เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0033
ตอนที่ 33 : พลังจิตวิญญาณโลหิต
ฉินหยุนเกาศีรษะขณะยิ้มกล่าว “อาจารย์ขอรับ คือข้าไม่ได้คิดปิดบังเรื่องนี้นะ ในตอนนั้นพี่สาวมหาอุปราชได้สอนผังวิญญาณแก่ข้า เพราะแบบนั้นตอนนี้ข้าถึงอยากเรียนรู้มัน!”
หยางฉีเย่ว์ลอบยินดีขณะรับเหรียญม่วงจากฉินหยุน นางพยักหน้ารับให้ “ในเมื่อเจ้ามีผังวิญญาณ เช่นนั้นก็ดียิ่ง ข้าจะช่วยเจ้าซื้อวัสดุอุปกรณ์แล้วกัน!”
เมื่อฉินหยุนมองหยางฉีเย่ว์ออกไปแล้ว เขาจึงกลับไปห้องตนเองพร้อมนำเอาม้วนตำราไผ่แปลกประหลาดออกมากาง
มันคือม้วนตำราที่มีสามสิบหกผังวิญญาณ ก่อนหน้านี้เขาฝึกฝนผังวิญญาณพวกนี้ เขาได้ใช้พู่กันลากเส้นพวกมันอย่างบรรจงจนเชี่ยวชาญในเวลาไม่นาน
ฉินหยุนกำลังมองพิจารณาผังวิญญาณในมือขณะครุ่นคิด เขาคิดกับตนเองว่า “เราอ่านตำราเล่มนี้ไปแล้ว มันกล่าวว่ายิ่งผังวิญญาณซับซ้อนเพียงใด มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่แล้ว การแกะสลักดาบน้ำเงินของเว่ยเสวียนคุนกลับเรียบง่ายนัก ดาบน้ำเงินเล่มนั้นยังแตกหักง่ายเช่นกัน หมายความว่าระดับของอุปกรณ์วิญญาณต้องสัมพันธ์กับการแกะสลักด้วยงั้นสินะ? เว่ยเสวียนคุนช่างกล้ากล่าวถึงมูลค่าสูงล้ำจอมปลอมของมันเสียจริง!”
สองชั่วโมงให้หลัง หยางฉีเย่ว์กลับมาพร้อมกระดาษกองใหญ่ให้ฉินหยุน
“แผ่นละห้าสิบเหรียญผลึก ได้มาทั้งหมดหนึ่งร้อยแผ่น และมีดแกะสลักนี่ราคาห้าพันเหรียญผลึก!” หยางฉีเย่ว์วางกล่องไม้ตรงหน้าฉินหยุนขณะกล่าวถามอย่างประหลาดใจ “นี่เจ้าสามารถลงมือได้โดยไม่ต้องมีคนชี้แนะหรือ?”
“ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกขอรับ!” ฉินหยุนนำกระดาษกางเรียงบนโต๊ะขณะอีกมือหยิบมีดแกะสลัก
มีดแกะสลักนี้คล้ายปากกาที่สร้างขึ้นจากทองแดงวิญญาณ ส่วนปลายของมันเล็กยิ่งและประกอบด้วยจุดเล็กจ้อยเพียงหนึ่ง แสงที่เย็นเยือกกำลังเป็นประกายออกมา
ตัวด้ามมีรูปลักษณ์คล้ายทรงกระบอก ทั้งยังมีผังวิญญาณประหลาดสลักเอาไว้เพื่อทำให้การดูดพลังจิตวิญญาณโลหิตเป็นไปอย่างลื่นไหล
“การขัดเกลายันต์วิญญาณ หากวาดด้วยปากกาน่าจะดีกว่า!” หยางฉีเย่ว์แม้กล่าวเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจการแกะสลักมากนัก นางเพียงรู้โดยคร่าวเท่านั้น
“มีดแกะสลักใช้เพื่อวาดยันต์ก็ได้ขอรับอาจารย์ ถือเป็นการทดสอบพลังอย่างหนึ่ง! เป้าหมายสุดท้ายของข้าคือขัดเกลาอุปกรณ์ขึ้น ดังนั้นการใช้มีดแกะสลักเผื่อฝึกฝนตั้งแต่แรกย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดขอรับ” ฉินหยุนหลับตาลงขณะนึกย้อนถึงลายเส้นที่เขาฝึกฝนมาตลอดช่วงหลายวัน
ก่อนหน้านี้ เขาเพียงใช้พู่กันวาดลงบนกระดาษ แต่ตอนนี้คือการนำพลังจิตวิญญาณโลหิตออกมาใช้ เขาจำเป็นต้องผสานรวมพลังจิตและพลังปราณเข้าสู่พลังจิตวิญญาณโลหิต เพื่อให้เกิดการควบแน่นที่ปลายของมีดแกะสลัก
หยางฉีเย่ว์นั่งที่ด้านข้าง มือเท้าไว้ที่แก้ม ดวงตาของนางเบิกกว้างขณะเคลื่อนไหวมอง นางคล้ายเด็กช่างสงสัยขณะรับชมฉินหยุนเริ่มทำการแกะสลัก
เมื่อฉินหยุนเห็นสีหน้าของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาไม่คิดว่าอาจารย์หยางผู้เข้มงวดและเย็นเยือกนั้นจะมีด้านน่ารักกับเขาเช่นกัน
เขาหลับตาลง พยายามปรับอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นจึงลืมตาขึ้นและขมวดคิ้ว จิตใจตั้งมั่น ทำการควบคุมพลังโลหิตและพลังจิตเข้าสู่ตันเถียนเพื่อผสานรวมกับพลังภายใน
เส้นโคจรทั้งหมดในร่างเปิดออก เขาสามารถควบแน่นพลังจิตวิญญาณโลหิตได้อย่างลื่นไหล!
เพียงไม่นาน เขากระชับด้ามมีดแกะสลักมั่น หยดของเหลวสีแดงโลหิตไหลออกจากปลายของมีด มันแดงเสมือนเป็นโลหิตสด!
เมื่อได้เห็นหยดโลหิตที่เปี่ยมด้วยพลังบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามของนางเผยความตื่นเต้นออกมา นางเร่งร้อนกล่าวถาม “นี่เจ้าทำได้ยังไงกัน? นั่นมันพลังจิตวิญญาณโลหิต!”
“การไม่มีอาจารย์แกะสลักคอยชี้แนะ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะผสานรวมพลังโลหิต พลังจิต และพลังภายในเข้าไว้ด้วยกัน กระทั่งว่ามีอาจารย์คอยชี้แนะ เจ้าก็ยังต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาไปไม่ใช่น้อยถึงจะทำได้ระดับนี้!”
ฉินหยุนยิ้ม เขาเพียงส่ายศีรษะและกล่าวตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงควบแน่นพลังจนเกิดเป็นพลังจิตวิญญาณโลหิตได้ขอรับ กล่าวโดยสรุปข้าทำมันได้ก็จริงแต่ยังไม่เชี่ยวชาญอย่างเต็มที่ อาจารย์ดูนี่ หลังพลังจิตวิญญาณโลหิตเข้าสู่มีดแกะสลัก มันไม่ค่อยเสถียรสักเท่าไหร่นัก”
หยางฉีเย่ว์มองตามไปที่มือของฉินหยุนซึ่งกำลังสั่นไหว หากมีสภาพนี้ เขาไม่มีทางแกะสลักเส้นวิญญาณบนกระดาษยันต์ได้แน่
ฉินหยุนรู้สึกอับจน เขาทำได้เพียงกระจายพลังจิตวิญญาณโลหิตและกล่าวต่อ “คงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะคุ้นชินกับมัน ข้าคงต้องกลับไปฝึกฝนต่อที่ห้องแล้ว”
หยางฉีเย่ว์มองด้วยสายตาให้กำลังใจ กระทั่งเข้ามาลูบศีรษะและยิ้มกล่าว “พยายามเข้า ด้วยความสามารถระดับเจ้า มันต้องสำเร็จแน่! ช่วงไม่กี่วันมานี้ข้าได้อ่านวิชาวายุสังหารและเสริมคำอธิบายให้เจ้าเข้าใจง่ายเอาไว้แล้ว ค่อย ๆ เรียนรู้มันไปด้วยละ”
“ขอบคุณอาจารย์มากขอรับ!” จากนั้นเขาจึงกลับไปฝึกฝนการแกะสลักที่ห้องของตนเองต่อ
เมื่อกลับถึงในห้อง เขาเริ่มรวบรวมพลังจิตวิญญาณโลหิตและโคจรมันไปยังมีด
ทว่ามือก็ยังคงสั่นไหว เหตุผลหลักก็เพราะพลังจิตวิญญาณโลหิตปริมาณมหาศาลถูกใช้ไปแล้วกับมีดแกะสลัก เพราะแบบนั้นถึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันสงบ
ฉินหยุนครุ่นคิดกับตนเองพักหนึ่ง “หรือจะเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณโลหิตรุนแรงเกินไป? พลังภายในของเราเพียงควบแน่นจากพลังธาตุไฟ มันยังไม่ได้ผ่านพลังสั่นไหว!”
ตั้งแต่ก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า พลังธาตุสั่นไหวสีดำยิ่งมายิ่งลึกล้ำและน่าหวาดกลัว เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่กล้าใช้มันแม้เพียงนิด!
หลังพยายามอยู่นานหลายชั่วโมง ในที่สุดเขาก็พบสาเหตุ
โดยหลักแล้วมันเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณโลหิตไม่อ่อนโยน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพลังโลหิต พลังจิต และพลังภายในไม่รวมกันโดยสมบูรณ์
พอทราบจึงเริ่มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็สามารถผสานพวกมันเป็นหนึ่งได้ คราวนี้ทั้งสามมีอัตราส่วนที่เทียบเท่ากัน
ถึงตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏแสงสว่างขึ้นแล้ว
“คงต้องพักก่อน หมดแรงกับการควบแน่นพลังจิตวิญญาณโลหิตไปไม่ใช่น้อยเลย...” ฉินหยุนกว่าจะถึงจุดนี้ได้ก็ลำบากไปมาก ตอนนี้เขาเลือกแผ่ตัวกับที่นอนจนผล็อยหลับไป
แม้เวลานอนเพียงน้อยนิด แต่ด้วยความสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณเก้าตะวันผ่านสร้อยข้อมือวิญญาณเทวะเก้าตะวัน มันทำให้เขาสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว!
ก็เหมือนอย่างทุกวัน ตราบเท่าที่หยางฉีเย่ว์อยู่ที่นี่ เขาจะมีอาหารทุกมื้อให้กิน ทั้งยังได้ร่วมโต๊ะกับอาจารย์สาวงามทุกเช้า
แม้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้นำพาพลังใดสู่ความแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นการเยียวยาจิตใจให้เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างดียิ่งขึ้น!
หลังทานมื้อเช้าเรียบร้อย เขาเร่งร้อนกลับห้องตัวเองและเริ่มการฝึกแกะสลักผังวิญญาณต่อ
“วันนี้ต้องสำเร็จให้ได้!” ฉินหยุนเปี่ยมด้วยความมั่นใจขณะคว้ามีดแกะสลักไว้ในมือ
ไม่นาน เขารวบรวมพลังจิตวิญญาณโลหิตปริมาณเล็กน้อยได้ที่ส่วนปลายของมีด อีกทั้งมือของเขาตอนนี้มั่นคงไม่สั่นแล้ว
“ดี เริ่มการแกะสลักได้!”
ฉินหยุนรู้สึกยินดีไม่ใช่น้อยที่สามารถถือมีดแกะสลักได้อย่างมั่นคง ต่อจากนี้คือเริ่มการแกะสลักอย่างพิถีพิถันบนกระดาษยันต์
ที่ส่วนปลายของมีดไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับกระดาษยันต์ สิ่งที่สัมผัสคือหยดของพลังจิตวิญญาณโลหิตกับกระดาษยันต์
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนได้ใช้พู่กันวาดผังวิญญาณอย่างง่ายดายบนกระดาษขาวมาแล้วครั้งหนึ่ง
“ผังอัคคี นี่คือคุณลักษณะของผังวิญญาณ! ถึงตรงนี้ ก็เพียงแค่วาดส่วนของเส้นมืด!” ฉินหยุนนึกย้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากตำรา
ที่มันเรียกว่าเส้นมืดนั้นหมายความถึงเส้นวิญญาณจะไม่ปรากฏ
หากเขาทำการแกะสลักต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาต้องปลดปล่อยม่านพลังแสงปกคลุมมีดแกะสลักเอาไว้ เมื่อเส้นมืดเสร็จสมบูรณ์ เขาจึงค่อยปลดม่านพลังแสงลงได้
จุดประสงค์ของเส้นมืดคือป้องกันไม่ให้ถูกขโมย
“ส่วนของเส้นมืดดูค่อนข้างยุ่งเหยิง แต่พวกมันคือแกนหลักของทุกสิ่ง ถือเป็นส่วนที่ยากที่สุด!” หลังจากฉินหยุนวาดเส้นมืดเสร็จ เขารับชมมันหายไปอย่างลึกลับก่อนจะเริ่มวาดผังอีกครั้ง
เส้นสว่างคือผังวิญญาณที่สามารถมองเห็นได้ พวกมันถูกนับเป็นความงดงาม โดยทั่วไปแล้วพวกมันเปรียบเสมือนภาพจิตรกรรม
เส้นสว่างที่ฉินหยุนทำการแกะสลักก็เสมือนเปลวเพลิงร้อนแรง พวกมันมีความคมกล้าทั้งยังดุดัน เมื่อพิจารณามองจริงจัง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ทั้งยังรู้สึกถึงเสน่ห์ลึกลับภายในผัง
ได้เห็นตัวเองวาดเส้นสว่างจนเสร็จเรียบร้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ก่อนหน้านี้ตอนเขาวาดผังบนกระดาษธรรมดา มันก็เหมือนลายเส้นทั่วไปที่ตายด้าน แต่คราวนี้เมื่อสลักด้วยพลังจิตวิญญาณโลหิต มันทั้งสดใสและคล้ายมีชีวิต