยังจะมีการจัดการประชุมผู้ปกครองด้วย ในที่สุดซุนซินก็รู้สึกถึงความกังวลที่ไม่รู้ว่าแพร่มาจากไหน เขาคาดการณ์ถึงจุดสิ้นสุดของตัวเขาเองอย่างน่าเวทนา
" นายเตรียมตัวถึงไหนแล้ว ? "
" อะไรที่เตรียมถึงไหนแล้วน่ะ ? " เฉินโจวอี้ดึงสติกลับมาจากแบบฝึกหัด เขาหันมาถามด้วยความสงสัย
" ก็สอบของวันจันทร์หน้าไง ' ซุนซินที่ถูกเฉินโจวอี้มองมาด้วยสายตาเงียบสงบ เริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา
" อะไรที่ควรเต็มตัวก็เตรียมตัวไปตั้งนานแล้ว ต้องดูที่ข้อสอบแล้วล่ะว่ายากหรือเปล่า " เฉินโจวอี้พูดขึ้น
ในช่วงหนึ่งเดือนนี้เขาไม่เคยปล่อยปะละเลยเรื่องเรียน คะแนนในครั้งนี้จะเพิ่มสูงหรือไม่ เขาเองก็ไม่รู้ แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับแถวความรู้บนคุณลักษณะนั้นกลับเพิ่มขึ้นมาจุดเดียว บางส่วนที่เน้นเพิ่มมาแค่ 2 จุด
" เฮ้ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ฉันก็ตั้งใจเรียนเหมือนกันแหละ " ซุนซินถอนหายใจและพูดขึ้นด้วยความโกรธ เดือนนี้เขาเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเท่าไร
" นายขี้เกียจตัวเป็นขนขนาดนี้ ยังจะรักษาหายอีกเหรอ ? " หวางต้าที่อยู่ด้านหลังรู้สึกสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น เขายื่นหน้ามาพูด " สู้จ่ายเงินสักนิดสักหน่อยจ้าง 'ผู้ปกครอง' สักคนดีกว่า "
ซุนซินตาเป็นประกาย แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าสร้อยพลางพูดขึ้น " ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ได้ ครูประจำชั้นเคยไปเยี่ยมบ้านฉันแล้ว พอถึงเวลานั้นถ้าถูกจับได้ เกรงว่าชีวิตฉันคงจบเห่แน่ "
พ่อของเขาเป็นทหาร ถ้าตีเขาขึ้นมา เขาอาจจะตายจริงๆ ก็ได้
"งั้นก็ไม่มีวิธีแล้ว พี่อี้ของเรานี่มีความตั้งใจดีนะ ถ้าให้ฉันพูด นายยังจะตั้งใจเรียนขนาดนี้ไปทำไม นายน่าจะสอบผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดนะเนี่ย " หวางต้านี่สมชื่อของเขาเลย รูปร่างสูงใหญ่ เกิดมาก็หลอดลมใหญ่เสียงดัง นักเรียนหลายคนทันใดนั้นก็ค่อยๆ หันมองมาที่เขา ดูเหมือนจะสนใจว่าเฉินโจวอี้สามารถผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดหรือไม่
เฉินโจวอี้เงยหน้าขึ้นมา ปัจจุบันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ตอนนี้เขาไม่แยแสมันแล้ว เขาคิดพลางพูดขึ้น " ยังแย่อยู่ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องสมรรถภาพทางกายยังไม่ดีพอ การลงทะเบียนสมัครเรียนในฤดูใบไม้ผลิของวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในวันนั้น จะผ่านหรือไม่ผ่านก็คงต้องดูที่โชคแล้วล่ะ "
ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ หลังจากที่เขาเพียรพยายามฝึกฝนในการเพิ่มประสิทธิภาพสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกาย ปัจจุบันคุณลักษณะหลักของร่างกายเขานอกจากความว่องไวแล้ว ทุกคุณลักษณะต่างก็เพิ่มเป็น 11 จุดหมดแล้ว ส่วนความว่องไวนั้นเพิ่มมาถึง 10.9 จุดแล้วเหมือนกัน
ถ้าแปลเป็นตัวเลขที่เข้าใจง่าย ตอนนี้เขาสามารถยกดัมเบลล์ที่มีน้ำหนัก 150 กิโลกรัมได้แล้ว ห่างจากมาตรฐานการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดเพศชายที่ต้องยกดัมเบลล์ให้ได้ถึง 200 กิโลกรัมแค่ไม่เท่าไร
แน่นอนว่าถ้าหากคำนวณความเร็วการฝึกอันน่าตกใจของเดือนก่อน อย่างมาเลยก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าไม่ถึงสองเดือนก็สามารถไปถึงระดับมาตรฐานแล้ว
แต่ยิ่งร่างกายของเขาใกล้ถึงขีดจำกัดเมื่อไร ความเร็วในการฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายของเขายิ่งลดลง เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าพักนี้ความก้าวหน้าของเขาค่อยๆ ช้าลง
" นั่นมันก็เก่งมากแล้ว นายสอบใหม่อีกครั้งตอนปีหน้าก็ได้ ถ้าฉันเป็นนายนะ ลาออกไปนานแล้ว " หวางต้าพูดขึ้นด้วยความอิจฉา สมรรถภาพทางกายของเขาถือว่าไม่เลว แต่วิชาดาบกลับไม่มีทางเข้าสู่ขั้นเริ่มต้นได้ กล้ามเนื้อเขาแข็งเกินไป ฝึกอย่างไรก็ฝึกไม่ได้เรื่อง
การรับสมัครนักเรียนของวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักเรียนที่จบมัธยมปลาย ถ้าอายุต่ำกว่า 24 ปี ขอแค่ผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด ก็สามารถเข้าเรียนที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้เหมือนกัน
" ฉ่าวต้าเหว่ยที่อยู่ห้องถัดไปจากพวกเรา ตอนเปิดเทอมมาเรียนอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็พักการเรียนไปหนึ่งปี ตั้งใจเตรียมตัวในการทดสอบชาวยุทธ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขา ฉันจำได้ว่าประมาณ 160 กิโลกรัม วิชาดาบยังสู้นายไม่ได้เลย " ชายผิวเข้มที่อยู่แถวหน้าหันหลังมาคุย
ในความเป็นจริงเฉินโจวอี้เองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าความก้าวหน้าของตัวเองจะทำให้คนแปลกใจได้ขนาดนี้ แค่เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เห็นถึงความหวังในการเป็นชาวยุทธฝึกหัด
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับพ่อแม่ยังไงดี ให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเขาเองที่เป็นลูกชายคนโตที่ไม่มีอะไรโดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก ในความเป็นจริงก็เป็นคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้เหมือนกับน้องสาว ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็จะสามารถผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดได้เหมือนกัน
ปัจจุบันถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเข้าเรียนทุกวัน ตั้งใจเรียนแต่มันก็แค่นิสัยเคยชินของเขา เวลาพักผ่อนเขาก็พักผ่อน
....
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เฉินโจวอี้หยิบกระเป๋านักเรียนจากใต้โต๊ะแล้วเดินออกไปข้างนอก
" พักนี้รายการ 'สงครามเหล่าเทพ' นั่นน่ะ นายได้ดูบ้างไหม ? "
" ไม่ได้ดู ! " หลายวันมานี้เฉินโจวอี้ยุ่งมาก จะเอาเวลาไหนไปดูทีวี
" ได้ยินมาว่ารายการนี้ดัดแปลงมาจากประวัติศาสตร์การพัฒนาของเหล่าเทพในโลกที่แตกต่างของจริง น่าดูมาก " ซุนซินพูดแนะนำ เห็นเฉินโจวอี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงเบ้ปากอย่างเบื่อหน่ายทันที
ตั้งแต่หลังจากที่ขึ้น ม.6 เฉินโจวอี้ก็ยิ่งทำตัวออกห่างจากเพื่อนฝูงมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อก่อนกลุ่มเขามีสามคน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกลุ่มสองคนแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้จ้าวอี้เฟิงไม่มาคลุกคลีกับพวกเขาแล้ว ยิ่งเข้าหาก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาตั้งใจไปหาจ้าวอี้เฟิงโดยเฉพาะ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเขา เดินหนีออกไปคนเดียว
บางทีเฉินโจวอี้อาจจะพอเข้าใจจิตใจของจ้าวอี้เฟิงอยู่บ้าง เพราะว่าเมื่อก่อนพวกเขาเป็นประเภทเดียวกัน ทั้งต่ำต้อยและอ่อนแอเหมือนกัน เป็นเหมือนพวกหอยทากเหมือนกัน อยู่ในโลกอันชื้นแฉะและมืดมิดอย่างระมัดระวัง พวกเขากลัวจะได้รับบาดเจ็บ กลัวสายตาที่มองว่าพวกเขาแตกต่าง มีแค่พวกเดียวกันเท่านั้น ที่จะสื่อสารอย่างเข้าใจกันและกันได้
แต่ในตอนนี้ เฉินโจวอี้กระโดดออกมาจากบ่อแล้ว สำหรับจ้าวอี้เฟิง เขาไม่ได้เป็นพวกเดียวกันอีกต่อไป
ในเวลานี้ เครื่องบินรบลำหนึ่งบินผ่านที่ความสูงระดับต่ำด้วยความเร็ว พริบตาเดียวก็บินห่างออกไปไกลแล้ว
เฉินโจวอี้เงยหน้ามองไปยังเครื่องบินรบ เขาคิดในใจ คิดว่าน่าจะมีที่ไหนสักแห่งเกิดเรื่องขึ้น ข่าวเดือนนี้ประกาศเรื่องที่สิ่งมีชีวิตจากโลกที่แตกต่างเข้ามาบุกรุกเกินหกข่าวแล้ว
ครั้งที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือครั้งที่คนเถื่อนห้าคนแอบเข้ามาฆ่าล้างหมู่บ้านสองสามแห่งที่อยู่บนเขาในพื้นที่ห่างไกล ชาวบ้านมากกว่าพันคนไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาว คนแก่ ลูกเด็กเล็กแดงต่างก็ถูกฆ่าตัดหัวทั้งหมด ศพถูกวางพาดกันกลายเป็นแท่นบูชา ดูเหมือนการบูชาเลือด
ภาพที่ให้ความรู้สึกเหมือนพิธีกรรมทางศาสนาอันนองเลือดและวิปริต จากในข่าวนั้น ถึงแม้ว่าจะถูกเบลอไว้แล้ว แต่เขาที่ดูข่าวอยู่ยังรู้สึกขนหัวลุกเลย