DC บทที่ 130: พันธะที่ถูกบังคับ (ฟรี)
DC บทที่ 130: พันธะที่ถูกบังคับ
“ทำไมเจ้าไม่คลุมผ้าก่อนละ” ซูหยางนำเอาผ้าคลุมสีขาวออกมาจากแหวนมิติและคลุมลงไปบนร่างจอมแมวภูต
อย่างไรก็ตามจอมแมวภูตผู้ซึ่งไม่เคยสวมเสื้อผ้ามาก่อน รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวจึงดึงมันออกจากตัว
“ข้าเดาว่าเจ้ายังมีจิตใจเป็นแมว หึ…” ซูหยางยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะชื่นชอบมองดูผู้หญิงที่ปราศจากเสื้อผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสวย แต่ก็ต้องถูกที่ถูกเวลาด้วย
“ตอนนี้.. ข้าควรจะทำอะไรกับเจ้าดี” ซูหยางรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เขาวางแผนที่จะปล่อยให้จอมแมวภูตอยู่โดดเดี่ยวในสถานที่นี้จนกว่าเขาสามารถปล่อยมันไปในแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นเช่นนี้ เขาไม่สามารถปล่อยเธอไว้ตามลำพังที่นี่
ส่วนการปล่อยให้เธอ สัตว์อสูรเขตตำนานท่องเที่ยวไปทั่วในโลกที่ด้อยกว่านี้โดยไม่มีเทพหรือเซียนอยู่เลย มันเป็นบางสิ่งที่ต้องห้ามแม้จะคิด
“ท่านพ่อ--”
ชิวเยวี่ยร่อนลงมาจากฟ้ายืนอยู่ข้างตัวซูหยาง แต่ก่อนที่เธอจะเข้าถึงตัวเขา จอมแมวภูตหันมาหรี่ตามองเธอ สายตาเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา
"?!?!?!"
ชิวเยวี่ยได้รับการคุกคามต่อชีวิตเมื่อแรงกดดันอันทรงพลังจากผู้ที่อยู่ในเขตตำนานพลันโจมตีเธอ ทำให้เธอเกือบสิ้นสติและร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าดังดาวตก
แม้ว่าเขารู้สึกแปลกใจที่เห็นเหตุการณ์นี้ ซูหยางยังคงตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปรับร่างเธอไว้
ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อพวกเขาร่อนลงมาบนพื้น ซูหยางหันไปมองจอมแมวภูตด้วยใบหน้าท่าทางอึดอัด
“ใจเย็น เธอมากับข้า” เขากล่าวกับจอมแมวภูตขณะที่เขาประคองชิวเยวี่ยลงสู่พื้น
ได้ยินคำของเขา จอมแมวภูตก็ไม่มีท่าทีระแวดระวังอีกต่อไป แต่ยังคงมองชิวเยวี่ยด้วยสายตาเย็นชา เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกเหยียดหยามเธออยู่
“...” ชิวเยวี่ยมองไปที่จอมแมวภูตพร้อมทำหน้ายุ่ง เธอรู้สึกไม่พอใจมากกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น อีกทั้งมีความสับสนอยู่เล็กน้อย แต่เธอตัดสินใจที่จะนิ่งเงียบไว้ สาเหตุหลักก็เป็นเพราะว่าจอมแมวภูตอยู่ในเขตตำนาน ตัวตนที่ถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือแม้กระทั่งภายในแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่
“ท่านพ่อ เราควรทิ้งเจ้าแมวโง่นี่ไว้ที่นี่แล้วไปกัน…” เธอกล่าวกับเขาผ่านสัมผัสวิญญาณ
“ข้าก็มีความคิดเช่นเดียวกัน แต่นั่นเป็นตอนที่มันเป็นเพียงแมวภูต อย่างที่เห็น จอมแมวภูตนี้อยู่เขตตำนาน ถ้ามันต้องการมันสามารถทำลายช่องว่างนี้ทั้งหมดลงได้และปลดปล่อยตัวมันเองให้เป็นอิสระ เรายังโชคดี มันไม่โหดร้ายและอาจเป็นไปได้ว่า..เลี้ยงให้เชื่องได้…”
ชิวเยวี่ยมองดูซูหยางด้วยดวงตาโตเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอกล่าวว่า “แน่นอนว่าท่านคงมิคิดจะเลี้ยงมันใช่ไหม สิ่งนี้อยู่ที่เขตตำนานในขณะที่ท่านยังอยู่ที่เขตสัมมาวิญญาณในเขตปุถุชน แม้ว่าท่านสามารถต่อสู้กับผู้อื่นที่มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่า แต่พลังการฝึกปรือของท่านไม่พอที่จะควบคุมสัตว์อสูรตัวนี้ อย่าว่าจะเลี้ยงมันให้เชื่อง”
“แน่นอนว่าข้ามิได้พูดถึงการเลี้ยงมันแบบนั้น แมวภูตล้วนเป็นสัตว์อสูรที่ทระนงตนและมองดูมนุษย์เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นของเล่น อย่าว่าแต่จอมแมวภูต” ซูหยางส่ายหน้า
ความคิดในการจับจอมแมวภูตมาเลี้ยงนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในใจของเขามาก่อน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก
“เมื่อข้าพูดถึงเลี้ยงได้ ข้าหมายถึงว่าอย่างน้อยมันก็เชื่อฟังอยู่ระดับหนึ่ง และไม่ถึงกับไร้เหตุผล” ซูหยางกล่าวกับเธอโดยไม่ต้องขยับริมฝีปากโดยการใช้สัมผัสวิญญาณ
ขณะนั้นเอง จอมแมวภูตยืนอยู่อย่างเงียบๆ สายตาเธอยังคงจับจ้องไปยังซูหยาง คล้ายกับว่ากำลังคิดอยู่ลึกๆในใจ
ในชั่วอายุหลายร้อยปีที่มีตัวตนและความทรงจำมา จอมแมวภูตไม่เคยรู้สึกติดอกติดใจกับสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์
มีบางสิ่งเกี่ยวกับเขาที่ทำให้เธอไม่สามารถเบือนสายตาไป ยิ่งไปกว่านั้นยามเมื่อเธอเลียเขา เธอได้ลิ้มรสบางสิ่งในปราณไร้ลักษณ์ของเขาที่เป็นบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาและทั้งให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า และความรู้สึกนั้นทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
จอมแมวภูตต้องการลิ้มรสลึกลับนี้อีก แต่อนิจจาเธอรู้สึกว่าซูหยางคงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นได้อีกครั้ง
ทันใดนั้นเองราวกับว่าถูกฟาดด้วยสายฟ้าแห่งการหยั่งรู้ ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ และดวงตาสีเงินของเธอก็เปล่งประกายสดใส
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อจอมแมวภูตแก้ปัญหาได้แล้ว เธอใช้ความเร็วระดับพระเจ้าที่เร็วเกินกว่าความเร็วของสายฟ้าไปปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังซูหยางโดยที่เขาไม่ทันรูสึกตัว
“ท่านพ่อ”
อย่างไรก็ตาม ชิวเยวี่ยผู้ซึ่งมองไปยังเขาพลันสังเกตเห็นจอมแมวภูตซึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเขาราวกับภูตผี จึงรีบเตือนเขาทันที
“หืม”
ซูหยางที่กำลังจะหันกายไป พลันรู้สึกเจ็บบนมือของเขา รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกกัดด้วยอะไรบางอย่าง
ถึงแม้ว่าจะเจ็บ เขาไม่ได้ขยับเกินจำเป็น และมองลงไปยังมือของตนเอง
“เจ้า...เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ด้วยท่าทางเรียบเฉยปะปนกับความประหลาดใจ ซูหยางจ้องมองไปที่จอมแมวภูตที่กำลังกัดมือเขาราวกับสัตว์ป่า เขายังไม่เข้าใจการกระทำของเธอในทันที ดังนั้นเขาจึงยังไม่เคลื่อนไหว หวังว่าเธอจะปล่อยเขาด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตามถ้าเขาพยายามที่จะบังคับเธอออกไป เขาผู้ซึ่งเป็นผู้ฝีกฝนเขตสัมมาวิญญาณ มีหรือจะสามารถที่จะป้องกันผู้ที่อยู่เขตตำนานได้ บ้าแล้ว เขาอาจจะแขนขาดถ้าพยายามทำเช่นนั้น
มีเลือดไหลออกมาจากนิ้วของเขา แต่ทั้งหมดล้วนถูกเลียกินโดยจอมแมวภูติในวินาทีถัดไปหลังจากนั้น
หลังจากที่เห็นเช่นนั้น มีท่าทางสับสนบนใบหน้าของซูหยาง “เธอดูด..ไม่ใช่...ซึมซับเลือดข้า ถ้าสัตว์อสูรทำแบบนี้…”
“พ-พ่อ” ชิวเยวี่ยมีท่าทางตื่นตระหนกขึ้นในตอนนั้น แต่เพราะว่าซูหยางเกี่ยวกอดหลังเธอไว้ด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่ เธอได้เพียงแต่มองดูภาพเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวที่จอมแมวภูตกำลังดื่มกินเลือดของเขาราวกับปอบ
หลังจากสองสามอึดใจที่รู้สึกเหมือนสองสามชั่วโมง จอมแมวภูตก็ได้ยอมถอนเขี้ยวของเธอออกจากมือของซูหยาง ใบหน้าเธอแสดงถึงความพึงพอใจ
“เจ้าพอใจแล้วรึ” ซูหยางพูดขณะที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกมึนงงจากการสูญเสียเลือดเหล่านั้น
จอมแมวภูตพยักหน้า และพลันพึมพัมบางสิ่ง
วินาทีถัดไป สัญลักษณ์ที่ซับซ้อนงดงามปรากฏขึ้นบนหน้าผากของจอมแมวภูต
“น-นั่นมัน--”
เมื่อชิวเยวี่ยมองเห็นสัญลักษณ์นี้บนใบหน้าของจอมแมวภูต กรามเธอก็อ้าจนตกถึงพื้น เธอหันไปมองซูหยางอย่างเชื่องช้าและแข็งทื่อ และยืนยันได้ว่ามีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นเด่นชัดบนหน้าผากเขาเช่นเดียวกัน สัญลักษณ์เดียวกับที่มีอยู่บนหน้าผากของจอมแมวภูต
“พ-พันธะสัญญาเลือด” ชิวเยวี่ยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
จอมแมวภูตเต็มใจที่จะสร้างพันธะสัญญาเลือดด้วยตัวเอง บังคับซูหยางให้เป็นนายของเธอ
มีมากมายหลายชนิดของพันธะสัญญาที่มีอยู่ในโลกที่สุดหยั่งคาดนี้ที่ยอมให้ผู้ฝึกวิชาจับสัตว์อสูรมาฝึก ทำให้พวกมันกลายเป็นเพื่อน พันธะสัญญาเลือดไม่เหมือนกับพันธะสัญญาหลักๆเหล่านั้น มันเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และเฉพาะเจาะจงที่สุดชนิดหนึ่งที่ใช้เลือดในการสร้างพันธะสัญญา
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่พันธะสัญญาที่ถูกสร้างขึ้นโดยการบังคับจากผู้ฝึกวิชาไม่ใช่เรื่องปกติดังที่ใครคาดคิด เนื่องจากว่าผู้ฝึกวิชาส่วนใหญ่ล้วนมีเพื่อนและสายสัมพันธ์ที่พวกเขาสามารถเชื่อถืออีกฝ่ายมากกว่าถูกบังคับ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกวิชาต้องมีพลังการฝึกปรือที่เหนือกว่าสัตว์อสูรไปไกลในการที่จะบังคับให้เกิดพันธะสัญญาขึ้น
ส่วนสำหรับการที่สัตว์อสูรบังคับผู้ฝึกวิชาให้ทำพันธะสัญญานั้น… มันเหมือนกับว่าหมูธรรมดาทั่วไปพลันปรากฏปีกขึ้นและบินออกไปจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า
"..."
ซูหยางไม่กล่าวถ้อยคำใดเกี่ยวกับสถานการณ์ ราวกับจนถ้อยวาจา โดยตามจริงเขาค่อนข้างจะงงงันกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่าสัตว์ที่อยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์จะเต็มใจสละอิสระ ชีวิตและร่างกายของตัวมันเองเพื่อเขาโดยไม่ปรารถนาสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทนแม้กระทั่งในฝัน ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นจอมแมวภูตหนึ่งในสายพันธุ์ที่หายากที่สุดในจักรวาล
หลังจากนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าจักมิถามเจ้าว่าเหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ใช่ว่าข้ามิสนใจ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจักมิเสียใจในการตัดสินใจทำเช่นนี้ในอนาคต”
จอมแมวภูตไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดกับคำพูดของเขา ราวกับว่าเธอไม่เข้าใจความหมายถ้อยคำนั้น และแม้ว่าเธอมีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์อยู่ระดับหนึ่ง แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอยังไม่เข้าใจดีนัก เพราะว่าเธออาศัยอยู่ในแดนโดดเดี่ยวแห่งนี้มาหลายร้อยปี บ้าแล้ว มันคงเป็นเรื่องประหลาดอย่างแน่นอน ถ้าเธอสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้เพียงจากการฟังถ้อยคำของพวกนักขุดสุสานในช่วงเวลาสั้นๆ
“ท-ท่านพ่อ...ท่านจะทำอย่างไรกับเธอในตอนนี้ ในเมื่อเธออยู่ใต้อาณัติของท่าน” ชิวเยวี่ยพลันถามเขา
“ใครจะรู้” เขากล่าว “บางทีข้าอาจจะสอนบางเทคนิคให้เธอยามข้าเบื่อ” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ท่านกำลังจะเลี้ยงเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นแมวบ้านรึ อย่างนั้นทำได้ด้วยรึ” ชิวเยวี่ยถือเอาเรื่องตลกของเขาเป็นจริงเป็นจัง และมองไปที่จอมแมวภูตในร่างมนุษย์ด้วยท่าทางสับสนบนใบหน้า
“อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามีมากกว่าเป็นเพียงแค่สัตว์ป่าและชาวบ้านธรรมดา ข้าควรให้ชื่อเจ้าสักชื่อ…” ซูหยางเปลี่ยนเป็นท่าทางครุ่นคิด
หลังจากนั้นสองสามอึดใจ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาของจอมแมวภูตและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เซียวลี่เป็นไง มันสมกับเด็กน่ารักอย่างเช่นตัวเจ้า”
"..."
มองดูท่าทางสับสนของจอมแมวภูต ซูหยางชี้มือไปที่ตัวเองและกล่าวว่า “ข้าคือซูหยาง”
เขาชี้มือต่อไปที่ชิวเยวี่ย “เธอชื่อชิวเยวี่ย”
และสุดท้ายเขาชี้มือไปที่เธอและกล่าวว่า “เจ้าตอนนี้เรียกว่า เซียวลี่”
ดวงตาของจอมแมวภูตเป็นประกายราวกับว่ามันพลันหยั่งรู้อะไรบางอย่าง และเธอก็อ้าปากแบบเดียวกับที่ซูหยางทำ และกล่าวว่า “เซียวลี่”
“ซูหยาง เซียวลี่”
แม้ว่าตอนแรกๆ มันจะเป็นเสียงอ้อแอ้ เสียงเหมือนเด็กๆของเธอที่เข้ากันกับหน้ารูปร่างหน้าตาก็เริ่มชัดเจนขึ้นหลังจากพูดชื่อเหล่านั้นซ้ำไปมาสองสามครั้ง
ซูหยางพยักหน้า “นั่นถูกแล้ว ข้าคือซูหยาง และเจ้าคือเซียวลี่”
“ซูหยาง เซียวลี่ ซูหยาง เซียวลี่”
“ข้าก็อยู่ด้วยนะ เจ้ารู้ไหม” ชิวเยวี่ยพูดในใจหลังจากที่ได้ยินเพียงซูหยาง และชื่อของเธอเอง เซียวลี่ มาจากปากของเซียวลี่ รู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกเมิน แต่เพราะว่าเธอเพียงเห็นเซียวลี่เป็นเพียงสัตว์อสูรที่เป็นแมว เธอจึงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก
“เมื่อใดก็ตามที่เจ้ามีความรู้มากพอที่จะเข้าใจวิชาฝีมือของมนุษย์ ข้ามีวิชาที่ต้องการให้เจ้าเรียน” ซูหยางพูดขึ้น
“เอ๋” ชิวเยวี่ยมองไปที่เขา เลิกคิ้วด้วยความสับสน ความคิดนี้มาจากไหนกัน และวิชาฝีมือของมนุษย์แบบไหนที่เขาต้องการให้เธอ สัตว์อสูร เรียนกัน
* (ชื่อของแมวภูตสะกดตามภาษาอังกฤษจะอ่านว่า เซียวร่อง ฟังดูแปลกๆ จึงไปค้น google ใช้ 秀丽 ซึ่งมีเสียงคล้ายกันมาแทน)