ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 58 : ข้อสรุป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 60 : แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง

ราชันย์เร้นลับ 59 : จุดเริ่มต้นของโรซาย


ราชันย์เร้นลับ 59 : จุดเริ่มต้นของโรซาย

 

หลังจากได้ยินคำถาม ออเดรย์มิได้ยกมือรีบตอบเฉกเช่นทุกครั้ง เธอชำเลืองมองทางแฮงแมนด้วยสายตาสงบนิ่งคล้ายกับวิเคราะห์อีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

อัลเจอร์เกร็งตัวเล็กน้อย และเอ่ยปากพูดขึ้นหลังจากเงียบงันสองสามวินาที

 

“ผมรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายได้สองหน้า และบันทึกข้อความไว้ในหัวเรียบร้อยแล้ว”

 

“ดิฉันมีหนึ่งหน้า จำได้แล้วเช่นกัน”

 

ออเดรย์จ้องมองเดอะฟูลที่มีหมอกหนาบดบัง เธอรีบตะโกนตามแฮงแมนเพราะกลัวจะถูกตัดออกจากบทสนทนา

 

“ทำได้ไม่เลว”

 

ไคลน์พยายามระงับอารมณ์ตื่นเต้น มันกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยราวกับมิได้แยแสนัก

 

อาจเป็นเรื่องดีที่พบไดอารีถึงสามหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นข่าวร้าย เพราะตามธรรมชาติแล้ว การรวบรวมไดอารีช่วงแรกควรง่ายที่สุด แต่ละคนสามารถค้นหาจากใกล้ตัวหรือช่องทางข่าวสารที่ใช้ประจำ ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปนาน การคนหาไดอารีก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น

 

“ให้พวกเรา‘แสดง’เลยไหมคะ?”

 

ออเดรย์ไต่ถามเสียงสุขุม

 

“อา…”

 

ไคลน์ผงกศีรษะเบาๆ

 

มันยังคงรักษาอากัปกริยามิให้ตื่นเต้นออกนอกหน้า ไม่อย่างนั้น‘ผู้ชม’อาจผิดสังเกตุ

 

เมื่อกล่าวจบ แผ่นกระดาษหนังและปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มพลันปรากฏบนโต๊ะด้านหน้าออเดรย์และอัลเจอร์

 

ทั้งสองจับปากกาและพยายามจินตนาการเนื้อความในไดอารีที่รวบรวมได้ ขณะเดียวกันก็ใส่‘เจตจำนง’ต้องการเปิดเผยความคิดลงไป

 

เพียงไม่นาน อักษรเริ่มถูกบันทึกลงแผ่นกระดาษหนังทีละบรรทัด บางอักษรคมชัดสมบูรณ์แบบ บางอักษรซับซ้อนขยุกขยิก และบางอักษรเอียงเบี้ยวไปจากปรกติ

 

ผ่านไปราวหนึ่งนาที อัลเจอร์และออเดรย์ทำการบรรจุความทรงจำของพวกตนลงแผ่นกระดาษเสร็จสิ้น

 

ไคลน์หยิบกระดาษหนังทั้งสามแผ่นมาถือ

 

หลังจากกวาดสายตาอ่านอย่างคร่าว มันพบว่าไวยากรณ์ในหลายจุดผิดเพี้ยน รวมถึงการขาดหายไปของตัวอักษรและการเขียนผิดอีกหลายจุด

 

แต่บนโลกเก่าเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่า มนุษย์สามารถจับใจความประโยคได้แม้อักษรบางส่วนขาดหายไป

 

แถมไคลน์ยังเป็นนักอ่านนิยายออนไลน์ตัวยง มันคุ้นชินกับคำหยาบที่มักถูกเขียนโดยใช้ดอกจันทร์ละไว้

 

“8 มิถุนายน ขณะกำลังยืนที่หัวเรือ‘บัลลังก์นิลคำราม’ เราทำการกางแขนออกและกล่าวกับ‘กรีน’และ‘เอ็ดเวิร์ด’ว่า…

 

“สมบัติที่ฉันสั่งสมมาทั้งชีวิตจะตกเป็นของพวกนายสองคน แต่พวกนายมีหน้าที่ต้องออกไปค้นหาด้วยตัวเอง! ฉันได้ซ่อนมันไว้ในส่วนลึกสุดของทะเลมหาหมอกแล้ว!

 

“แต่เจ้าบื้อสองคนนั้นกลับไม่เข้าใจมุกตลก แถมยังถามด้วยสีหน้าฉงนอีกว่า ‘คุณยังมีสมบัติอื่นอยู่อีกหรือ?’

 

“น่าเบื่อชะมัด เจ้าพวกนี้ทำตัวไม่สมกับเป็น‘จตุรอาชา’ของฉันเลยสักนิด!”

 

“11 มิถุนายน เราค้นพบเกาะแห่งใหม่บนเส้นทางเดินเรือไม่ปลอดภัย บนเกาะมีสัตว์วิเศษอาศัยอยู่จำนวนมาก ไม่สิ ขอเรียกว่า‘สิ่งมีชีวิตวิเศษ’ก็แล้วกัน แบบนี้เท่กว่าตั้งเยอะ

 

“แต่สัตว์วิเศษพวกนี้หน้าตาประหลาดชะมัด เรามั่นใจว่าถ้าชาร์ล·ดาร์วินถูกส่งข้ามโลกมาถึงที่นี่ หมอนั่นไม่มีทางคิดค้นทฤษฏีวิวัฒนาการได้แน่”

 

“15 พฤษภาคม กรีนมีท่าทีแปลกไป หรือหมอนั่นกำลังถูกพลังบางอย่างครอบงำ?”

 

จักรพรรดิโรซายเริ่มล่องเรือในปีไหนกันนะ? สงสัยต้องค้นประวัติศาสตร์โดยละเอียดจากห้องสมุด ถ้าจำไม่ผิด ทะเลมหาหมอกจะอยู่ทางตะวันตกของสาธารณะรัฐอินทิส

 

ไคลน์อ่านหน้าแรกจบลงอย่างรวดเร็ว มันรีบหยิบกระดาษแผ่นต่อไปขึ้นมา

 

มาถึงจุดนี้ ไคลน์ไม่มีเหตุให้ต้องปิดบังว่าตนสามารถอ่านไดอารีล้ำค่าของจักรพรรดิโรซายออก ความพิเศษของตนจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของเดอะฟูลยิ่งใหญ่ขึ้น

 

ออเดรย์และอัลเจอร์ทำเพียงจ้องมองโดยไม่กล่าวสิ่งใด ทั้งสองนั่งรออย่างเงียบงันราวกับไม่ประหลาดใจที่มิสเตอร์ฟูลสามารถอ่านออก

 

และอันที่จริง พวกมันคิดว่าการรอคอยโดยไม่พูดแทรกคือเดียวที่กระทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน

 

“2 ตุลาคม พวกมันต้องการให้เราแต่งงานกับมิสมาทิลด้าจากตระกูลอาเบลให้ได้! พระเจ้า! เราไม่เคยพบหน้าหล่อนเลยสักครั้ง! ไม่ได้! หัวเด็ดตีนขานก็ต้องปฏิเสธ! ต่อให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนและอดอยากไปตลอดชีวิตที่เหลือ แต่เราจะไม่มีวันยอมรับการคลุมถุงชนเด็ดขาด!

 

“5 ตุลาคม มิสมาทิลด้าสวยชะมัด… สวยชนิดวัวตายความล้ม”

 

“6 ตุลาคม อุปนิสัยและกริยามารยาทของเธอตรงตามสเปคเราทุกประการ ชักอยากให้งานแต่งมาถึงไวๆ แล้วสิ”

กลืนน้ำตายตัวเองเร็วฉิบ…

 

ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มันพยายามไม่ให้อารมณ์ขันหลุดลอดผ่านสายหมอกออกไป

 

ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่า โรซาย·กุสตาฟมิได้บันทึกไดอารีทุกวันในช่วงแรกของชีวิต จะเขียนก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่ต้องการรำพัน จดบันทึก หรือระบายอารมณ์

 

สายตาไคลน์เหลือบลงมองส่วนล่างของหน้ากระดาษแผ่นที่สอง มันอ่านออกเสียงประโยคสุดท้ายภายในใจ

 

“9 ตุลาคม พวกมันเริ่มเรียกเราว่า‘บุตรแห่งไอน้ำ’ ฟังดูเจ๋งชะมัด”

 

ไคลน์ค่อนข้างผิดหวังที่เนื้อความสองหน้ากระดาษแรกมีมูลค่าไม่มาก

 

แต่นั่นก็ไม่ส่งผลให้ตนอารมณ์บึ้งตึง มาถึงแผ่นสุดท้าย ชายหนุ่มพบว่ากระดาษแผ่นนี้มีข้อความเขียนไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

 

“21 เมษายน โบสถ์เทพแห่งช่างฝีมือได้เสนอเส้นทางผู้วิเศษให้เราเลือกจำนวนสองเส้นทาง หนึ่งคือ‘นักปราชญ์’ เป็นเส้นทางที่โบสถ์ครอบครองโดยสมบูรณ์ และอีกหนึ่งคือผู้ส่องความลับ แต่เส้นทางชนิดนี้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากโบสถ์ยึดสูตรผลิตโอสถมาจากนิกายมอสส์ที่ล่มสลาย”

 

“22 เมษายน เราตัดสินใจได้ไม่ยาก ต้องเลือกเป็นนักปราชญ์อยู่แล้ว เพราะมันคือเส้นทางที่สมบูรณ์ยังไงล่ะ

 

“หากเราหวังกลับโลกเก่า ด้วยพลังในตอนนี้คงไม่เพียงพอแน่ จำเป็นต้องพึ่งพาพลังจากตัวตนลึกลับภายนอก แต่เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า ตัวตนดังกล่าวจะมีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่ เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้

 

“ด้วยเหตุนี้ การจะกลับโลกเก่าอย่างปลอดภัยจึงเหลือหนทางเดียว คือการกลายเป็นผู้วิเศษระดับสูง และเส้นทางที่ง่ายที่สุดคือเส้นทางนักปราชญ์ที่โบสถ์มีครบถ้วน!”

 

“23 เมษายน เรากลายเป็นนักปราชญ์เต็มตัวหลังจากการดื่มโอสถ ไม่น่าเชื่อว่า ความรู้สมัยโลกเก่าหวนกลับมาทั้งหมดในทันที ไม่ว่าจะด้านฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา…”

 

“ไม่เพียงความทรงจำจะกลับมา แต่เรายังเข้าใจในบทเรียนที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน สามารถนำมาใช้งานและดัดแปลงได้ดั่งใจนึก! นี่เป็น‘อาชีพ’ที่เกิดมาเพื่อนักเดินทางข้ามโลกอย่างเราชัดๆ!

 

“กล้าพูดได้เต็มปากว่า หากเอาร่ายกายนี้กลับไปสอบเอนทรานซ์ใหม่ตอน ม.6 เราจะได้เข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแน่นอน แถมยังได้รับทุนเรียนดีในสาขาด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมทั้งหมด”

 

“26 เมษายน เราชื่นชอบการเป็นนักปราชญ์มาก และมีบางสิ่งที่น่าขบคิด เมื่อเราเริ่มแนะนำตัวเองกับคนอื่นว่าเป็นนักปราชญ์ รวมถึงปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นนักปราชญ์ เสียงกระซิบที่ดังในหัวเริ่มจางหายไป และการควบคุมอารมณ์สามารถทำได้ดีขึ้นมาก”

 

“หรือนี่จะเป็นการสวมบทบาทที่มิสเตอร์ซาราธหมายถึง? คงเป็นหลักสำคัญของการขจัดผลข้างเคียงโอสถสินะ”

 

เมื่อได้อ่านไดอารี ไคลน์เริ่มตระหนักว่าตนและจักรพรรดิโรซายมีหลายจุดที่แตกต่างกัน

 

ตัวอย่างเช่นการเดินทางกลับโลกเก่า

 

ไคลน์เลี่ยงที่จะเป็นผู้วิเศษระดับสูงเพราะเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ง่าย มันตัดสินใจใช้พิธีกรรมเวทมนตร์และพึงพาพลังตัวตนลึกลับในการกลับโลกเก่า แต่จะกระทำด้วยวิธีปลอดภัยที่สุด ดังนั้นการศึกษาศาสตร์เร้นลับให้ลึกซึ้งคือสิ่งจำเป็น

 

กลับกัน จักรพรรดิโรซายไม่คิดพึ่งพาพลังจากภายนอกโดยเด็ดขาด มันมุ่งเป้าไปที่การเป็นผู้วิเศษระดับสูงและใช้พลังของตัวเองเพื่อส่งตัวเองกลับโลกเก่า ถึงแม้ต้องเสี่ยงกับอาการคลุ้มคลั่งก็ตาม

 

พูดตามตรง มันอิจฉาคนที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ บางที อาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักอิจฉาในสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง

 

แต่แน่นอน ตัวมันก็ต้องหาทางพัฒนาความแข็งแกร่งควบคู่กันไป จะละทิ้งทางใดทางหนึ่งไม่ได้

 

ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ

 

คำอธิบายเกี่ยวกับการสวมบทบาทช่วยให้ไคลน์มั่นใจว่าทฤษฏีของตนถูกต้อง

 

มันวางกระดาษหนังทั้งสามแผ่นลงและมองไปทางจัสติสกับแฮงแมนด้วยรอยยิ้ม

 

“ต้องขอโทษด้วย อ่านเพลินไปหน่อย”

 

ออเดรย์พยายามระงับความอิจฉา หล่อนทำเพียงฉีกยิ้มกว้าง

 

“ดิฉันเข้าใจค่ะ และหวังว่าจะมีสักวันที่สามารถแลกเปลี่ยนเนื้อหาไดอารีกับท่านได้”

 

“ราคาไม่ถูกนะ”

 

ไคลน์ยังคงอมยิ้ม ก่อนจะชำเลืองสายตามองไปทางฝั่งแฮงแมนที่เงียบงัน

 

ออเดรย์นำมือสองข้างมาประสานไว้บนตักก่อนจะกล่าว

 

“มิสเตอร์ฟูล มิสเตอร์แฮงแมน ดิฉันมีบางเรื่องต้องการไต่ถาม หากพวกคุณต้องการสิ่งแปลกเปลี่ยน กรุณาบอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”

 

“ไม่มีปัญหา”

 

อัลเจอร์ตอบเต็มใจ

 

ไคลน์พยักหน้าและเอนหลังพิงพนัก

 

ออเดรย์ครุ่นคิดนานหลายวินาที

 

“คำถามข้อแรกคือ การสวมบทบาทหมายถึงสิ่งใดกันแน่? ดิฉันตระหนักว่าผลข้างเคียงของโอสถลดลงอย่างรวดเร็วในหลายวันที่ผ่านมา หรือจะเป็นเพราะดิฉันสวมบทบาทเป็นผู้ชมมาตลอด?”

 

อัลเจอร์ไม่กล่าว มันเพียงหันมองเดอะฟูลที่หัวโต๊ะคล้ายกับรอฟังคำตอบปากจากผู้เชี่ยวชาญ

 

มือข้างที่ไคลน์มักใช้เคาะโต๊ะ มันนำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูกกันสักพักก่อนจะมอบคำตอบ

 

“ขออธิบายด้วยการเปรียบเปรยเพื่อให้เห็นภาพ…

 

“สมมติให้พลังของโอสถคือปราสาทหลังใหญ่ที่ถูกอารักขาเข้มงวด ผลข้างเคียงด้านลบของโอสถคือเจ้าของปราสาทหลังดังกล่าว และตัวเราเป็นเพียงคนนอกหนึ่งเดียวซึ่งไม่มีใครช่วยเหลือ เป้าหมายคือการยึดครองปราสาทหลังนั้นมาเป็นของตัวเอง

 

“การยึดครองทำได้ด้วยสองวิธี หนึ่งก็คือ ใช้กำลังบุกเข้าไป แต่วิธีนี้ไม่รับประกันความสำเร็จ และเราอาจได้รับบาดเจ็บระหว่างลงมือ ต่อให้ครองปราสาทสำเร็จ แต่ร่างกายอาจบาดเจ็บยับเยิน จึงค่อนข้างแน่นอนว่า วิธีนี้ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ยึดครองปราสาท

 

“หนทางที่สองคือ การใช้บัตรเชิญเพื่อเข้าไปในปราสาทอย่างถูกต้อง เมื่อเข้าถึงแกนกลางสำเร็จ การลงมือจำกัดศัตรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวย่อมง่ายกว่า

“แต่ปัญหาคือ แขกที่สามารถเข้าไปด้านในจะต้องมีใบหน้าและลักษณะนิสัยตรงตามที่เขียนไว้ในบัตรเชิญเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องปลอมตัวเป็นแขกให้แนบเนียน องค์รักภายนอกจะได้ปล่อยให้ผ่านเข้าไป

 

“พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างหรือยัง?”

 

อัลเจอร์เอ่ยปากถามทันทีที่ไคลน์พูดจบ

 

“หมายความว่า คำบอกใบ้บนบัตรเชิญคือชื่อของโอสถสินะครับ?”

 

“ถูกต้อง”

 

ไคลน์ยืนยันหนักแน่น

 

ออเดรย์นั่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอเข้าใจความหมายของ‘สวมบทบาท’อย่างกระจ่างชัดจากคำอธิบายเมื่อครู่

 

หล่อนตะลึงจนหลุดจากภาวะผู้ชมที่รักษาอยู่นาน

 

“เป็นการอธิบายที่เห็นภาพชัดมาก! ด…ดิฉันคิดว่า ฉายาเดอะฟูลเหมาะสมกับตัวท่านแล้ว ทั้งวิธีการอธิบายอย่างชาญฉลาดและความลึกลับ…

 

“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการสวมบทบาทจะสำคัญขนาดนี้ โชคดีที่ทำตัวเป็นผู้ชมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา”

 

เธอชะงักครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ

 

“เป็นคำอธิบายที่มีค่ากับดิฉันมาก คงไม่สบายใจสักเท่าไรหากต้องรับมันไว้ฟรี

 

“มิสเตอร์ฟูลคะ ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนอย่างนั้นหรือ? แต่ดิฉันยังไม่ลืมว่าตัวเองยังคงติดหนี้ไดอารีจักรพรรดิโรซายกับท่านอยู่หนึ่งหน้า”

 

“เอาเป็นหน้าไดอารีเพิ่ม หรือไม่ก็…”

 

ไคลน์ชะงัก

 

ใจจริง มันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางนักทำนายมากกว่านี้ แต่การถามถึงโอสถระดับต่ำจะทำให้ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของเดอะฟูลเสื่อมเสีย ความคิดดังกล่าวคงต้องพับเก็บไว้ก่อน ค่อยหลอกถามทางอ้อมในวันหลัง

 

ตนเพิ่งเป็นผู้วิเศษได้ไม่กี่วัน ยังห่างไกลจากการ‘ย่อยพลังสมบูรณ์’อยู่มาก…

 

มันข่มใจและกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบเฉย

 

“ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลอันทีโกนัสทั้งหมด ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน… ถึงเราจะมีข้อมูลเกี่ยวกับมันค่อนข้างมากแล้วก็ตาม”

 

อัลเจอร์ก้มหน้าเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางหัวโต๊ะและกล่าว

 

“มิสเตอร์ฟูล… เกี่ยวกับตระกูลอันทีโกนัส ผมเชื่อว่า ผมสามารถจ่ายหนี้เก่าที่ติดค้างกับท่านได้ด้วยข้อมูลของพวกมัน”

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด