บทที่ 189 - เส้นทางที่ฉันเลือกเดิน (6) [13-08-2019]
บทที่ 189 - เส้นทางที่ฉันเลือกเดิน (6)”
"ยูนา ยูนาเธอไม่เป็นไรนะ?"
"ว้าว ถ้านายเป็นแบบนี้ตลอดฉันตกหลุมรักนานไปนานแล้วแน่เลย"
ยูอิลฮานได้เรียกเธอซ้ำๆเพราะกลัวว่าเธออาจจะหายไป แต่ว่าคนที่ถูกเรียกก็ยังคงใจเย็นอยู่
"ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้กำลังจะตายซะหน่อย"
"เธอหมายความว่ายังไง นี่มันคืออะไร..."
"วงเวทย์นั่นนะมันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลสร้างอันตรายกับโลกเราตรงๆ มันดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรกับตัวโลกเองด้วยซ้ำแต่กลับเป็นตัวบุคคลบนโลกต่างๆหาก"
"มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับในตอนที่ฉันกำลังไปเบร์ย่า แต่ว่ามันต่างกันกับตอนที่ฉันตั้งใจไปเอง นี่มันรู้สึกเหมือนว่าฉันถูกบังคังให้ต้องไปที่เบร์ย่า"
"บังคับ? ใครกันล่ะ?"
"ใครจะไปรู้ล่ะ~ บางทีอาจจะเป็นโลกก็ได้นะ ที่ฉันกลับคือฉันคิดว่าฉันจะกลับมาไม่ได้เมื่อฉันถูกส่งไปแล้ว"
นายูนาได้ตอบกลับมาแบบขำๆแตว่ายูอิลฮานขำไม่ออกเลย เพื่อที่จะเข้าใจในสถานการณ์เขามีข้อเท็จจริงน้อยเกินไป
"มันดูเหมือนว่าคนอื่นๆทุกๆคนก็จะถูกโลกนี้ขับไล่เหมือนฉันแหละ ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวโลกนี้ปฏิเสธตัวฉัน คำสาปนี่... ฉันกำลังลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาเรย์น่า แต่.... ให้ตายสิ มันไม่ได้ผลได้ ฉันทำอะไรกับคำสาปนี่ไม่ได้เลย"
นักบวชที่มีศักยภาพที่สุดบนโลกอย่าได้ยอมแพ้สิ! ยูอิลฮานได้จับเธอไว้แน่น แต่ก็ไม่ได้ช่วยหยุดปรากฏการณ์ในครั้งนี้ได้เลย เขาได้ยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก แต่ว่านายูนาก็ไม่อาจจะเข้าใจในสิ่งที่เขาจะรู้สึกได้เลย
"ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ในตอนที่เราได้สอบปากคำของคนที่ติดตั้งวงเวทย์ในลานปาส ฉันได้ยินพวกนั้นบอกว่าทูตสวรรค์ได้บอกให้คนพวกนี้ 'เพื่อนพรรคพวกขึ้น' ได้ด้วยการไปที่โลกอื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ตอนนั้นพวกเขาคิดได้แต่ว่าการทำแบบนั้นหมายถึงการติดตั้งวงเวทย์ให้ได้มากขึ้น แต่ว่านั่นมันพลาดแล้ว พวกเราควรจะคิดให้รอบคอบกว่านี้..."
[... งั้นนี่คือการแพร่เชื้อสินะ]
หลังจากได้ยินเรื่องนี้เลียร่าก็ดูจะรู้ตัวแล้วเหมือนกัน เธอได้อธิบายเพิ่มออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
[วงเวทย์พวกนั้นมันไม่ได้อยู่ในเหมือนเตรียมไว้ แต่มันถูกใช้งานไปแล้วต่างหาก! มันได้แพร่กระจายคำสาปเข้าไปในตัวหมู่มนุษย์...!]
"คำสาป? คำสาปหมอกสีม่วงนั่นน่ะหรอ...?"
[หมอกนั่นแค่ตบตา คำสาปจริงๆมันได้ถูกซ่อนเอาไว้อยู่...นี่คือพื้นฐานของการใช้คำสาปเลยล่ะ อ๊า ฉันน่าจะรู้ตัวในตอนที่นายกำลังจะไปจัดการจอมเวทย์ทั้งหมดในตอนนั้น!]
มีคำสาปแบบนี้ด้วย? แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย.... บางทีที่เป็นแบบนี้ก็เพราะยูอิลฮานปฏิเสธในคำสาปส่วนใหญ่ที่เข้าหาเขาจากการมีอยู่ของสกิลต้านทานคำสาปเลเวลสูงก็ได้ ดังนั้นมันเลยทำให้เขาไม่รู้ตัวเลย
นายูนาได้เสริมขึ้นมาอีกในรอบนี้
"อิลฮาน นายเคยพูดว่าได้กลิ่นหอมใช่ไหมล่ะ? ฉันคิดว่ากลิ่นนั่นแหละที่เป็นคำสาป เป้าหมายหลักของพวกนั้นต้องเป็นการแพร่กระจายคำสาปในหมู่มนุษย์.... แล้วบางทีโลกเรานี่อาจจะไม่ชอบกลิ่นนี้ก็ได้นะ"
นายูนาคาดเดาได้ตรงจุดมากๆ
จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวของวงเวทย์ก็คือการแพร่กระจายคำสาปชนิดพิเศษให้กับผู้คนบนโลก นายูนารวมไปถึงคังมิเรย์กับพรรคพวกได้รับคำสาปพวกนี้มาในตอนที่ทำลายวงเวทย์ ในวินาทีที่วงเวทย์ถูกทำลายเกมก็จบลงไปแล้ว
ในมุมมองของทูตสวรรค์ พวกมันไม่ได้สนเลยสักนิดว่ามนุษย์จะทำลายวงเวทย์หรือป่าว ไม่สิ จริงๆแล้วพวกมันอยากให้มนุษย์มาทำลายด้วยซ้ำไป คำสาปจะได้ติดคนที่มาทำลายไปแพร่กระจายสู่คนอื่นตอนกลับไปที่โลก
คนที่ติดตั้งวงเวทย์ก็จะกระจายคำสาปออกไปด้วยแล้วก็คนที่ทำลายวงเวทย์ก็จะกระจายคำสาปซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากที่เวลาผ่านไปถึง 2 ปีก็ไม่มีใครคนไหนเลยที่ไม่ติดคำสาป
ถ้าเป็นไปได้พวกมันก็จะติดตั้งวงเวทย์บนโลกตรงๆด้วย แต่ว่าถ้าทำแแบบนั้นวงเวทย์ก็จะต้องถูกทำลายก่อนี่จะทำงานแน่ เพราะแบบนี้ทำให้พวกมันได้ใช้วิธีติดตั้งวงเวทย์ที่โลกอื่นแทน แล้วผลลัพธ์ก็ประสบความสำเร็จมากๆอย่างที่ได้เห็นกันตรงนี้
ส่วนสิ่งกระตุ้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกไปจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 พลังของโลกที่พัฒนาขึ้นเกินความเร็วของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ทำให้ โลกได้ขับไล่มนุษย์บนโลกนี้ทุกคนไปสู่โลกที่พวกเขาเชื่อมต่อด้วย อย่างที่ยูอิลฮานเห็นในตอนนี้คนที่เคยไปกลับโลกได้อย่างอิสระเมื่อตอนนั้นไม่อาจจะกลับมาที่โลกได้อีกแล้ว
นี่มันน่าขำมากๆที่ยูอิลฮานมีความสามารถในการปฏิเสธคำสาปทั้งๆที่ตัวเขาก็ไม่มีที่ให้ถูกขับไล่ด้วย
นี่มันเป็นเรื่องตลกร้ายเอามากๆ แค่ในระหว่างมหาภัยพิบัติขั้นที่ 2 ก็ได้มีประตูมิติที่เชื่อมต่อโลกนี้กับต่างโลกเกิดขึ้นมาานับไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้ตอนที่เกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 ขึ้นมากลับทำให้คนบนโลกนี้ถูกขับไล่ออกไปเพราะประตูมิติที่เปิดขึ้นมาแทน
"แต่ว่าคำสาปแพ้ทางสายพลังศักดิ์สิทธิ์นี่ เธอยกเลิกมันไม่ได้เลยหรอ?"
"มัน อ่า มันเป็นคำสาปมิติที่สูงมากทำให้ยากที่จะวิเคราะห์มันต่อให้เป็นคำสาปก็ตามเพราะแบบนี้ทำให้มันไม่มีพลังที่น่าขยะแขยงอยู่เลยสักนิดด้วย ฉันคิดว่าหากฉันไปถึงตลาส 4 ฉันก็น่าจะทำอะไรซักอย่างแต่ แต่สำหรับในตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้..."
[อย่าเข้ามา]
ก่อนที่นายูนาจะได้ทันพูดจบได้มีเสียงแผ่วเบาที่แฝงความโกรธไว้ลึกๆดังสั่นท้อนไปทั่วพื้นที่ นายูนาได้เงียบลงไปทันทีเพราะมีระดับชั้นที่ต่างกันของเจ้าของเสียงกับตัวเธอ แต่ยูอิลฮานไม่ได้รับผลนี้เลย
"ให้ตายสิ เจ้านั่น!"
เขาจำเสียงนี้ได้ เสียงนี้คือเสียงที่เขาได้ยินในตอนที่เปิดประตูมิติในนรก
[ทุกๆคนควรที่จะออกไป แล้วก็อย่ากลับมา]
เพราะแบบนี้ทำให้ตัวของนายูนาจางเร็วขึ้นอีก เจ้านี่มันอะไรกัน เจ้านี่เป็นอะไรกับโลกกัน? ยูอิลฮานได้แต่สงสัยถึงตัวตนนี้ของเขาคนนั้น แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้ เขาไม่อาจจะสัมผัสถึงตัวตนของคนๆนี้ได้เลยต่อให้เขาจะพยายามค้นหามากแค่ไหน
นอกไปจากนี้จากวินาทีที่วกเขาได้ยินเสียง การเปลื่ยนแปลงของอาคารและภูมิทัศน์บริเวณใกล้เคียงก็ยังเริ่มเร็วขึ้น นี่ยังผ่านไปไม่ถึง 3 ปีเลยนับตั้งแต่ที่เกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่สอง แล้วภูมิทัศน์ก็ยังเปลื่ยนแปลงจากผลของมหาภัยพิบัติขั้นที่ 2 ก็ยังไม่เสร็จแล้ว แล้วนี่มันกลับเกิดการเปลื่ยนแปลงที่รุนแรงมากขึ้นเกิดขึ้นมา
"ถ้างั้นเป้าหมาของเทวดาตกสวรรค์ก็คือการขับไล่ทุกๆคนออกไปจากโลก? แล้วถ้างั้นทำไมพวกมันถึงตั้งชื่อวงเวทย์ว่า 'อิสรภาพ' ล่ะ...!?"
"อิลฮาน"
ระหว่างยูอิลฮานกำลังหัวหมุนนี้นายูนาก็ได้ออกเสียงเรียกตัวเขา พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนาทึ่งมากๆที่ยังรั้งตัวเธอไว้ให้อยู่ที่นี่ได้ทั้งๆที่คนอื่นๆถูกขับไล่ออกไปแล้ว
"นายจะต้องไปหาฉันที่เบร์ย่านะ"
"ไปหายังไงล่ะ?"
"ในเวลาแบบนี้นายต้องพูดว่า 'ไว้ใจได้เลย' แล้วก็มอบจูบให้ฉันสิ!"
"ฉันไม่ได้เท่แบบนั้น แล้วก็ไม่มีวันจะทำด้วย"
"นายเท่อยู่แล้วน่า ฉันบอกนายหลายครั้งแล้วนี่"
นายูฯาได้บ่นขึ้นมากับคำพูดของเขาและยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
"อย่างที่ฉันพูดไงถ้าเป็นนายต้องทำได้แน่ ดังนั้นนายต้องมาหาฉันนะ ฉันก็จะรีบไปถึงคลาส 4 เหมือนกัน"
[เธอคิดว่าคลาส 4 มันไปได้ง่ายงั้นหรอ? มันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เธอ... อ่า เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้!!!]
จู่ๆเลียร่าก็เริ่มตะโกนออกมา ยังไงก็ตามนายูนาได้รุกเข้าใส่ยูอิลฮานแล้ว ยูอิลฮานได้แต่ตกตะลึงกับการโดนขโมยจูบนี้
"อุ๊บบบบ!?"
"อุ๊บบบบบบบ!"
นี่แค่แว๊บเดียว แต่ว่าจูบที่รุนแรงนี้ทำให้เกิดเสียงดังออกมา นี่คือช่วงเวลาที่ยูอิลฮานกำลังคิดถึงแผนของกองทัพจรัสแสงกับกองทัพปีศาจแห่งการทำลาย แตแล้วจู่ๆเขาก็รู้สึกว่าโดนจูบเข้าแล้ว!
นี่นไม่ต้องสงสัยเลย นี่มันชัดเจนมากๆว่าจูบแรกของเขาโดนพรากไปแล้ว! ที่ๆริมฝีปากบางอ่อนนุมสัมผัสกันได้เปลื่ยนเป็นรุนแรงขึ้นในทันทีและความคิดที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ของเขาได้หายไปในทันที ปากของเขากำลังสั่นแล้ว
"เธอทำอะไรลงไป..."
เขาได้มองลงไปที่นายูนาด้วยสายตาที่ตกตะลึง ดูเหมือนว่าเธกำงถูกส่งไปที่เบร์ย่าแล้วเนื่องจากว่าร่างกายของเธอกำลังโปร่งแสงไปแล้ว ยังไงก็ตามถึงแบบนั้นยูอิลฮานก็รู้ว่าหน้าของเธอแดงอยู่ มันดูเหมือนว่าแม้แต่เธอก็อายเหมือนกัน
"ฟุฟุ อิลฮานยังไม่ได้จูบเลียร่าสินะ? ยังไม่ได้จูบใช่ไหมล่ะ~?"
"..."
"จูบแรกของยูอิลฮานเป็นของนายูนาคนนี้! ไม่ใช่ของเลียร่า! ฟุฟุฟุ"
และหลังจากนั้นนายูนาก็ได้หายไปจากอ้อมแขนของเขาในทันที นี่คือการโจมตีที่เฉียบพลันโดยที่เขาไม่ตั้งตัว
"นี่มัน... อะไรกัน....!"
ยูอิลฮานได้แต่ตัวแข็งทื่อกับที่แม้ว่านายูนาจะหายตัวไปแล้ว กลับกันเลียร่าได้เป็นคนโกรธคนมาก
[เธอคนนี้ซ่อนไพ่ตายนี้ไว้! อิลฮานเอาน้ำมาล้างปากเดี๋ยวนี้เลยนะ!]
"นี่เธอจะล้อเล่นกับจูบแรกของฉัน อ๊ากกกกกกกกกกก!!!"
เขากังวลเรื่องอนาคตของโลก รวมไปถึงพ่อแม่ของเขา มิลแล้วก็คนอื่นๆ แล้วเขาก็ยังกังวลเรื่องของเสียงลึกลับนั่นด้วย แต่ในตอนนี้ยูอิลฮานได้ลืมเรื่องพวกนี้ไปชั่วคราวแล้ว เขาถูกนายูนาโจมตีเข้าอย่างจัง
แล้วการที่เธอหนีไปแบบนี้... เขาจะต้องไปลากตัวเธอกลับมาจัดการทำอะไรแน่! ในท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้กำไรไปก็มีแต่นายูนา! ยูอิลฮานได้คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากคนหนึ่งเลย
[...บางทีเธออาจจะอยากมอบความมั่นใจให้นาย]
เลียร่าได้เริ่มพูดจริงจังออกมาในเวลาเล็กน้อยนี้แล้ว
[พูดกันตรงๆเลยนะ หากเธอไม่ทำแบบนี้ นายก็จะไม่มีวันเชื่อต่อให้มีใครมาบอกว่าชอบนาย]
"...ฉันรู้ตัวเองดีน่า"
[แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบนายไม่ใช่หรอ? เธอก็เลยประทับตากับนายหลังจากเจอคู่แข่งไงล่ะ นายไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว นายจะต้องมั่นใจในเรื่องนี้ได้แล้วนะ]
พอเลียร่าพูดจบเธอก็หัวเราะออกมา พอได้เห็นหน้ายูอิลฮานที่เป็นแบบนี้แล้ว ในมุมหนึ่งเธอก็คิดว่านายูนาทำได้ดีมากเช่นกัน
[การที่เธอจะคิดว่านายจะเชื่อในความรู้สึกของเธอด้วยแค่จูบเล็กๆนี่ เธอดูเด็กจริงๆเลย ดูเหมือนเธอจะโตมาในสภาพแวดล้อมที่กีดกันสินะ]
"หา?"
[หา?]
"หาาาา......?"
[หาาาา......!?]
หลังจากพูดแบบนี้จบแล้วเลียร่าก็เริ่มจะเข้าใจ ในตอนนี้ยูอิลฮานกำลังเริ่มคิดจริงๆแล้วว่านายูนาชอบเขา! นั่นแหละ นี่คือเรื่องจริง!
"...เธอไม่ได้ชอบฉันหรอก?"
[ไม่ นั่นมันคือเรื่องจริง...]
"ใช่งั้นหรอ?"
[...]
เมื่อได้เห็นยูอิลฮานทำตัวเหมือนเด็กสิบขวบที่ไม่รู้เรื่องทั้งๆที่เขามีชีวิตมาเป็นพันปีก็ได้ทำให้เลียร่าตกตะลึง ในขณะเดียวกันยูอิลฮานก็ตบก้มตัวเองอยู่แล้ว
'ไว้คิดทีหลังๆ นายูนาเป็นปัญหาใหญ่ แต่ว่ายังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าที่ฉันจะต้องจัดการอยู่'
นายูนาจะบอกแบบนั้นหรอ? ถ้าแบบนั้นเขาจะต้องไปถามเธอแทนที่จะมาเสียเวลาแบบนี้ เธอก็คงอยากจะให้ทำแบบนั้นด้วย
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่ายูอิลฮานจะเคลื่อนไหวไปตามคำพูดของเธอ แต่ว่าในตอนนี้การทำแบบนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ในตอนนี้ทุกๆคนได้ถูกขับไล่ออกไปจากโลกไม่ใช่แค่นายูนา การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวบนโลกเป็นพันปีมันมากพอแล้วด้วย!
"ปัญหาคือฉันจะต้องทำยังไงกันเรื่องนี้ดี"
[อ่า ฉันก็ติดต่อไปที่สวรรค์ไม่ได้เลยด้วย เอิลต้ากับสเปียร่าก็อยู่ที่สวรรค์ด้วย ว้าว โลกนี้ถูกปิดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เว้นแต่ว่าโลกนี้จะกลายเป็นโลกระดับสูงอะไรแบบนี้อะนะ...!]
"อย่ามาเพิ่มอะไรให้ฉันคิดอีกสิ แค่นี้มันก็ทำฉันเวียนหัวแล้ว"
ยูอิลฮานได้ถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมามองรอบๆ แน่นอนว่าไม่มีอะไรอยู่เลย เขาถูกทิ้งไว้บนโลกคนเดียวอีกแล้ว แล้วในเวลานี้ก็เป็นโลกใบนี้เองที่ขับไล่ทุกๆคนไปที่โลกอื่น
ทำไมในชีวิตนี้เขาถึงได้ถูกทิ้งไว้คนเดียวบ่อยนักล่ะ? ถึงแบบนั้นก็ยังโชคดีมากๆที่ยังมีเลียร่าอยู่เคียงข้างเขา
"หือ"
ในตอนนี้เองยูอิลฮานก็รู้ตัวถึงบางอย่าง
"แล้วมิลล่ะ? มิลเกิดบนโลกนี้นะ"
[อ่า]
"นี่ก็ยังรวมถึงเด็กคนอื่นๆที่เกิดขึ้นหลังจากมหาภัยพิบัติด้วย เกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนี้ล่ะ? ต่อให้เด็กๆโดนคำสาปก็ไม่น่าจะมีโลกไหนให้ถูกขับไล่ไปนี่!"
[...ใช่ นายพูดถูก!]
เลียร่าก็ยังรู้ตัวแล้ว ที่เธอคิดไม่ถึงก็เพราะเธอคิดว่ามนุษย์ทุกคนเชื่อมต่อกับโลกอื่น และในตอนนี้เธอรู้สึกขอบคุณมิล
"เวรเอ้ย"
นี้ไม่มีเวลาให้มายืนเฉยอยู่แล้ว ยูอิลฮานได้รีบกางปีกเสียงเพรียกแห่งการล่มสลายขึ้นทันที
"การที่เด็กถูกทิ้งไว้ในโลกที่เกิดมหาภัยพิบัติขั้นที่ 3 โดยที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วยนี่มัน.... ย๊ากกกก!"
เขาได้ใช้พลังทั้งหมดกระโดดออกไป และในเวลาเดียวกันเขาก็กระจายสัมผัสออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้เขากำลังต้องทำภารกิจในการค้นหาและปกป้องเด็กทุกคนบนโลกนี้
ยังไงก็ตามเรื่องทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์
แม้ว่าเขาจะวนรอบโลกไปหลายรอบ แต่ยูอิลฮานก็ไม่เจอมนุษย์คนอื่นนอกจากเขาเลยแม้แต่คนเดียว