เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0024
ตอนที่ 24 : ตีบตัน
ฉินหยุนตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่มุมขอบของลานประลอง ขณะที่ซุยฮ่วยกำลังยืนอยู่ที่ตรงกลางลาน
เขาตอนนี้กำลังมองซุยฮ่วยพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ถึงตอนนี้เขาพลันพุ่งตัวเข้าหาด้วยก้าวอัคคีเมฆาที่พัฒนาขึ้นระหว่างการทดสอบรอบก่อน
ก้าวอัคคีเมฆาสามารถสร้างแรงปะทะรุนแรงได้เมื่อพุ่งเข้าชนใส่ผู้อื่น หากผสานรวมเข้ากับวิชายุทธ์อื่นเพื่อเข้าโจมตี พลังอำนาจของมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวี
ฉินหยุนผู้ซึ่งกำลังใช้ก้าวทะยานเมฆพุ่งออกตัว ทั้งร่างของเขาตอนนี้เปี่ยมไปด้วยพลังปราณ นี่ประหนึ่งมังกรหรือไม่ก็พยัคฆ์ร้าย เขาในตอนนี้เผยซึ่งความคุกคาม!
“เป็นก้าวทะยานเมฆของก้าวอัคคีเมฆาจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้” เมื่อผู้อำนวยการจางได้เห็น เขาก็อดอึ้งทึ่งระดับหนึ่งไม่ได้ ทว่าก็มีเพียงเขาที่เห็นความจริงนี้
ขาของฉินหยุนกำลังแผ่กระจายคลื่นอากาศขณะการทะยานตัวส่งเสียงกู่ร้องประหนึ่งมังกรคำราม!
เมื่อซุยฮ่วยได้เห็น นางเพียงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง แต่ขณะที่นางคิดเย้ยหยันอีกฝ่าย ความเร็วของฉินหยุนกลับเพิ่มขึ้น เพียงพริบตา เขาก็โผล่พรวดตรงหน้านางแล้ว!
วูบ!
ฉินหยุนต่อยหมัดออกกระชากสายลมจนเกิดเสียงหวีดหวิวขึ้น พลังอำนาจอันชวนสะพรึงนี้ปะทะเข้าที่หน้าท้องของซุยฮ่วย!
ด้วยเหตุนี้ ซุยฮ่วยที่ประมาทจนเกินไปจึงไม่อาจป้องกันตนเองได้ทัน
นางคิดว่าชั่วขณะที่ฉินหยุนจะเข้าโจมตี สามารถเรียกใช้พลังภายในเพื่อต้านทานด้วยปริมาณที่สามารถสะท้อนพลังนั้นกลับไปได้อย่างทันท่วงที หากนางใช้ให้ดี นางจะถึงขั้นสามารถผลักอีกฝ่ายให้ปลิวกระเด็นได้
แต่แล้ว นางไม่คิดเลยว่าฉินหยุนจะรวดเร็วถึงเพียงนี้!
ขณะที่นางตื่นตะลึงชั่ววูบ ซุยฮ่วยก็รู้สึกได้ถึงอากาศร้อนแรงที่กำลังปะทุตรงหน้าท้องของนาง!
“อั่ก!”
ซุยฮ่วยส่งเสียงร้องรุนแรงออกมาคำหนึ่งก่อนร่างนั้นจะปลิวหลุดลอยออกไปนอกลานประลอง กระนั้นนางก็ยังตั้งตัวไม่ทันจนต้องล้มไปกองกับพื้นด้านล่าง
หลังผู้ชมการประลองเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็ส่งเสียงร้องฮือฮา!
ซุยฮ่วยถึงกับกระเด็น!
เรื่องนี้เกินกว่าที่ใครคาดคิดเอาไว้แล้ว!
“ขอบคุณอาจารย์ซุย!” ฉินหยุนส่งเสียงดังขึ้นทำลายความเงียบ นี่ถือเป็นการดึงสติทุกคนให้กลับคืน
ขอบคุณหรือ?
ทุกคนต่างกล้าพูดว่าซุยฮ่วยเกลียดชังฉินหยุนลึกถึงกระดูกดำ นางจะยอมอ่อนข้อให้ได้อย่างไร?
ซุยฮ่วยพูดไม่ออกเพราะโกรธจัด เล็บของนางแทบจิกจนพื้นหินแตกได้หากกระทำ แต่ก็ได้เพียงแค่ทิ้งร่องรอยขีดข่วนเอาไว้เล็กน้อย!
“ฉินหยุนผ่านการทดสอบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้สิทธิ์เข้าร่วมบนลานประลองยุทธ์ในอีกห้าวัน” ผู้อำนวยการจางหันมองฉินหยุนด้วยสายตาเป็นประกายอย่างประหลาด มันเต็มไปด้วยความชื่นชม
ฉินหยุนรับเม็ดยาพลังธาตุชั้นเลิศอีกหนึ่งเม็ดมาครอบครองก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสให้ได้เห็น
“ต่อให้มันมีเม็ดยาเช่นนั้นสักสิบเม็ด กับคนที่มีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งมันช่างไร้ค่า ที่มันทำได้ก็แค่ดูดกลืนพลังของเม็ดยาราวหนึ่งในสิบ!” เว่ยเสวียนคุนกล่าวด้วยความเดียดฉันท์ ทว่าดวงตานั้นเปี่ยมด้วยความอิจฉาจนตาร้อนผ่าวแล้ว
“พี่คุน ท่านนั้นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศกว่ามันเยอะ ท่านกระทั่งเป็นว่าที่ปรมาจารย์จารึกที่ยิ่งใหญ่” เยี่ยนหยุนกล่าวกระซิบ “ท่านต้องสอนบทเรียนให้ไอ้จอมอวดดีผู้นี้ในการประลองยุทธ์”
“ข้าทำแน่!” เว่ยเสวียนคุนกล่าวเย็นเยียบ ดวงตาของเขาถึงกับเผยประกายแสงอันชั่วร้าย
หยางฉีเย่ว์ตอนนี้กำลังพูดคุยพลางหัวเราะร่วมกับฉินหยุนขณะเดินออกจากหอราชสีห์สวรรค์ เพียงไม่นานทั้งสองก็กลับไปยังบ้านพักในป่าไผ่ที่เงียบสงบ
“กินเม็ดยาพลังธาตุชั้นเลิศนี้ก่อน จากนั้นค่อยเรียนรู้หมัดอ่อนเปลวเพลิง ความสามารถในการรู้และเข้าใจของเจ้าค่อนข้างสูง ดังนั้นภายในห้าวันน่าจะได้เรื่องราว ข้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสไม่น้อยเลยที่จะได้อันดับหนึ่งของการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์ครั้งนี้!” หยางฉีเย่ว์กล่าวทั้งน้ำเสียงเชื่อมั่นต่อฉินหยุน
“แม้พลังปราณของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าจะเหนือกว่าเจ้า แต่เจ้าก็มีวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงที่สามารถสร้างถมความแตกต่างตรงนั้นได้ ภายหลังกินเม็ดยาพลังธาตุและขัดเกลามัน ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะช่วยให้เจ้าเชี่ยวชาญวิชายุทธ์มากขึ้น”
หยางฉีเย่ว์ค่อนข้างตื่นเต้นไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว หากฉินหยุนชนะได้อันดับแรกในการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์ เขาจะได้ถือครองตำแหน่งเด็กใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดของประวัติศาสตร์สถาบันยุทธ์ฮัวหลิง!
หากฉินหยุนสามารถได้รับอันดับแรกและได้เข้าสู่สระราชสีห์สวรรค์ พละกำลังของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนจนถึงอีกระดับหนึ่งเลยทีเดียว!
ขณะนางคิดเช่นนี้ ภายในใจของนางก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างเปี่ยมล้น!
ฉินหยุนเองก็ยินดีไม่น้อยที่ได้เห็นหยางฉีเย่ว์อารมณ์ดี เพราะแบบนั้นเขาจึงอารมณ์ดีด้วยขณะกล่าวว่า “อาจารย์ขอรับ ท่านช่วยข้าหาตำราที่เกี่ยวข้องกับผังวิญญาณได้หรือไม่? ข้าอยากที่จะมีความรู้ความเข้าใจในการแกะสลักให้มากขึ้น!”
หยางฉีเย่ว์พลันปล่อยเสียงลมหายใจยาวและกล่าวตอบ “ความสามารถในการรู้และเข้าใจของเจ้าสูงยิ่ง หากได้ใครสักคนชี้แนะ เจ้าต้องได้กลายเป็นปรมาจารย์จารึกแน่ แต่เรื่องนี้น่าเสียดายแล้ว อาจารย์จารึกหาตัวได้ยากยิ่ง และยิ่งผู้ที่เป็นเลิศล้วนนับเป็นบุคคลระดับสมบัติของชาติ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายถ่ายทอดต่อคนนอก สำหรับตอนนี้ ข้าไม่มีหนทางช่วยเจ้าเรียนรู้เรื่องการแกะสลักเลย”
ฉินหยุนยังคงยิ้มอย่างสงบ “อาจารย์อย่าได้กังวล ข้ายังหนุ่มยังแน่น ในอนาคตจะต้องมีโอกาสอย่างแน่นอน”
หยางฉีเย่ว์พยักหน้ารับและกล่าว “ใช่แล้ว เรื่องพวกนี้ก็ต้องใช้โชคและเวลาด้วยเช่นกัน! ไว้ข้าไปหาตำราเกี่ยวข้องกับการแกะสลักให้ แบบนั้นเจ้าน่าจะพอศึกษาด้วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง”
หลังนางกล่าวจบคำ นางจึงออกไปเพื่อเตรียมหยิบยืมตำราการแกะสลักผังวิญญาณ
ทางด้านฉินหยุน เขากลับเข้าห้องก่อนจะกลืนเม็ดยาพลังธาตุเข้าไปและเริ่มการฝึกฝน
ระหว่างการขัดเกลาพลังเม็ดยา เขานึกย้อนถึงความรู้ความเข้าใจอย่างฉับพลันต่อก้าวทะยานเมฆ กระทั่งว่าเป็นตอนนี้ เขาก็ยังไม่ทราบว่าเมื่อคราวนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
“หรือจะเป็นเพราะพลังวิญญาณที่ฝึกฝนจากเก้าตะวันทำให้มีความสามารถรู้และเข้าใจระดับสูง?” ฉินหยุนรู้สึกว่าคำอธิบายนี้เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ตนเองเชื่อได้
เมื่อเขาเรียนรู้เคล็ดวิชายุทธ์ ตราบเท่าที่มีใครสักคนชี้แนะสักเล็กน้อย เขาจะสามารถผสานรวมกับมัน และเข้าใจด้วยตัวเองได้ ถึงตอนนั้นความยากอันลึกล้ำจะกลายเป็นกระจ่างชัดและโปร่งแสงทีละน้อย
บางครั้ง คนผู้หนึ่งก็สามารถรู้แจ้งเรื่องหนึ่งทันทีเมื่อเข้าใจแก่นสาร
“ตอนนี้สิ่งสำคัญคือขัดเกลาเม็ดยาพลังธาตุ!” ฉินหยุนเลิกสนใจเรื่องดังกล่าวขณะมุ่งหน้าเก็บเกี่ยวพลังจากเม็ดยา
หลังการฝึกฝนวิชาหยางสีดำสำเร็จ เขาจึงสามารถดึงดูดพลังของเม็ดยาได้เร็วยิ่ง เพียงแค่ช่วงกลางวัน เม็ดยาพลังธาตุก็ถูกขัดเกลาโดยสมบูรณ์แล้ว
เม็ดยาพลังธาตุบรรจุพลังวิญญาณเอาไว้มากกว่าเม็ดยาปราณถึงสิบเท่า กระนั้นแล้วมันก็ยังไม่คล้ายจะส่งสัญญาณเรื่องการก้าวข้ามขอบเขตให้เขาได้เห็น
เขาใช้พลังวิญญาณเข้าตรวจสอบพลังภายในของไฟสีทองม่วงในตันเถียน เขาจึงพบ ว่าพลังภายในตันเถียนของตนแทบเต็มเปี่ยมและใกล้เข้าถึงการทะลวงขอบเขตแล้ว
“พลังธาตุแห่งที่สองเจออาการตีบตัน! ไว้อาจารย์หยางกลับมา ค่อยถามว่าหัวใจหลักของการก้าวสู่ระดับห้าคืออะไรก็แล้วกัน” ฉินหยุนตัดสินใจนำเม็ดยาพลังธาตุที่สองเข้าปาก
ก่อนหน้า เม็ดยาพลังธาตุนี้ถูกดูดกลืนโดยพลังธาตุสั่นไหว แต่ตอนนี้เม็ดที่เพิ่งนำเข้าปากจะถูกใช้เพื่อพลังธาตุไฟ
หลังฉินหยุนกินเม็ดยาที่สอง เขาขมวดคิ้วแน่นและพึมพำกับตัวเอง “เหมือนเมื่อกี้เลยนี่! แล้วแบบนี้จะผ่านอาการตีบตันตรงนี้ได้อย่างไร?”
เขาเลือกส่ายหน้าขณะตัดสินใจไม่คิดเรื่องนี้ชั่วคราว ก่อนเร่งรีบไปชำระกายให้เรียบร้อย
เพียงไม่นานเมื่อเขาออกมาจากห้อง จึงได้เห็นตำราค่อนข้างโบราณจนกระดาษเหลืองวางไว้บนโต๊ะเต็มห้องโถงของบ้าน
หยางฉีเย่ว์กลับมาแล้ว ทั้งยังช่วยเขานำตำราโบราณที่มีภูมิความรู้เรื่องการแกะสลักผังวิญญาณมาด้วย
“เม็ดยาพลังธาตุทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง?” หยางฉีเย่ว์เอ่ยถาม
ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว นางก็เพิ่งไปชำระกายมาเช่นกัน ชุดที่นางสวมใส่... ทั้งบาง และเป็นสีชมพู ไหล่และแขนของนางปกคลุมเอาไว้ด้วยแพรไหมบางเบาจนแทบใส ชุดชั้นในสีดำปกคลุมหน้าอกของนางสามารถเห็นได้ชัดเจน เรื่องนี้ทำเอาเขาอดคิดไม่ได้ว่านางวาบหวามและยั่วยวนเหลือล้ำ
หัวใจเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีเช่นฉินหยุนถึงกับเต้นระรัวเมื่อได้เห็น หลังสงบใจเพียงวูบ เขาจึงเอ่ยคำ “ข้าเจออาการตีบตันขอรับ พลังธาตุไม่คล้ายจะดูดกลืนหรือขัดเกลาพลังไปได้มากกว่านี้ มันเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับมันต่อดีเช่นกัน!”
กล่าวจบ เขาจึงหยิบตำราโบราณพวกนั้นออกมาอ่านอย่างจริงจัง
“เจ้าต้องหาทางเพิ่มพูนวิชาฝึกฝนพลังธาตุ สำหรับวิชาหยางสีดำที่สำเร็จถึงขั้นกลาง เจ้าควรฝึกให้เชี่ยวชาญมากกว่านี้ จากนั้นพลังธาตุของเจ้าจะสามารถดูดกลืนพลังได้มากขึ้น” ดวงตาของหยางฉีเย่ว์ไหววูบขณะกล่าวต่อ “หากเป็นสถานการณ์ปกติ เคล็ดวิชาฝึกฝนพลังขั้นกลางสมควรทำให้เข้าก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าได้แล้ว ถ้าจะมีเหตุผลที่เจ้าไม่สามารถเลื่อนระดับได้ ก็คงเป็นเพราะวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง”
ฉินหยุนพยักหน้ารับ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เป็นเพราะเขาครอบครองวิญญาณยุทธ์ถึงสอง เท่ากับว่ามีพลังธาตุถึงสองแห่ง มันจึงเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถเลื่อนระดับ