เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0035
ตอนที่ 35 : บททดสอบเด็กใหม่
สองวันผ่านพ้น หยางฉีเย่ว์ยังอยู่ที่โถงหลักของบ้านพัก นางได้เห็นฉินหยุนออกจากห้องพร้อมอารมณ์สุขสันต์ นางยิ้มให้เล็กน้อยขณะส่งถ้วยชาให้
“ขอข้าดูหน่อย” หยางฉีเย่ว์รับกระบี่ไปและกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่น้อย “นี่ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ผังรวบรวมพลังนี้ค่อนข้างดีเอาเรื่อง มันสามารถดูดซับพลังภายในได้อย่างเต็มที่!”
นางปล่อยพลังภายในเข้าสู่กระบี่พร้อมระเบิดพลังอันคมกล้าออกมาจากตัวกระบี่ จากนั้นจึงกวัดแกว่งเป็นการทดลองด้วยการฟันเข้าใส่กระบี่เล่มก่อนหน้าที่ล้มเหลว เพียงการกวัดแกว่งเล็กน้อย คมดาบสามารถตัดเอาใบดาบของกระบี่เล่มที่ล้มเหลวเสมือนตัดผ่านเต้าหู้!
แน่นอนว่าที่ทำได้อย่างนี้ ก็เพราะพลังปราณของนางแข็งแกร่งมากพอ
ฉินหยุนลอบอิจฉาต่อพลังขนาดนี้ ยามเมื่อเขาแกะสลักกระบี่ เขาทราบดีว่าการจะทำแบบนี้ได้นั้นยากเพียงใด
“มันปล่อยพลังปราณได้ลื่นไหลมาก!” หยางฉีเย่ว์กล่าวชม “นี่ดีกว่าอาวุธวิญญาณครึ่งขั้นที่ข้าเคยเห็นก่อนหน้านี้พอสมควร! เจ้าเก็บกระบี่นี้ไว้ใช้เองได้! มาเถอะ เดี๋ยวข้าอธิบายวิชาวายุสังหารให้ นั่งลงและฟังให้ดี”
ฉินหยุนนั่งลงขณะตั้งสมาธิเพื่อรับฟังการบรรยายจากอาจารย์สาวงาม
วิชาวายุสังหารมีทั้งสิ้นหกกระบวนท่า นั่นก็คือหมัดวายุสังหาร หมัดคลื่นทลาย หมัดแยกภูผา หมัดแยกพสุธา หมัดแยกนที และหมัดอสนี
ตราบเท่าที่เขาทราบวิธีใช้พลังปราณ หกรูปแบบนั้นและสามารถใช้ได้อย่างลื่นไหล เขาสามารถเข้าถึงขั้นต้นของวิชาได้ไม่ยาก
หากใช้พลังภายใน เขาจะสามารถสำเร็จขั้นกลางของวิชาได้
สำหรับขั้นสูง มันจำเป็นต้องใช้กำลังภายใน
*ผู้แปล : ถึงตรงนี้ ทางผู้แต่งมีการแยกใช้ พลังภายใน และ กำลังภายใน ถือเป็นคนละประเภทกัน*
“เมื่อเจ้าสามารถเข้าถึงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก จะสามารถกลั่นพลังขึ้นเป็นกำลังภายในได้ ดังนั้นแล้วการเรียนรู้มันถึงขั้นสูง อย่างน้อยก็ต้องอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก”
ช่วงไม่กี่วันถัดจากนั้น นางได้ชี้แนะฉินหยุนให้ฝึกฝนวิชาวายุสังหาร
นางมีฉินหยุนเป็นนักเรียนเพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงสามารถตั้งใจสอนเขาอย่างเต็มที่ได้
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉินหยุนมีพัฒนาการที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ฉินหยุนสามารถใช้รูปแบบทั้งหกของวิชาวายุสังหารได้แล้ว
หยางฉีเย่ว์วันนี้สวมใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองทองและสีขาว สีหน้าของนางวันนี้จริงจัง ใบหน้ายังคงเย็นชาและเปี่ยมด้วยเสน่ห์ขณะถือดาบไม้ในมือ ด้วยท่วงท่ายืนจับดาบของนางเป็นผลให้ดูกล้าแกร่งไม่ใช่น้อย
ตอนนี้นางกำลังประมือจริงจังกับฉินหยุน ขณะนางสะบัดดาบไม้ คลื่นอากาศก็จะพัดวูบ เป็นผลให้ใบไผ่ภายนอกลานปลิวไปทั่ว
ฉินหยุนตอนนี้สวมใส่ชุดสีดำ ด้วยใบหน้าอ่อนเยาว์และหล่อเหลาของเขาตอนนี้กำลังคร่ำเครียด ศีรษะของเขาผุดเม็ดเหงื่อจำนวนไม่น้อย ก้าวเท้าก็ค่อนข้างยุ่งเหยิง เขากำลังถือกระบี่หนักไว้ในมือขณะต้องประมือกับหยางฉีเย่ว์อย่างยากลำบากเอาเรื่อง
หยางฉีเย่ว์เมื่อพบว่าน่าจะพอแล้วจึงตะโกนขึ้นเสียงไม่ดังนัก “ดี วันนี้เราพอกันแค่นี้! เจ้าเรียนรู้รูปแบบทั้งหกของวิชาวายุสังหารเรียบร้อยแล้ว! สำหรับการเรียนรู้วิชายุทธ์ระดับวิญญาณขั้นสูงเช่นนี้ ตามปกติมันต้องใช้เวลาราวครึ่งปีด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สำเร็จขั้นต้นได้แล้ว”
ขณะนางคิดเช่นนี้และกล่าวออกมา นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจ “พรุ่งนี้เจ้าจะเข้าร่วมการทดสอบ ประสบการณ์การต่อสู้คือสิ่งที่ยิ่งมีมากยิ่งดีเพื่อให้สามารถใช้วิชายุทธ์ได้ดีและคุ้นเคยมากขึ้น”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ ช่วงหลายวันมานี้ เขาได้ใช้เวลาเพื่อสร้างยันต์อัคคีกว่าสิบแผ่นเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวระหว่างการฝึกฝน
เขาครอบครองอุปกรณ์วิญญาณมิติเก็บของ เรื่องนี้หยางฉีเย่ว์ทราบแล้ว เขากล่าวว่าเป็นมหาอุปราชมอบไว้ให้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สอบถามอะไรมากความ
ช่วงเช้าวันถัดมา ฉินหยุนตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่
วันนี้เขาสวมใส่เสื้อฝึกยุทธ์สีแดงขาวพร้อมเกราะเล็กน้อยประดับไว้ เป็นผลให้เขาตอนนี้ทั้งดูอาจหาญและองอาจ เสมือนเขาเป็นแม่ทัพน้อยที่กำลังคิดเข้าร่วมสมรภูมิรบ
ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นฟ้า เขาไปนั่งบนหลังคาของบ้านพักเพื่อรับชมดวงตะวันสีทองคำทั้งเก้าค่อย ๆ เลื่อนขึ้นจากขอบฟ้า ทั้งหมดนี่เพื่ออาบไล้แสงตะวันยามเช้า อีกทั้งยังเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณเก้าตะวันสู่ร่างกาย
หยางฉีเย่ว์เดินออกจากบ้าน นางวันนี้เพียงทำผมหางม้าเรียบง่าย ขณะสวมใส่ชุดกระโปรงรัดรูปสีดำ พร้อมทั้งนำพามาซึ่งจิตสังหารเปี่ยมล้น เป็นผลให้รูปลักษณ์ของนางตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมือสังหารสาว
ฉินหยุนกระโดดลงมาด้านล่างและเดินออกจากป่าไผ่ไปพร้อมกับหยางฉีเย่ว์
ไม่นานพวกเขาก็ถึงสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ด้านนอกทางเข้าหลักที่โอ่อ่า บรรดาเด็กใหม่กำลังรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้าง
เด็กใหม่หลายคนเข้าร่วมการทดสอบนี้ พวกเขากำลังเตรียมมุ่งหน้าไปออกล่าสัตว์ปีศาจ
ไม่นานมานี้ หยางฉีเย่ว์ได้บอกต่อฉินหยุนว่า ในบรรดาเด็กใหม่มากมายนี้ มีนักเรียนจำนวนหนึ่งค่อนข้างมีความก้าวหน้าที่ดี จนเข้าสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้ากันไม่น้อยแล้ว
ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ก็มีผู้สืบทอดจากตระกูลเจียงที่ปลุกวิญญาณยุทธ์เสียงรวมอยู่ด้วย
“นี่คือบททดสอบ ห้องเรียนที่ลงมือสังหารสัตว์ปีศาจได้มากที่สุดจะได้รับรางวัล ขั้นตอนการล่าและสังหารสัตว์ปีศาจนั้นค่อนข้างอันตราย นักเรียนทั้งหลายต้องฟังคำชี้แนะของอาจารย์ให้ดีอย่าได้ละเมิด ไม่เช่นนั้นแม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจเหลือให้สำนึกเสียใจภายหลัง” ผู้อำนวยการจางกล่าวเตือน “ข้าก็เดินทางร่วมไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าจึงสามารถมั่นใจได้ระดับหนึ่ง!”
ผู้อำนวยการจางมักบอกว่าตนนั้นอยู่เพียงขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ทว่ามีข่าวลือหนาหูไม่น้อยว่าเขาก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าแล้ว ทุกคนล้วนคิดว่าข่าวลือนี้เป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงวางใจกันได้ไม่น้อย
ขณะที่พวกเขาจะออกเดินทางกันนั้นเอง กลุ่มม้าพร้อมรถลากก็ปรากฏจากระยะไกล
รถลากหรูหราแทบส่งประกายระยิบระยับเป็นแสงสีทองภายใต้ดวงตะวันยามเช้า มองเพียงครั้งเดียวก็ทราบว่าบุคคลที่โดยสารมานี้ต้องทรงอำนาจไม่ใช่น้อยอย่างแน่นอน
ฉับพลันนั้น รถม้าหลายสิบคนก็ยิ่งเพิ่มความเร็วและควบขี่เข้ามาเร็วขึ้น
ซุยฮ่วยโพล่งออกด้วยความประหลาดใจ “เป็นขบวนของปรมาจารย์เว่ย!”
“พี่คุนรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว!” หลังกล่าวเช่นนี้ เยี่ยนหยุนมองที่ฉินหยุน สายตานั้นเป็นการบ่งบอกว่า “เจ้าล้างคอรอได้เลย!”
ไม่นานจากนั้น ขบวนรถลากจึงมาถึงพร้อมหยุดตรงหน้าประตูใหญ่ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
อาจารย์หลายท่านของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง และนักเรียนชั้นปีสูงกว่าหลายคนที่อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าเริ่มก้าวเดินกันออกมา ใบหน้าของพวกเขาเปี่ยมด้วยความนับถือทั้งยังตะโกน “ขอต้อนรับปรมาจารย์เว่ย!”
ชายวัยกลางคนใบหน้าเหลี่ยมสวมใส่แพรไหมสีทองคำก้าวเดินออกจากขบวนเดินทาง คิ้วนั้นค่อนข้างหนาและยกขึ้นขณะใบหน้าเคร่งเครียด
ด้านหลังของชายวัยกลางคน คือชายคนหนึ่งในชุดสีน้ำเงิน เป็นเว่ยเสวียนคุน!
หลังเว่ยเสวียนคุนบาดเจ็บโดยฉินหยุน เขาจึงถูกส่งตัวไปรักษา และตอนนี้ สีหน้านั้นก็ดีมากแล้ว อาการบาดเจ็บก็คล้ายหายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน
บิดาของเขาคือปรมาจารย์จารึกที่ยิ่งใหญ่ เขาย่อมต้องมีเม็ดยาชั้นเลิศเพื่อช่วยฟื้นฟูกำลังอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์เว่ยสำรวจมองก่อนสายตาหยุดที่ฉินหยุน เขากล่าวอย่างเฉยชาว่า “คุนเอ๋อ ลูกก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก เช่นนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ลูกควรได้ชำระความที่สถาบันแห่งนี้!”
เว่ยเสวียนคุน หลังได้รับบาดเจ็บหนัก เขาถึงขั้นก้าวขึ้นสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่หก กลุ่มนักเรียนต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาขณะก้าวเดินเข้าหาเพื่อแสดงความยินดี
“ปรมาจารย์เว่ย เป็นความผิดพวกเราที่ไม่เข้าหยุดยั้งอย่างทันท่วงที เป็นผลให้นายน้อยเว่ยได้รับบาดเจ็บ” อาจารย์คนหนึ่งก้าวออกกล่าวโทษตนเอง
ถึงตอนนี้เอง ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันควับมองที่ฉินหยุน
นี่หรือคือสถานะของปรมาจารย์จารึก? ฉินหยุนตระหนักได้ทันทีถึงแรงกดดันมหาศาลที่โถมเข้าหา
เขาไม่คิดว่าปรมาจารย์เว่ยจะได้รับการนับหน้าถือตาถึงเพียงนี้ มีหลายคนจากสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงที่เผยความเคารพอย่างไม่คิดปิดบัง
อาจารย์หลายท่านของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงต่างก็อยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เจ็ดหรือไม่ก็แปด พวกเขาเหล่านี้ยินยอมก้มหัวให้ต่อหน้าปรมาจารย์เว่ย!
“อาจารย์เว่ย พวกเรากำลังจะเริ่มการทดสอบเด็กใหม่ในวันนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลา ขออภัยที่ไม่ได้รับรอง!” ผู้อำนวยการจางยิ้มกล่าว
“ผ่านมาหลายปี ผู้อำนวยการจางเพิ่มพูนระดับการฝึกฝนไม่ใช่น้อย เหมือนจะก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเสียด้วย ข้าจะอยู่ที่สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงสักหลายวันหน่อย มาดูกันว่าข้าจะพบเจอผู้มีพรสวรรค์ในการแกะสลักบ้างหรือไม่!” ปรมาจารย์เว่ยหัวเราะเสียงดัง ฉับพลันนั้นออร่าคุกคามพลันระเบิดออก เป็นผลให้นักเรียนผู้เยาว์หลายคนแทบไม่อาจหายใจ
หลังปรมาจารย์เว่ยกล่าวจบคำ เขาจึงกลับขึ้นรถม้าขณะเข้าไปพักผ่อนในสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
“ไปกันเถอะ การเรียนรู้หาประสบการณ์เด็กใหม่รอพวกเจ้าอยู่! ติดตามข้ามาให้ดี!” ผู้อำนวยการจางตะโกนเสียงดังขณะเริ่มออกวิ่ง
สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงอยู่บริเวณพื้นที่รอบนอกของเทือกเขาเมฆมังกร และอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำเมฆมังกรมากนัก
ตอนนี้พวกเขากำลังเลียบแม่น้ำเมฆมังกรเพื่อมุ่งหน้าขึ้นเทือกเขาเมฆมังกรแล้ว!