ตอนที่9 ยูท่าห์แร็พเตอร์เพลิงอเวจี และ แล้วสิท้ายชื่อตอนที่หายไป(ถุยยย)
ตอนที่9 ยูท่าห์แร็พเตอร์เพลิงอเวจี และ แล้วสิท้ายชื่อตอนที่หายไป(ถุยยย)
ชื่อตอนจริงๆ ยูท่าห์แร็พเตอร์เพลิงอเวจีฟักจะแล้วสิ
เบลซโบกแท็กซี่ไปมหาลัย ระหว่างที่อยู่ในรถก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกลุ่มแช็ท
~หน้าจอ~
เบลซ “มีใครอยู่บ้าง”
เรย์ลิน “อยู่ๆ แต่นายมาทักอะไรแต่เช้าเนี่ย”
ชิน “ออกกำลังกายอยู่ที่สวนหนะ”
จางมู่ “อยู่ๆ”
เบลซ “พวกนายคือว่าพรุ่งนี้ฉันว่าจะจัดงานเลี้ยงที่หอหนะช่วยมากันด้วยละกัน เน้นว่าสำคัญมากต้องมาให้ได้นะ! เย็นนี้เจอกันที่ห้อง”
เรย์ลิน “ว้าว ปกตินายไม่เคยจัดเลยหนิกินยาผิดหรือไง
จางมู่ “เดี๋ยวไปละกัน”
ชิน “เย็นนี้เจอกันแต่นายต้องเลี้ยงนะ
เบลซ “ตามนั้น แล้วก็จำไว้ว่าให้ล็อคห้องไว้อย่าออกจากห้องเด็ดขาด!
~ออกจากหน้าจอ~
“เราก็คงทำได้แค่นี้นะ” เบลซคิดรู้ตัวอีกทีรถก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว เบลซจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วก็เดินเข้ามหาลัย
ถึงแม้ว่าเบลซจะจบปริญญาเอกแล้วแต่ว่าแล็ปหลักของเขาก็คือที่มหาลัยนี้แหละแล้วก็ยังเรียนศิลปะการต่อสู้ที่นี่ด้วย หลักๆที่มาก็เพราะว่าจะมาเอาง้าวกรีดนภาของจริง
เบลซเดินเข้าไปในโรงฝึกแล้วก็เก็บง้าวกรีดนภาเข้าไปในช่องเก็บของ
หลังจากที่เก็บง้าวกรีดนภาเสร็จ ประตูโรงฝึกก็เปิดออก
ผู้หญิงผมสีดำนัยน์ตาสีฟ้าหน้าตาสวยประณีตแบบคนเอเชีย ผิวเรียบเนียน ทรวดทรงองค์เอวที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งประณีตบรรจง มองแล้วเผ็ดร้อนอย่างยิ่ง เอวบางเล็กกำลังดี สะโพกเด้งงอนได้สัดส่วน ร่างของนางแผ่กลิ่นอายของความมีเสน่ห์ตลอดเวลาแต่ก็ดูเรียบร้อยจากกิริยาและการแต่งกาย และด้วยความที่หน้าเหมือนคนเอเชียเลยมีความอ่อนหวานและร่าเริงปนอยู่หน่อยๆด้วย
“เออ คือว่าเอลลี่” เบลซมองหญิงสาวแล้วยิ้มแหยะๆ
“ทำไมวันนี้อยู่ดีๆนายมาเช้าหา? แปลกจริงๆ” เธอถามด้วยเสียงอันมีเสน่ห์
เธอคือเอลลี่ ชาล็อตเต้ เพื่อนในรุ่นเดียวกันกับเบลซได้รับการยอมรับว่าเป็นสาวที่สวยที่สุดในมหาลัยวิทยาลัยแล้วเธอก็เป็นนักดาบที่เก่งที่สุดในโรงเรียนด้วยในรอบปีที่ผ่านมาในงานเลี้ยงปีใหม่ เธอ แสดงโชว์ฟ้อนรําดาบที่มหาวิทยาลัย ผู้คนส่วน ใหญ่ตะลึงกันทั้งหมดเพราะเธอทั้งสวยงามและ มีความสามารถ นอกจากนี้เธอยังกลายเป็น นางในฝันของเด็กผู้ชายในมหาวิทยาลัยหลายคนจนเรียกว่าคลั่งไคล้เลยก็ว่าได้
ระหว่างที่ผมเรียนศิลปะการต่อสู้ตอนฝึกดาบก็ได้เธอเนี่ยแหละเป็นคนช่วยสอนแลกกับการที่ให้ผมช่วยติววิชาเรียนให้แน่นอนว่าเลยทำให้ช่วงนั้นมีสายตาอาฆาตจ้องมาที่ผมจำนวนมาก จะเรียกได้ว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีก็ได้
“หรือว่าอย่างมาเจอฉันใช่ไหมหละ! ได้อยู่กับฉันสองต่อสองเชียวนะ”
“ทำหยังกับตอนติวหนังสือไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองงั้นแหละ”
“ไอบ้า พูดเรื่องอะไรเนี่ย!” เอลลี่หน้าแดงแปร๊ด พลันหลบสายตา
“จะว่าไปบ้านเธอมีสัตว์เลี้ยงที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กหรือเชื่องกับเธอมากๆรึปล่าว”
“ไม่มีหรอก”
“อืมงั้นไม่เป็นไรจะว่าไปพรุ่งนี้เธอพักอยู่หอใช่ไหม?”
“ชะ ใช่ ว่าแต่นายถามละลาบละล้วงมากไปแล้วนะ” เอลลี่ตอบกลับตะกุกตะกักมาด้วยหน้าแดงๆ
ในที่สุดเบลซก็รู้ตัวว่าเขาถามจนทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วจึงตอบไปแบบอ้ำๆอึ้งๆ
“อะ เออ คือแค่จะบอกว่าพรุ่งนี้พยายามอยู่แต่ในห้องล็อคประตูให้ดี”
“อันนั้นใครเขาก็ล็อคกันอยู่แล้ว”
“งั้นฉันไปก่อนนะจำไว้ด้วยหละว่าอย่าออกไปข้างนอกห้องเด็ดขาด! แล้วทางที่ดีก็อย่าเปิดประตูด้วยไม่ว่าจะเสียงอะไรก็ตาม” จากนั้นผมก็เอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารอบแห้งฯลฯ อย่างละสิบออกมาจากช่องเก็บของ “เอากลับไปไว้ที่ห้องด้วยหละจำไว้ว่าทางที่ดีนอกจากฉันอย่าเปิดประตูให้ใครเด็ดขาด แล้วก็อย่าลืมพกดาบจริงติดตัวด้วย”
“นะ- นี้นายทำได้ยังไง” เอลลี่กำลังตะลึงกับของที่อยู่ดีๆก็โผล่มาจากอากาศมาก
“นี่คือเรื่องจริงจังนะสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดมากทำตามที่บอกละกันเมื่อถึงเวลาแล้วจะเล่าให้ฟัง” เบลซพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางจ้องหน้าเอลลี่แล้วก็จากไป
“อะไรของเขาเนี่ย! เป็นบ้าไปแล้วหรอ!” ถึงเอลลี่จะพูดอย่างนั้นแต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงเอาเสบียงกลับไปที่ห้อง เตรียมการเพิ่มเติมอีก
หลังจากออกจากมหาวิทยาลัย เบลซก็ตระเวนเหมาซื้อยารักษาแผลและเครื่องปฐมพยาบาลมา
จากข้อมูลที่ได้หลังจากหายนะมาเยือนถึงการป่วยจะไม่มีคนป่วยเป็นโรคแต่ว่าส่วนใหญ่จากเป็นแผลติดเชื้อมากกว่า แล้วก็แผลเน่า ส่วนเชื้อโรคไข้หวัดจะหมดไปเพราะฉะนั้นยารักษาโรคแทบทั้งหมดจะไม่มีค่าที่ต้องการจริงๆคือกล่องปฐมพยาบาลเท่านั้น
หลังจากเหมาเสร็จผมรู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจ ทันทีที่สายสัมพันธ์เกิดขึ้นผมก็สามารถรู้ถึงสถานการณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันที
เป็นยูท่าห์แร็พเตอร์และมันกำลังฟักแล้วด้วย! แต่เหมือนจะมีปัญหานึดหน่อย แต่จริงๆเลยเราไม่น่าลืมเลย แล้วเบลซก็รีบตรงดิ่งกลับบ้าน