เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0021
ตอนที่ 21 : ประชันความเร็ว
หยางฉีเย่ว์ดึงฉินหยุนกลับเข้ามาข้างกาย นางไม่ยินยอมให้เกิดการโต้เถียงกับเยี่ยนหยุนมากไปกว่านี้ เพราะไม่ใช่เรื่องดีที่จะไปมีเรื่องบาดหมางกับปรมาจารย์จารึก
ฉินหยุนตอนนี้จึงพบเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าหาทางด้านเยี่ยนหยุนด้วยสีหน้าและท่าทีประจบประแจงเด็กสาว เขาจึงเข้าใจว่าสถานะของปรมาจารย์จารึกนั้นสูงส่งเพียงใด
กระทั่งว่าเยี่ยนหยุนจะทำตัวน่ารังเกียจปานใด ทุกผู้คนก็ยินยอมที่จะสะกดความน่ารังเกียจเหล่านั้นเอาไว้ ภายนอกล้วนเอ่ยชมนางประหนึ่งฟ้าสูงไม่ขาดปากเพื่อให้ในอนาคตมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากนาง
ฉินหยุนพลันรู้สึก เขานึกถึงผังวิญญาณลึกลับที่ได้รับจากไข่มุกเม็ดแรกของสร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวัน หากเขามีความเชี่ยวชาญและสามารถใช้งานมันได้ เช่นนั้นก็มีสิทธิ์ได้เป็นปรมาจารย์จารึก!
หยางฉีเย่ว์เป็นกังวลต่อฉินหยุนไม่น้อย เพราะเยี่ยนหยุนทำให้เขาเกิดความวอกแวก นางจึงต้องกล่าวคำบ้าง “ฉินหยุน จงอย่าคิดมาก ในช่วงบ่ายจะสิ้นสุดการลงทะเบียน จากนั้นการทดสอบจะเริ่มต้น คู่แข่งของเจ้ามีเพียงแค่สอง ดังนั้นรักษาความตั้งใจและสภาพจิตใจให้ดีพร้อมเข้าไว้!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับคำ “ข้าต้องผ่านการทดสอบแน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่มีทางทำให้อาจารย์หยางผิดหวังอย่างแน่นอน!”
อย่างกะทันหัน เสียงเซ็งแซ่พลันดังขึ้น
ที่ทางเข้าตำหนักราชสีห์สวรรค์ ร่างสูง ผอมบาง ทว่าหล่อเหล่าของคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มคน ราวกับเขาเป็นดวงจันทร์ซึ่งถูกดวงดาวห้อมล้อมเอาไว้
รอยยิ้มนั้นประดับที่ใบหน้า คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่เผยความทะนงตนอย่างถึงที่สุดนั้นไม่คิดปิดซ่อนความอหังการของเจ้าตัว และแม้จะมีผู้ไม่ชอบใจท่าทีเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กล้ากระทำการหรือสบตาแต่อย่างใด
เมื่อฉินหยุนพบว่าเยี่ยนหยุนเร่งรีบเข้าไปหา เขาจึงทราบว่าบุคคลตรงหน้านั้นคือบุตรชายของปรมาจารย์เว่ย เว่ยเสวียนคุน!
เมื่อเขาได้เห็นเว่ยเสวียนคุนกับตา ริมฝีปากนั้นโค้งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเบา “เหมือนอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดเองนี่? แถมยังอยู่แค่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าอีกต่างหาก!”
หากเทียบกับเชี่ยวเย่ว์หลานที่อายุสิบหกปี ความแตกต่างนี้มหาศาลนัก
หยางฉีเย่ว์เคยบอกให้เขามีเชี่ยวเย่ว์หลานเป็นเป้าหมายของการฝึกฝน เช่นนั้นเป้าหมายนี้ก็สูงล้ำยิ่งแล้ว
เยี่ยนหยุนคล้ายคิดพูดอะไรสักอย่างกับเว่ยเสวียนคุน เมื่อเขามองมา ดวงตาเปี่ยมความทะนงนั้นกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตและเหยียดหยัน คล้ายนี่คือคำเตือนต่อฉินหยุน!
ในช่วงบ่าย ระฆังภายในหอราชสีห์สวรรค์ดังขึ้น ผู้อำนวยการจางจึงเดินออกมาประกาศว่าสิ้นสุดการลงทะเบียน การทดสอบขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
มีเพียงแต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบจึงสามารถเข้าร่วมการประลองยุทธ์รอบถัดไปได้
ทางด้านนักเรียนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ซึ่งเข้าร่วมการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์มีเพียงฉินหยุน เยี่ยนหยุน และหยวนหยานหยิงเท่านั้น พวกเขาเหล่านี้ยืนอยู่แถวหน้าสุดของโถงหลักเพื่อเตรียมรับการทดสอบ
“การทดสอบมีทั้งสิ้นสองรอบ รอบแรกคือการแข่งความเร็ว พวกเราจะปล่อยเสือดาวที่ผ่านการฝึกฝนทั้งสิ้นสิบตัวบนลานประลอง พวกมันจะมีป้ายไม้แขวนเอาไว้ที่คอ”
“พวกเจ้าทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตให้โจมตีเสือดาวเหล่านั้น และไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันเองด้วย ดังนั้นสิ่งเดียวที่ต้องทำคือแข่งความเร็ว จับตัวเสือดาวและนำป้ายไม้ที่แขวนตรงคอของพวกมันมา บุคคลที่ได้รับป้ายไม้มากที่สุดจึงสามารถผ่านรอบแรกไปได้ สำหรับผู้อื่นคือคัดออก”
“เตรียมตัวให้ดี การทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลังผู้อำนวยการจางกล่าวอธิบายกฎเกณฑ์เรียบร้อย เขาจึงไหวมือไปทิศทางที่ไกลออกไป
ไม่ช้า ชายร่างใหญ่สิบคนปรากฏ พวกเขาแต่ละคนนำเสือดาวที่ผ่านการฝึกฝนพิเศษแล้วเข้ามาด้วยเช่นกัน
เสือดาวเหล่านี้ถูกฝึกฝนเรื่องความเร็วเพียงเท่านั้น พวกมันไม่ทำร้ายมนุษย์ หากไม่ลงมือทำให้มันบาดเจ็บ ก็คงเป็นเรื่องยากแล้วที่จะถอดป้ายไม้จากคอของพวกมันออกมาได้
“ฉินหยุน ข้าขอเตือน หากเจ้ากล้าทำอันตรายศิษย์น้องหยุนระหว่างการทดสอบ ข้าฆ่าเจ้าไม่ให้เหลือแม้ธุลีแน่” ไม่ไกลออกไปนัก เว่ยเสวียนคุนเผยเสียงเย็นข่มขู่มาทางนี้ เสียงนี้เสมือนมีดคมกริบจ่อคอหอย มันเปี่ยมด้วยรังสีฆ่าฟัน
เมื่อเยี่ยนหยุนได้ยินดังนั้น นางยิ้มรับขณะมองฉินหยุนและกล่าว “พี่คุน ด้วยพละกำลังของข้า ก็เป็นเรื่องยากสำหรับมันแล้วที่จะสามารถสัมผัสถึงตัวข้าได้ นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำให้บาดเจ็บ”
“นั่นก็จริง ก้าวกลืนเมฆาของตระกูลเยี่ยนถือเป็นวิชายุทธ์ระดับวิญญาณชั้นแนวหน้า กระทั่งพ่อข้ายังเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ศิษย์น้องหยุนยังเป็นคนปราดเปรื่อง ข้าเชื่อว่าตอนนี้สมควรเข้าใจถึงขั้นต้นแล้วจริงหรือไม่?”
เมื่อเว่ยเสวียนคุนกล่าวคำจบ เขาจึงหันมองทางฉินหยุนและแค่นเสียงดังจนแทบทุกคนได้ยิน “องค์ชายตกยากเพียงได้เรียนแต่วิชานอกรีต ไม่ก็บังเอิญโชคหล่นใส่หัวได้รับพละกำลังมาบ้าง แต่อย่างไรแล้วก็แค่คนที่มีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่ง โชคนั้นอาจคงอยู่แต่ไม่มีทางใช่ตลอดชีวิต ท้ายที่สุดมันต้องบินไปหาดอกไม้งามอื่นเพื่อชื่นชมเกสร ถึงตอนนั้นจะเป็นอย่างไรกันช่างน่าสนใจแล้ว”
“คำพูดของพี่คุนจริงแท้นัก นับเป็นสัจธรรมประการหนึ่งจนชวนให้อยากรู้สึกหัวร่อผู้ที่มีเพียงแต่โชคเล็กน้อย” เยี่ยนหยุนกล่าวคำเหยียดฉินหยุนที่ยืนอยู่ไม่ไกล นางคล้ายคาดหวังว่าเขาจะตอบโต้อะไรกลับมา หากเป็นแบบนั้น เท่ากับเปิดโอกาสให้เว่ยเสวียนคุนได้ลงมือสังหารแล้ว
ทุกผู้คนในที่นี้ต่างคิดว่าคำพูดของเยี่ยนหยุนไม่ผิดนัก เส้นวิญญาณเพียงหนึ่งนับเป็นเรื่องเจ็บปวด ความสุขสันต์ที่ฉินหยุนได้รับตอนนี้ไม่สมควรอยู่นาน ในภายหน้า เขาจะต้องโดนผู้อื่นที่มีเส้นวิญญาณจำนวนมากกว่าทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่น
ซุยฮ่วยก็เผยความหยิ่งยโสของนางออก ราวกับนางถือไพ่เหนือกว่าหยางฉีเย่ว์ที่เอาแต่เผยสีหน้าไร้อารมณ์ไม่กล่าวคำใด
ฉินหยุนตอนนี้ยังคงเงียบ ตราบเท่าที่เขาได้รับอันดับหนึ่งมาครอง เพียงนั้นก็เป็นการพิสูจน์พละกำลังของตัวเขาให้ทุกคนประจักษ์แล้ว
“เริ่มขึ้นลานประลองได้!” ผู้อำนวยการจางตะโกนกล่าวขึ้น
ที่ศูนย์กลางของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง มีลานประลองขนาดใหญ่ตั้งเอาไว้เด่นชัด ขนาดของมันกว้างราวหนึ่งร้อยเมตร มีเอาไว้ใช้ในการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์โดยเฉพาะ
ฉินหยุน หยวนหยานหยิง และเยี่ยนหยุน พวกเขาเดินขึ้นลานประลอง พร้อมชายสิบคนที่นำเสือดาวสิบตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ครั้งนี้คือการทดสอบขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ นักเรียนส่วนใหญ่ที่ล้อมรอบลานประลองเอาไว้ล้วนอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า พวกเขาเหล่านี้กำลังต้องการรับชมเรื่องสนุก พวกเขาล้วนอยากรู้ว่าท้ายที่สุดใครจะชนะ
“เสือดาวพวกนี้รู้เพียงวิธีการวิ่งและหลบหลีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องมันจะเข้าโจมตี” ผู้อำนวยการจางกล่าวเสียงดัง “ข้าจะนับถึงสาม จากนั้นการทดสอบจึงเริ่มต้น”
เยี่ยนหยุนและหยวนหยานหยิง ทั้งสองต่างเป็นผู้หญิง ทว่าพวกนางล้วนมาจากตระกูลดัง มีผู้อาวุโสคอยติดตามชี้แนะตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งสองย่อมไม่กลัวเกรงสัตว์ร้ายเช่นนี้ตราบเท่าที่มันไม่ใช่สัตว์ปีศาจ แต่สิ่งที่ยากคือการไม่ให้ทำร้ายพวกมันต่างหาก
“หนึ่ง สอง สาม... เริ่มได้!” ทันทีเมื่อสิ้นเสียงของผู้อำนวยการจาง กลุ่มชายร่างใหญ่เหล่านั้นก็ปล่อยเสือดาวออกเพ่นพ่านเต็มลานประลอง
เสือดาวทั้งสิบคำรามเสียงเบาขณะออกวิ่งอย่างดิบเถื่อนไปทั่วลานประลอง ความเร็วนั้นสูงยิ่ง เป็นผลให้ผู้มองตามต้องเกิดอาการมึนงง
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ฉินหยุนกำลังโคจรพลังปราณด้วยเคล็ดวิชาอัคคีเมฆา ทว่า เมื่อเสียงตะโกนจากผู้อำนวยการจางดังขึ้น พลังปราณของเขาจากที่ร้อนแรงกลับกลายเป็นกระจายตัวออก ตอนนี้เขาจำต้องเริ่มกระบวนการใช้พลังปราณใหม่อีกครั้งหนึ่ง
หยวนหยานหยิงและเยี่ยนหยุนก็เช่นกัน พลังปราณของพวกนางที่เตรียมใช้กับเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวอยู่ล่วงหน้ากลับกระจายตัวออก เป็นผลให้เกิดอาการแตกตื่นขึ้น
“อย่างดีเด็กพวกนี้ก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวขั้นต้น จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อโคจรพลังปราณและเรียกใช้เคล็ดวิชา ด้งนั้นตั้งแต่ต้น ผู้อาวุโสจึงกระจายพลังปราณที่พวกเขาเตรียมเอาไว้อยู่ก่อน ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ทุกคนเริ่มต้นที่จุดเดียวกัน!”
“เยี่ยนหยุนน่าจะเร็วที่สุด นางเรียนรู้เคล็ดวิชาก้าวกลืนเมฆา ทางด้านหยวนหยานหยิงและฉินหยุนไม่น่าจะมีเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวเทียบเท่าก้าวกลืนเมฆาอย่างแน่นอน”
บรรดานักเรียนชั้นปีสูงกว่าเริ่มสนทนาซุบซิบกันที่ข้างลานประลอง
“ก้าวกลืนเมฆาเป็นเอกในเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวที่อยู่ต่ำกว่าระดับลึกล้ำ” เว่ยเสวียนคุนยิ้มภาคภูมิ ด้วยเยี่ยนหยุนที่เป็นคู่หมั้น เขาจึงได้รับการถ่ายทอดก้าวกลืนเมฆานี้เช่นกัน
เยี่ยนหยุนเองก็มั่นใจในก้าวกลืนเมฆาของตนไม่ใช่น้อย นางมองเหยียดหยันฉินหยุนและหยวนหยานหยิงก่อนจะเริ่มโคจรพลังปราณที่ได้รับการฝึกฝนมา
แต่แล้ว ขณะที่นางกำลังยินดีกับตนเองอยู่นั้น ฉินหยุนพลันพุ่งตัวออกประหนึ่งลูกธนูหลุดจากคันศร!
ฝูงชนที่วิจารณ์เรื่องราวกันอยู่พลันตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อเห็นเรื่องราวนี้ที่เกิดขึ้น พวกเขามองฉินหยุนที่ใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพสูงยิ่งด้วยความแตกตื่น!
ฉินหยุนกายเบาหวิวขณะวิ่งออก นี่เสมือนวิ่งบนผืนเมฆ เพียงไม่กี่วินาที เขาก็สามารถจับตัวเสือดาวได้ก่อนยื่นมือเข้าไปคว้าป้ายไม้ที่คอของเสือดาวออกมา
หลังได้รับป้ายไม้เรียบร้อย เขาจึงกระโดดขึ้นสูงกว่าสิบเมตร
เขาสำรวจมองชั่วครู่ก่อนกระโจนร่างพุ่งเข้าหาเสือดาวอีกตัวหนึ่ง!
เสือดาวที่กำลังวิ่งพล่านไปมาราวโบยบิน แต่แล้วฉินหยุนกลับสามารถไล่ล่าพวกวมันได้อย่างไม่ยิ่งหย่อน ท้ายที่สุดเขาก็ได้รับป้ายไม้อีกหนึ่งมาครอง!
เพียงเวลาครู่เดียว ฉินหยุนถึงกับได้รับป้ายไม้สองแผ่น เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลให้บรรดานักเรียนชั้นปีสูงกว่าร้องอุทานออกด้วยความตื่นตะลึง!