ราชันย์เร้นลับ 58 : ข้อสรุป
ราชันย์เร้นลับ 58 : ข้อสรุป
วันถัดมา เช้าวันจันทร์ที่สดใส
ไคลน์สามารถหยุดได้หนึ่งวันต่อสัปดาห์ และมันก็เลือกวันจันทร์ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องออกจากบ้าน
ส่วนเรื่องจดหมายถึงศาสตราจารย์โคเฮ็น ไคลน์ฝากฝังให้เมลิสซ่านำไปส่งแทน โดยมอบเงินติดตัวให้เธอเป็นค่าสแตมป์จ่าหน้าซอง
ที่ต้องไหว้วานเมลิสซ่าเพราะสำนักงานไปรษณีย์เมืองทิงเก็นอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเทคนิคทิงเก็นมากนัก
หลังอาหารมื้อเช้า ไคลน์ตัดสินใจนอนต่อเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ สาเหตุเพราะเมื่อคืนหักโหมทบทวนความรู้นานเกินไป
มันตื่นขึ้นอีกครั้งในยามบ่ายพร้อมกับเสียงท้องร้องคำราม
ชายหนุ่มประทังชีวิตด้วยการอุ่นขนมปังไรย์ที่เหลือจากมื้อค่ำเมื่อคืน จากนั้นก็คว้าหนังสือพิมพ์และเดินขึ้นไปถ่ายหนักที่ห้องน้ำชั้นสอง
ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ไคลน์ได้แต่ตัดพ้อเรื่องที่โลกยุคปัจจุบันปราศจากโทรศัพท์มือถือ
แต่ถึงจะมี… ก็ไม่มีอินเทอร์เน็ตอยู่ดี
หลังจากผ่านไปเจ็ดถึงแปดนาที ไคลน์ทำธุระส่วนตัวเสร็จและล้างมือ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอนพร้อมกับล็อคประตู
ชายหนุ่มรูดม่านในห้องปิดมิดชิดและเริ่มจุดโคมไฟแก๊ส จากนั้นก็นั่งเข้าฌานเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ตลอดครึ่งชั่วโมง มันฝึกฝนเนตรวิญญาณ ทำนายลูกตุ้ม และทำนายแท่งวิญญาณให้เกิดความช่ำชอง
จากนั้นก็ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มทบทวนความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับชนิดใหม่ๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถัดมาเป็นการฝึกฝนพิธีกรรมเวทมนตร์ที่ลุงนีลล์สอน มันขยำกระดาษหนังสือพิมพ์ให้เป็นก้อนกลมและเขียนลงไปว่า ‘เทียนไขบุปผาจันทรา’ กับ ‘น้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง’ จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างละเอียด
ไคลน์ไม่ต้องการประกอบพิธีกรรมจริง เพราะนั่นถือเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุและอาจนำภัยอันตรายมาสู่ตัว
มันฝึกพิธีกรรมเวทมนตร์ซ้ำไปมาจนกระทั่งหยิบนาฬิกาพกสีเงินลายใบองุ่นออกมาเปิดฝาตรวจสอบ
อีกสิบห้านาทีจะบ่ายสาม
ไคลน์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะนำก้อนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้ฝึกประกอบพิธีกรรมลงไปเผาทิ้งที่ถังขยะชั้นล่าง
ระหว่างเดินกลับขึ้นมา ชายหนุ่มพยายามสงบจิตใจเพื่อให้พร้อมสำหรับชุมนุมไพ่ทาโร่ต์ที่กำลังจะมีขึ้น
เมื่อตรวจสอบเวลาอีกครั้ง ไคลน์ไม่รอให้บ่ายสามตรงค่อยเริ่มลงมือ มันมีแผนจะเข้ามิติสายหมอกไปเตรียมตัวล่วงหน้า
คิดว่าวันนี้จะลองเดินสำรวจให้รอบ
ขณะกำลังยืนใจกลางห้องและเตรียมเดินทวนเข็มนาฬิกาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่ง…
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจัสติสกับแฮงแมนถูกรบกวนขณะร่วมชุมนุม?
มันเคยกล่าวกับทุกคนไปแล้วว่า ผู้ร่วมชุมนุมสามารถ‘กลับ’ก่อนได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแค่บอก ตนจะส่งกลับทันทีโดยไม่ลังเล
แต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่สะดวกนัก เนื่องจากจิตของผู้ร่วมชุมชุมต้องถูกอัญเชิญขึ้นมายังมิติสายหมอกชั่วขณะ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ตรงนี้สามารถทำให้อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากได้
ไคลน์ครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหาอยู่นาน
มันพยายามหาทางทำให้ชุมนุมไพ่ทาโร่ต์มีระบบคล้ายกับโลกอินเทอร์เน็ต ที่สามารถฝากข้อความทิ้งไว้ได้หากติดธุระจำเป็นกระทันหัน
ทว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่กระทำเช่นนั้นบนโลกปัจจุบันซึ่งเทคโนโลยีสื่อสารล้ำสมัยที่สุดเป็นโทรเลข
แต่เมื่อมีความรู้ด้านพิธีกรรมเวทมนตร์มากขึ้น มันเริ่มเกิดไอเดียแปลกใหม่
“พิธีกรรมเวทมนตร์ช่วยให้ผู้วิเศษสามารถหยิบยืมพลังจากตัวตนลึกลับได้… การท่องคาถาอัญเชิญซ้ำเดิมจะทำให้พิธีกรรมชี้เป้าไปยังตัวตนลึกลับเดิมๆ เสมอ เฉกเช่นที่ลุงนีลล์เลือกยืมพลังจากเทพธิดารัตติกาลทุกครั้ง
“ด้วยเหตุนี้ จึงหมายความว่า หากท่องคาถาอัญเชิญโดยขานชื่อตัวตนอื่น ก็สามารถติดต่อกับตัวตนลึกลับอื่นได้เช่นกัน
“เช่นนั้นแล้ว เราสามารถท่องคาถาอัญเชิญระบุถึงตัวเองได้หรือไม่?
“ใช่แล้ว… หาตัวเราโดยตรง
“ด้วยวิธีนี้ จัสติสและแฮงแมนสามารถประกอบพิธีกรรมเวทมนตร์และส่งข้อความมาถึงเดอะฟูลในมิติสายหมอกได้”
หลังจากศึกษาพิธีกรรมเวทมนตร์อย่างลึกซึ้งจากลุงนีลล์ ไคลน์เชื่อมั่นว่าวิธีนี้มีโอกาสสำเร็จสูง
“มีจุดยากอยู่สองข้อ หนึ่งคือ เราไม่ใช่ตัวตนลึกลับที่ทรงพลัง แม้พวกเขาจะส่งข้อความหาเราได้ แต่ตัวเราจะไม่ได้รับ‘คำขอร้อง’ดังกล่าว”
“และสองคือ เราจะพิสูจน์อย่างไรว่าคาถาเอ่ยถึงตัวเราจริง? หากให้จัสติสและแฮงแมนท่องมั่วซั่ว ข้อความอาจถูกส่งไปถึงตัวตนลึกลับอื่นที่มีลักษณะตรงตามคาถาแทน… แบบนั้นไม่ดีแน่”
ไคลน์เดินวนเวียนไปมาใจกลางห้องพลางครุ่นคิดหาวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุด ขณะเดินเป็นวงกลมด้วยฝีเท้าเงียบงัน มันนึกถึงความพิเศษของมิติสายหมอกขึ้นมาได้
“จริงด้วย… ถึงตัวเราจะรับข้อความไม่ได้ แต่ถ้าเป็นมิติสายหมอกต้องรับได้แน่ มันมีพลังมากขนาดดึงจิตมนุษย์มาจากส่วนใดของโลกก็ได้
“ถ้าเราให้จัสติสและแฮงแมนท่องคาถาที่สื่อถึงมิติสายหมอกโดยแฝงชื่อเราไว้ด้วย…
“สรุปก็คือ ต่อให้เราไม่ได้รับ‘ข้อความ’ในทันทีหลังจากทั้งสองคนประกอบพิธี แต่เมื่อไรที่เรากลับเข้ามิติสายหมอก ข้อความดังกล่าวก็จะถูกส่งมาถึง
“อธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ… ระบบฝากข้อความในตอนที่เราตัวออฟไลน์”
ไคลน์เริ่มตื่นเต้น มันต้องการทดสอบสมมติฐานให้กระจ่าง
“หืม… แล้วต้องเป็นคาถาแบบไหน? พิธีกรรมถึงชี้เป้าไปยังมิติสายหมอกและตัวเราพร้อมกันได้”
ไคลน์เริ่มลงลึกรายละเอียด
มีอยู่หนึ่งคาถาที่ได้ผลแน่นอน นั่นคือการเอ่ยถึง‘เซียนราชันย์ฟ้าดินประทานโชค’เป็นภาษาโลเอ็น แต่ปัญหาคือ หากให้จัสติสและแฮงแมนท่องเช่นนั้น ไคลน์จะสูญเสียการเป็นเจ้าของมิติสายหมอกทันที บทบาทหัวหน้าใหญ่ชุมนุมไพ่ทาโร่ต์ก็จะจบลง
หรือใช้‘เดอะฟูลจากต่างโลก’ดีไหม?
ไม่ดีแน่ ตรงเกินไป บนโลกปัจจุบันอาจไม่มีใครเดินทางข้ามโลกเหมือนตนอีกแล้ว และนั่นจะเป็นการเผยความลับสำคัญโดยไม่จำเป็น…
ไคลน์พยายามคิดหาคาถาอีกหลายแบบ แต่มันก็ปฏิเสธทิ้งทั้งหมด
ผ่านไปเจ็ดถึงแปดนาที ในที่สุดชายหนุ่มก็คิดท่อนแรกของคาถาได้
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”
แน่นอน แค่นี้คงยังสื่อถึงตนได้ไม่แม่นยำมากพอ มันรีบเสริม
“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา”
แล้วก็…
ไคลน์เงียบงันราวหนึ่งนาทีก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้าย
“ราชันย์เหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
ในภาษาจีนกลาง สีเหลืองหมายถึงดิน และสีดำหมายถึงฟ้า ขณะสวดที่โลกเก่า คาถาดั้งเดิมภาษาจีนจะหมายถึงฟ้าดิน แต่ถ้าแปลงเป็นภาษาโลเอ็นจะต้องพูดว่าเหลืองดำให้เหมือนต้นฉบับ
ประโยคสุดท้ายมีไว้สำหรับเรียกมิติสายหมอก อันที่จริง คาถานี้ไม่ได้เรียกตรงไปยังมิติสายหมอกโดยสมบูรณ์ เนื่องจากมิติสายหมอกของแท้ต้องกล่าวถึงสี่ประโยค ดังนั้น สองประโยคแรกไคลน์จึงกำกับไว้เพื่อให้หมายถึงตัวไคลน์
ถึงไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าคาถาบทนี้จะชี้เป้าไปยังตนและมิติหมอกเทา แต่ไคลน์ก็มั่นใจว่าไม่มีทางหมายถึงตัวตนลึกลับอื่นได้แน่ ฉะนั้น มิสจัสติสและมิสเตอร์แฮงแมนสามารถประกอบพิธีกรรมได้อย่างปลอดภัย
ไคลน์ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ก่อนจะท่องคาถาที่มันคิดค้นขึ้นเอง
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันย์เหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”
ไคลน์พยักหน้าพึงพอใจพร้อมกับหยิบนาฬิกาพกสีเงินออกมาตรวจสอบ
“อีกสองนาทีจะบ่ายสาม…”
ไม่คิดให้วุ่นวาย ไคลน์เก็บนาฬิกากลับและเริ่มเข้าฌาน จากนั้นก็เดินทวนเข็มนาฬิกาเป็นทรงสีเหลี่ยมจัตุรัส
เสียงกระซิบแหบพร่าดังขึ้นตามนัดหมาย ศีรษะปวดแปลบรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้งดื่มโอสถนักทำนาย
นี่มิใช่ความปวดจากการถูกกรีดเฉือน แต่เป็นความปวดคล้ายกับถูกบีบรัดซึ่งทำให้จิตใจคลุ้มคลั่งและสับสน
ไคลน์พยายามรักษาฌานไว้และไม่แยแสต่อเสียงลึกลับ
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงกระซิบเบาลงทุกขณะ คล้ายคลึงกับคลื่นซาที่ซัดผ่าน ร่างกายกำลังเบาหวิว จิตเริ่มมองเห็นล่องลอย
มิติสายหมอกไร้สิ้นสุดปรากฏเบื้องหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือสองดาวแดงซึ่งห่างออกไปในระยะไม่เท่ากัน ราวกับมีนัยน์ตาสีแดงคู่หนึ่งกำลังจ้องมอง
ฉากรอบตัวยังคงเหมือนเดิม พระราชวังหรูหราอลังการขนาดมหึมาราวกับให้ยักษาอาศัย สภาพเก่าแก่ประหนึ่งมีอายุนับล้านปี
เพียงแค่คิด ร่างจิตไคลน์ก็หายไป และโผล่อีกครั้งบนตำแหน่งหัวโต๊ะจากเก้าอี้พนักสูงที่วางเรียงรายจำนวน 22 ตัว
“ผลของพิธีกรรมเหมือนเดิมทุกครั้ง…”
ไคลน์พึมพำพลางใช้นิ้วแตะหว่างคิ้วสองหนเพื่อเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ ขณะเดียวกันก็จิตนาการให้หมอกรอบกายหนาและเข้มข้นขึ้น
จากคำอธิบายของแฮงแมน หากจัสติสกลายเป็น‘ผู้ชม’เต็มตัว สายตาของเธอจะเฉียบแหลมมากกว่ามนุษย์ปรกติหลายเท่า การไม่ประมาทไว้ก่อนคงดีกว่า
ไม่มีเวลามากพอให้เดินสำรวจรอบ ไคลน์รีบเปิดการเชื่อมต่อระหว่างดาวแดงสองดวงที่คุ้นเคยทันที
…
เหนือคลื่นสมุทรสุดบ้าคลั่งของทะเลโซเนียร์ เรือไม้ลำโบราณกำลังแล่นผ่านไปอย่างไม่โคลงเคลงด้วยความช่วยเหลือจากสายลม
อัลเจอร์·วิลสันยืนยันให้แน่ใจว่าเรือวิญญาณลำนี้อยู่ในสถานะปลอดภัยสูงสุด ก่อนจะขังตัวเองมิดชิดภายในห้องกัปตัน
มันเปิดนาฬิกาพกเพื่อยืนยันเวลาขณะทิ้งตัวลงนอนข้างเครื่องวัดระยะทางที่ทำจากทองเหลือง ทุกการขยับของเข็มวินาทีได้บีบเค้นหัวใจอัลเจอร์ให้ตึงเครียด
เมื่อเข็มชั่วโมง เข็มนาที และเข็มวินาทีบ่งบอกเวลาบ่ายสามโมงตรง เบื้องหน้าอัลเจอร์เกิดระเบิดแสงสีแดงเข้มโดยไม่สนใจระบบป้องกันที่มันวางไว้หลายชั้นรอบเรือและรอบตัวเอง
เฮ่อ…
เสียงถอนหายใจยาวดังสะท้อนทั่วห้องกัปตัน
กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี
ออเดรย์·ฮอลล์ทิ้งตัวลงนอนบนหมอนขนนกอ่อนนุ่มพลางชำเลืองสายตามองแผ่นกระดาษสีเหลืองในมือ ดวงตาของเธอกำลังส่องประกายตื่นเต้นคล้ายกับวิญญาณสองดวงเคลื่อนไหววูบวาบ
สีหน้าของเด็กสาวกำลังคาดหวัง ประหนึ่งพ่อและแม่สัญญาว่าจะพาไปสวนสนุก
ทันใดนั้น แสงสีแดงเข้มเริ่มสาดส่องอาบร่าง ออเดรย์นอนสงบนิ่งขณะถูกดูดกลืนเข้าไปในห้วงมิติอื่นไกล
…
เหนือมิติสายหมอก ภายใต้โดมหลังคาของพระราชวังหรูหราและโอ่อ่า ใจกลางห้องมีโต๊ะทองแดงยาวซึ่งปรากฏรอยขีดข่วนจางๆ หลายจุด
ไคลน์ที่เข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณอยู่ก่อนแล้ว มันชำเลืองมองร่างของออเดรย์·ฮอลล์ที่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปทรงชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ประหลาดใจนักเมื่อเห็นสีออร่าของเธอกลมกลืนอย่างลงตัว นับเป็นแสงที่บริสุทธิ์และเงียบสงบดุจดังน้ำนิ่งในทะเลสาปสะอาดกระจ่างใส
เธอกลายเป็นผู้วิเศษเต็มตัวแล้ว…
ขณะกำลังจะหันไปสำรวจแฮงแมน ไคลน์เหลือบเห็นตราสัญลักษณ์บนพนักพิงเก้าอี้ตัวที่ออเดรย์นั่งประจำเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
จากดาวแดงกลายเป็นภาพสัญลักษณ์ทางจักรราศีชนิดหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกับโลกเก่า
ไคลน์เพิ่งเรียนมาไม่นาน มันจึงยังจำแม่น
นั่นคือจักรราศี‘มหามังกร’
เส้นทาง‘ผู้ชม’คือมหามังกรอย่างนั้นหรือ?
ไคลน์พยายามสงบท่าทีเพื่อไม่ให้ทั้งสองผิดสังเกตุ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่พนักพิงของแฮงแมนบ้าง
ในทางทฤษฏี ไคลน์ไม่มีทางมองเห็นพนักพิงได้เลยหากมีคนนั่งอยู่ แต่มิติสายหมอกแห่งนี้อยู่ในการควบคุมของมัน เรื่องดังกล่าวจึงไม่เกินความสามารถ
ตราสัญลักษณ์ของแฮงแมนยังมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ แต่เมื่อก่อนไคลน์ยังขาดความรู้และไม่ทราบถึงความหมายของตราจักรราศีชนิดนี้
“พายุ”
หืม…
เส้นทางกะลาสี หรือชื่อเดิมคือผู้พิทักษ์ท้องทะเล… หมายถึงจักรราศีพายุสินะ?
ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว
เดี๋ยวก่อน… แล้วสัญลักษณ์พนักพิงเก้าอี้เราล่ะ เป็นจักรราศีใดกัน?
ทว่า ไคลน์ไม่แสดงพฤติกรรมน่าละอายด้วยการหันหลังไปมอง มันตัดสินใจเหยียดแขนเคาะโต๊ะพร้อมกับอมยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีด้วย มิสจัสติส กลายเป็นผู้วิเศษจนได้สินะ”
เขาสามารถบอกได้ทันทีเลยหรือ? ออเดรย์ผงะเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตอบ
“ขอบคุณค่ะ มิสเตอร์ฟูล แล้วก็ขอบคุณมากเช่นกัน มิสเตอร์แฮงแมน”
“เร็วกว่าที่ผมคิดมากเลยนะ”
อัลเจอร์·วิลสันกล่าวจากใจ
ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม มันแอบแตะหว่างคิ้วสองครั้งพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“คุณสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี มีใครพบไดอารีของจักรพรรดิโรซายบ้างหรือไม่?”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/