GE159 กระถางขัดเกลาอีกคน [ฟรี]
เมื่อครู่หนิงฝานเห็นอักษรที่เผ่าอสูรสลักไว้บนกล่องของอัฐิสวรรค์ นั่นทำให้ฮั่วเหลียนถูกพวกมันเจอตัวอยู่เสมอ
ดังนั้น แม่ทัพอสูรสื่อฟงคงตามรอยอักษรอสูรนี้มาเช่นกัน… หากชิงตัวนางมาได้ เขาจะไปเยือนนิกายของฮั่วเหลียน ช่วยให้มันได้เป็นประมุขนิกาย แล้วแอบอ้างชื่อของมันปล้นชิงในรอบรัศมีแสนลี้
การปล้นชิงเท่ากับยั่วยุนิกายหรือขุมกำลังอื่นๆ แต่เรื่องนั้น ฮั่วเหลียนจะเป็นคนจัดการ
ยามนี้ หนิงฝานบังคับเรือเหาะบินตรงไปยังนิกายจิน
ไม่นานเรือเหาะก็ลงจอดยังที่ลุ่มแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นมีแม่น้ำ
หนิงฝานไม่ได้ลบอักษรอสูรออกจากกล่องอัฐิ เพื่อล่อให้แม่ทัพอสูรสื่อฟงมาติดกับ และใช้ที่ลุ่มข้างแม่น้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ต่อสู้
ไม่ไกลนักมีฮั่วเหลียนที่ถูกประทับตราวิญญาณกำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น
มันไม่ได้โง่ มันรู้ว่าหนิงฝานกำลังรอแม่ทัพอสูรสื่อฟง
“จบสิ้นแล้ว… ซัวหมิงผู้นั้นกำลังรอแม่ทัพอสูรสื่อฟง… หากข้าถูกดึงเข้าไปพัวพันกับสงครามของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม ข้าไม่รอดแน่”
มันถอนหายใจ มันหวาดกลัวหนิงฝานอย่างที่สุด แม้มันจะยังไม่ได้เจอแม่ทัพปีศาจสื่อฟงก็ตาม
ยามนี้แคว้นเหว่ยปั่นป่วนอย่างที่สุด เพราะนอกจากจะมีอสูรในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มของวิหารพิรุณอยู่ด้วย
ฮั่วเหลียนนับว่าโชคดีไม่น้อย เพราะมันจะมีโอกาสได้พบผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มของวิหารพิรุณและอสูร นอกจากนี้ มันยังได้เห็นวิชาวารีผันแปรที่น่าสะพรึงกลัวกับตา
บางทีหนิงฝานอาจแข็งแกร่งกว่าแม่ทัพอสูรสื่อฟง...
“เห้อ… โชคร้ายจริงๆที่ต้องมาเจอพวกคนชั่ว...” ฮั่วเหลียนบ่นกล่าวในใจ มันไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า
ในขณะที่มันด่าทอ หนิงฝานกลับหลับตา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาผสานรวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ
ผลการฝึกวิชาอสูรทำให้หนิงฝานสัมผัสกับธรรมชาติได้...
แม่ทัพอสูรสื่อฟง แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม แต่นางน่าจะทรงพลังกว่าปีศาจบุบผา และนางสมควรมีอักษรอสูรโบราณ ที่สามารถใช้การจู่โจมเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ
แต่หนิงฝานยังมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ เพราะสื่อฟงคือสตรี เขาย่อมไม่กลัวสตรี...
ผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอก กลิ่นอายอสูรที่ทรงพลังก็ปรากฏ จนทำให้ผู้ที่อยู่บริเวณนี้แตกตื่นหลบหนี
ไกลออกไปปรากฏกองทัพอสูร ในขอบเขตประสานวิญญาณหลายร้อนตน พวกมันใช้วิชาแปลงกายให้เป็นครึ่งคนครึ่งอสูร นอกจากนี้ ในกองทัพยังมีอสูรในขอบเขตแก่นทองคำอยู่ด้วย
เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ พวกมันก็แยกย้ายสังหารผู้คนที่กำลังหลบหนี แต่สื่อฟงก็ยังนำกำลังส่วนหนึ่งตรงดิ่งเข้าหาหนิงฝาน
สื่อฟงคือสตรีที่งดงาม รูปร่างสมสัดส่วนสตรี ผมสีม่วงยาว จนหนิงฝานที่มองประหลาดใจ… ด้วยที่อสูรแต่ละตนมีอักษรเผ่าอสูรสลักไว้ เมื่อพวกมันตาย ผู้เป็นนายจะรู้… สิ่งที่ทำให้นางไม่เข้าใจ คือเหตุใดผู้ที่สังหารทาสของตนถึงเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ
“ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ… สามารถสังหารทาสของข้าได้?”
สื่อฟงงดงามมาก หน้าอกสมบูรณ์พร้อม ทั้งหมดคล้ายกับปีศาจบุบผายามที่นางไม่มีรอยแผล… สื่อฟงได้กลิ่นโลหิตอสูรจากตัวหนิงฝาน ยามนี้มันมั่นใจแล้วว่าหนิงฝานคือผู้ที่สังหารทาสของมัน
ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณสังหารผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำได้… ช่างน่าสนใจ แต่ถึงอย่างนั้น มันยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม
นางยืนมองหนิงฝานอยู่กลางนภาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“มนุษย์เอ๋ย… เจ้าเป็นผู้สังหารทาสของข้าใช่หรือไม่?”
“แล้วแต่จะคิด” หนิงฝานกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ฮึ่ม ดูท่าจะเป็นเจ้า… เช่นนั้นเจ้าตายได้แล้ว! วิชาอสูร ม่านเก้าชั้น!”
นางไม่พูดคุยกับหนิงฝานให้มากความ เคลื่อนไหวนิ้วเป็นท่าทาง แม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆยกตัวสูงและแปรเปลี่ยนเป็นหมอกพิษ หมอกพิษแปรเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นพายุที่ใหญ่ราวๆพันจ้าง บริเวณโดยรอบที่ต้องสัมผัสพิษล้วนแห้งเหี่ยว
การเคลื่อนไหวนิ้วของสื่อฟงเป็นได้ด้วยความงดงามอ่อนช้อย ราวกับเป็นไปอย่างง่ายดาย ต่างกับหนิงฝานที่ต้องพยายามอย่างหนัก
“นี่คือผู้เชี่ยวชาญเผ่าอสูร...” หนิงฝานขมวดคิ้ว ยิ่งเขาเข้าใจในวิชาอสูรมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้ว่าวิชาที่สื่อฟงใช้ ไม่ธรรมดานาดไหน
หากอ่านจากคัมภีร์ วิชาคือแปรเปลี่ยนให้สรรพสิ่งกลายเป็นผง จากผงเป็นหมอก และจากหมอกเป็นยายุคลั่ง
ในพายุมีพิษที่รุนแรง เมื่อผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณต้องสัมผัส ร่างของพวกมันก็ละลายกลายเป็นแอ่งโลหิต… ด้วยอานุภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำก็ยากจะต้านทาน
ฮั่วเหลียนหวาดกลัวจนตัวสั่น ภาพของผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำและประสานวิญญาณจำนวนมากตกตาย กลายเป็นแอ่งโลหิตเน่าเหม็น
ผู้ที่เหลือรอดมีเพียงผู้เชี่ยวชาญในขอบแก่นทองคำขั้นสุดท้าย… นั่นหมายความว่าวิชาอสูรไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ถึงจะไม่ธรรมดาแล้วอย่างไร!
“สัมผัสกระบี่… ทำลาย!”
หนิงฝานคงสีหน้าเรียบเฉย ปราณกระบี่ที่ทรงพลังปรากฏ จนทำให้สื่อฟงตกตะลึง
ปราณกระบี่สีดำทมิฬปรากฏกลางท้องนภา อานุภาพที่เปล่งออกมาทรงพลังยิ่งกว่าพายุของสื่อฟง
ด้วยอานุภาพของปราณกระบี่ พื้นที่รอบข้างนับพันลี้ถูกปกคลุมไปด้วยสีดำสนิท
กองทัพอสูรที่สื่อฟงนำมา กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างรายถูกปราณกระบี่กรีดเฉือนเป็นชิ้นๆจนจำสภาพไม่ได้
ปราณกระบี่สัดำทมิฬเข้าจู่โจมพายุหมอกม่วงของฟงสื่อ เปล่งอานุภาพทำลายพายุจากภายใน
ยามนี้กองทัพอสูรเหลือเพียงอสูรในขอบเขตแก่นทองคำขั้นกลางและขั้นสูง แต่พวกมันล้วนบาดเจ็บสาหัส
พายุถูกทำลาย กองทัพอสูรหลายร้อยเหลือเพียงไม่กี่ตน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สื่อฟงตกตะลึง
“สัมผัสกระบี่… คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทะลายวิชาอสูรได้!”
การที่วิชาอสูรของนางถูกทำลายโดยสัมผัสกระบี่ของผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ ทำให้นางตกตะลึงจนพูดไม่ออก
แม้สัมผัสกระบี่เมื่อครู่จะยังไม่ทรงพลังพอที่จะทำอันตรายนาง แต่ก็ถือเป็นภัยกับนางมาก
จะประมาทเด็กผู้นี้ไม่ได้ แม้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณ แต่กลับมีสัมผัสกระบี่ในครอบครอง
ไม่ว่ายังไงนางต้องชิงอัฐิสวรรค์มาให้ได้ สัมผัสกระบี่แค่นี้ไม่ทำให้นางหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อครู่นางก็พ่ายให้กับผู้เด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้ว ช่างน่าหัวร่อสิ้นดี
“การจู่โจมต่อไปเจ้าไม่รอดแน่!”
เจตนาสังหารปรากฏขึ้นในใจ น้ำเสียงที่กล่าวฟังดูอัปลักษณ์ แตกต่างจากภาพลักษณ์และใบหน้าที่งดงาม แต่กลับแฝงด้วยปราณอสูรที่ทรงพลัง
จากการปะทะเมื่อครู่ นางไม่ได้สังเกตุว่าหนิงฝานแอบขยับใกล้นาง จนเหลือระยะห่างเพียง 500 ลี้
หนิงฝานไม่คิดจะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะนาง
เขาอยากทำให้นางบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นฉวยโอกาสขยับเข้าใกล้เพื่อใช้ดรรชนีคลายหยิน
การประลองวิชาเมื่อครู่ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ
ในรอบที่สอง สื่อฟงไม่ออมรั้งยั้งมือ นางสัมผัสกระเป๋า นำเอากระบี่บินม่วงระดับสูงสุดออกมา กระบี่เล่มนั้นแผ่กลิ่นอายในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม ขยายขนาดเป็นหนึ่งจ้าง ปลายกระบี่ชี้ไปยังหนิงฝาน กระบี่เปล่งประกายก่อนพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วราวกับย่างก้าวพริบตาของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม กระบี่เคลื่อนข้ามระยะทางกว่าร้อยลี้ในพริบตา เพียงเปล่งกระกายไม่กี่ครั้ง ปลายกระบี่ก็ปรากฏเบื้องหน้าหนิงฝาน!
กระบี่บินของนางรวดเร็วมากจนสีหน้าหนิงฝานแปรเปลี่ยน
“เป็นกระบี่ที่รวดเร็วมาก… ทั้งยังเสริมด้วยวิชาระดับตัดวิญญาณ… ‘เคลื่อนไหวพริบตา’!”
แสงที่เปล่งประกายออกมาจากกระบี่ แท้จริงคือวิชาเสริมของมัน
กระบี่บินที่เคลื่อนที่ได้ในพริบตาเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ หากมันประชิดตัวก็ยากจะต้าน แม้จะใช้กระบี่บินสู้ก็ยากจะรับมือ
แววตาสื่อฟงเผยความมั่นใจ แม้กระบี่ของนางจะไม่ได้ทรงพลังที่สุด แต่วิชาที่เสริมเข้าไปนั้นเป็นถึงวิชาระดับตัดวิญญาณ ทำให้อานุภาพของมันยิ่งเพิ่มพูนเท่าทวี
การจะรับมือกับกระบินของสื่อฟงได้ ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม และมีความเข้าใจในพลังธรรมชาติ การจะหยุดยั้งกระบี่ได้ต้องใช้พลังธรรมชาติเข้าช่วย… หากผู้ที่รับกระบี่เป็นผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ พวกมันย่อมไม่อาจรับกระบี่ได้
แต่หนิงฝานยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มอย่างแท้จริง ทั้งยังควบคุมพลังธรรมชาติไม่ได้ หนิงฝานย่อมไม่อาจรับมือกับกระบี่บินของนางได้
แต่ถึงอย่างนั้น หนิงฝานยังมีวิชาป้องกันที่ทรงพลังพอจะรับกระบี่ของนางได้
เงาร่างของหนิงฝานแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงถอยหลังไปพันจ้างในพริบตา
หนิงฝานโคจรสัมผัสเทพ แสงสีดำทมิฬปรากฏ เข้าหุ้มร่างหนิงฝานราวกับดักแด้
กระบี่บินเข้าปะทะอย่างรุนแรง ลำแสงสีดำเปล่งอานุภาพขวางกั้น แม้กระบี่ไม่อาจทะลวง แต่กระบี่ยังคงทะลวงเข้าไปถึงครึ่งฉื่อ
วิชาลับสัมผัสเทพที่สอง ‘วิชาลับสัมผัสป้องกัน’ เมื่อใช้วิชานี้ด้วยสัมผัสเทพในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม จึงสามารถต้านการจู่โจมของกระบี่บินได้
สื่อฟงตกตะลึงปนสงสัย
ม่านพลังสัมผัสเทพ หนิงฝานใช้วิชาอสูรใดกัน? แต่หากเป็นวิชาอสูรจริง เหตุใดหนิงฝานไม่ขยับนิ้วเป็นท่าทาง? ไม่ใช่… มันแตกต่างจากพลังจิตของอสูร แต่มันคือสัมผัสเทพจริงๆ!
สื่อฟงไม่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็น
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากที่หนิงฝานป้องกันกระบี่บินของนางได้ บนหน้าผากหนิงฝานปรากฏดาราอัสนี หนิงฝานใช้ดรรชนีจู่โจมไปยังกระบี่บินของสื่ออย่างรุนแรง จนทำให้กระบี่บินของนางปรากฏรอยปริแตกทั่วตัวกระบี่ กลิ่นอายพลังที่กระบี่แผ่ออกมาลดลง ทำให้มันไม่อาจวิชาเสริมได้อีก
นางตกตะลึงอีกครั้ง ร่างกายของหนิงฝานทรงพลังมาก แม้ไม่ได้วิชาใดเสริม แค่ดรรชนีธรรมดาก็สามารถทำให้สมบัติวิญญาณระดับสูงสุดเกิดรอยแตกร้าว กระทั่งไม่อาจใช่เสริมได้อีก
ยามนี้นางรู้แล้วว่าผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณผู้นี้ไม่อาจยั่วยุ
แต่ในขณะที่นางตกตะลึงนั้น หนิงฝานก็ขยับเข้าใกล้นางจนเหลือระยะห่างเพียง 200 จ้าง
นางเริ่มหวาดกลัวกับร่างกายที่ทรงพลังของหนิงฝาน จึงเร่งทะยานหนีอย่างรวดเร็ว
แต่นางช้าเกินไป
เมื่อครู่หนิงฝานตั้งใจทำให้นางตกตะลึงเพื่อฉวยโอกาสเข้าใกล้
และด้วยระยะห่างเพียง 200 จ้างนี้ ทำให้นางยากจะหนีพ้น
หนิงฝานแผ่เจตนาสังหารที่น่าสะพรึงกลัว ดาราอัสนีบนหน้าผากเปล่งประกาย เปลี่ยนให้ม้องฟ้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยเมฆหนาและอัสนี
‘อัสนีพิฆาต’
อัสนีที่แปรปราบทั่วท้องนภาถูกชักนำ ผสานรวมเป็นอัสนีขนาดยักษ์ ฟาดผ่าเข้าใส่สื่อฟง
อานุภาพของอัสนีทำให้นางตกตะลึง ผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณกลับสามารถชักชำอัสนีได้! แม้นางจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว แต่อัสนีที่ฟาดผ่าลงมาราวกับตรึงนางไว้จนไม่อาจขยับ
ในชั่วลมหายใจที่นางไม่อาจขยับ หนิงฝานใช้ย่างก้าวพริบตาเข้าหานาง
ทั้งอัสนีและหนิงฝานตรงเข้าหานางอย่างรวดเร็ว
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของหนิงฝาน เป็นกลิ่นอายที่ไม่ต่อต้าน
แม้ไม่ทราบว่าเป็นกลิ่นอายชนิดใด แต่นางรู้สึกราวกับไม่อาจหนีพ้น!
หรือนางต้องใช้อักษรอสูรโบราณเพื่อจู่โจมโต้กลับ?
เพียงแต่ในชั่วลมหายใจนั้น นางกลับไม่อาจใช้อักษรบนหน้าผากได้ราวกับถูกพลังบางสายสะกดไว้… ใช่แล้ว! อันตรายที่นางสัมผัสอาจจะเป็นเรื่องนี้ แต่หนิงฝานทำได้อย่างไร เขายังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณด้วยซ้ำ
สีหน้านางแปรเปลี่ยนโกรธเคือง นางขยับนิ้วเป็นท่าทาง ใช้วิชาอสูรเปล่งพลังเข้าต้านอัสนีที่ทรงพลัง
“เลิกเอาแต่จ้องได้แล้ว! พวกเจ้ารีบมาช่วยสกัดมันเร็วเข้า!”
เมื่อคิดว่าตนต้องรับมือกับผู้เชี่ยวชาญประสานวิญญาณโดยต้องยืมมืออสูรยังเหลือรอด นางรู้สึกอัปยศอย่างที่สุด แต่มันก็จำเป็น… เพราะอัสนียักษ์ที่หนิงฝานชักนำมานั้น นางต้องใช้เวลาครู่หนึ่งจึงจะทำลายมันได้ ดังนั้นนางต้องหาคนคุ้มกันไม่ให้หนิงลอบจู่โจม
กองทัพอสูรที่นางนำมาเหลือเพียง 10 ตน ทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสุดท้าย แต่พวกมันกวาดกลัวหนิงฝาน จึงไม่กล้าสอดมือ
แต่ด้วยคำสั่งของสื่อฟง พวกมันทำได้เพียงจำใจเข้าขวางทางหนิงฝาน ไม่ให้เข้าใกล้สื่อฟง
หากพวกมันถ่วงเวลาให้นางทำลายอัสนีของหนิงฝานได้ นางก็สามารถรับมือหนิงฝานได้อีกครั้ง เช่นนั้น พวกมันก็สามารถถอยออกไปได้
พวกมันคิดว่าทำได้
เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มอสูร แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา
เสียงกระดูกทั่วร่างลั่น หนิงฝานใช้เพลงหมัดทะลายน้ำแข็งเข้าจู่โจม
เมื่อหนิงฝานออกหมัด อากาศรอบข้างกินพื้นที่กว่าพันจ้างราวกับถูกแช่แข็งในพริบตา
เมื่อต้องเผชิญกับอานุภาพของหมัดที่ทรงพลัง อสูรที่มีร่างกายทรงพลังกลับดูราวกับก้อนน้ำแข็งทั่วไป พวกมันทั้งหมดถูกอานุภาพของหมัดบดขยี้จนแตกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา
หนิงฝานไม่ออมมืออีกแล้ว!
เขาจะจับตัวสื่อฟงให้ได้!
นางคาดไม่ถึงว่าหนิงฝานจะสังหารอสูรที่ทรงพลังทั้งหมดได้ในหมัดเดียว สิ่งที่นางทำได้ในยามนี้คือต้องหนี!
เหตุที่หนิงฝานยังไม่เอาจริง อาจเป็นไปได้ว่าคิดจะจับตนเป็นๆ!
ใบหน้านางเริ่มซีดขาวราวกับกระดาษ หนิงฝานแข็งแกร่งกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก
นางไม่มีทางเอาชนะหนิงฝานได้… ต่อให้เสี่ยงชีวิตก็มีโอกาสเพียง 3 ใน 10 ส่วน หากนางถูกอัสนีฟาดผ่า นางย่อมบาดเจ็บไม่น้อย
ประมาท… นางประมาทหนิงฝานมากเกินไป ดูเหมือนวันนี้นางต้องล้มเลิกเรื่องชิงอัฐิสวรรค์ไปก่อน เว้นแต่นางจะใช้ไพ่ตายโต้กลับพลิกสถานะการณ์ได้ แม้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่นางก็ไม่ลังเล
ยามนี้นางไม่อาจต้านอัสนีไหวแล้ว นางรู้ดีว่าทำยังไงก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่
จะฝืนใช้อักษรอสูรหรือจะหลบหนี นางต้องเลือก!
“บัดซบ! วันนี้ถอยก่อน วันข้างหน้าค่อยหาทางสังหารและชิงอัฐิสวรรค์มา!”
นางขบฟันถอนมือเลิอกต้านอัสนี มือเร่งสัมผัสกระเป๋านำเอายันต์ที่สลักด้วยอักษรโบราณออกมาหลายแผ่น จากนั้นนำยันต์เหล่านั้นทาบหน้าอก ปราณอสูรจำนวนมหาศาลเพิ่มพูน เสริมกำลังต้านรับอัสนี
แต่ด้วยอานุภาพของอัสนีไม่ธรรมดาอย่างที่นางคิด ยันต์ในมือถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปอย่างต่อเนื่อง แต่นางก็อาศัยจะงหวะนั้นหนีออกมาจากอัสนีด้วยร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
อัสนีของหนิงฝานทรงอานุภาพเทียบได้กับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่ามนุษย์หรืออสูรที่มีร่างกายอันทรงพลังแข็งแกร่งก็ยังไม่อาจต้านทาน จะมีก็เพียงเทพเท่านั้นที่รอดพ้นจากทัณฑ์อัสนีสวรรค์ได้
เมื่อหนีพ้นจากอัสนี นางเร่งทะยานหนีสุดชีวิต
ต้านหลังของนาง ก็มีหนิงฝานไล่ตามมา
เขาใช้เพลงหมัดทะลายน้ำแข็ง จู่โจมนางที่กำลังใช้ย่างก้าวพริบตา รอบข้างพันจ้างถูกแช่แข็งและแตกละเอียด
“ทะลาย!”
หนิงฝานกล่าวน้ำเสียงเย็นชา สื่อฟงที่ถูกหมัดทะลายชก กระอักโลหิตคำโต
ในชั่วลมหายใจนั้นเอง พลังสายหนึ่งกลับแล่นไปทั่วร่างของนาง ทั้งยังยากจะขับออก
“นี่มัน… วิชาเย้ายวน! เจ้าใช้กับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ปราณอสูรในร่างของนางไหลเวียนช้าลง จนไม่อาจใช้ย่างก้าวพริบตา นางทำได้เพียงขบฟันรับแรงกระแทก ร่างของนางในยามนี้กำลังดิ่งลงจากนภาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่า… มันคือดรรชนีคลายหยิน นับจากวันนี้ไปเจ้าไม่ใช้ผู้รับใช้ของขุนพลปีศาจอีก แต่เจ้าจะเป็นกระถางขัดเกลาของข้า”
คำกล่าวที่เย็นชาของหนิงฝานดังมาจากด้านหลัง ทำให้นางสั่นสะท้าน
พลังของดรรชนีคลายหยินที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ทำให้ร่างกายของเริ่มอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง
“วิชาเย้ายวนนี่… เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นผู้รับใช้ของขุนพลอสูร!” นางขบฟัน นางรู้ว่าไม่อาจรอดพ้นจากมือหนิงฝานได้อีก นางไม่อาจขัดขืน กระทั่งไม่อาจใช้อักษรบนหน้าผากได้
นางประมาทหนิงฝานมาตั้งแต่ต้น หากนางกระตุ้นอักษรบนหน้าผากตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ เรื่องทุกอย่างคงจบ
แม้หนิงฝานจะสะกดปราณของนางได้ แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท
ครั้งก่อนที่จับตัวปีศาจบุบผาแดง เขายังจำได้ว่านางสามารถเรียกเจตจำนงค์อสูรของผู้เป็นนายมาได้
ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวรับมือ
โดยการนำกระบี่แยกสวรรค์ แทงไปยังอักษรบนหน้าผากนาง แล้วกรีดขวางทำลายอักษรเหล่านั้น ในชั่วลมหายใจนั้นเอง เสียงของชายชราแค่นเสียงก็ดังมา แต่เงาร่างเหมือนในยามนั้นไม่ปรากฏ
“เจ้า… เจ้ากล้าทำร้ายนายท่านลี่ป่าน! ไอ้บัดซบ!” เจตนาสังหารอันแรงกล้าปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
“ตะโกนด่าทอข้าเลย...แล้วเจ้าจะเสียใจ นับจากวันนี้ไป เจ้าเป็นกระถางขัดเกลาในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มคนที่สองของข้า… เพราะคนแรกคือปีศาจบุบผาแดง...”
“อะไรนะ… บุบผาแดงก็...” นางตกตะลึง นางไม่อยากเชื่อว่าปีศาจบุบผาแดงจะเสียท่าให้หนิงฝาน
หนิงฝานไม่สนใจสิ่งที่นางกล่าว แล้วนำนางเข้าแหวน
หนิงฝานจับนางได้ใน 3 กระบวนท่า… แต่หากอีกฝ่ายเป็นบุรุษ หนิงฝานก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นสตรี ย่อมไม่มีสิ่งใดให้กังวล
ไกลออกไป ฮั่วเหลียนนั่งตัวสั่นราวกับคนเสียสติ
ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำอย่างดูราวกับไม่ควรค่าให้กล่าวถึงอีกต่อไป
แม้เป็นแม่ทัพอสูรสื่อฟงผู้เลื่องชี้ยังพ่ายแพ้
น่าหวาดกลัว ซัวหมิงผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว… ซัวหมิงผู้นี้แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?! ถึงกับจับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มได้เป็นๆ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางยังทำไม่ได้
ดังนั้น ฮั่วเหลียนถึงคิดว่าหนิงฝานทรงพลังเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูง
ความหวาดกลัวที่มีต่อหนิงฝานเพิ่มพูน จนมันไม่กล้าขัดขืน
“ซัวหมิงผู้นี้คือปีศาจ… เป็นปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย...” ฮั่วเหลียนกล่าวในใจ
หนิงฝานได้กระถางขัดเกลาคนที่ 2 มาครอบครอง... หากเป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทั่วไปเผชิญหน้ากับนาง พวกมันย่อมสู้ไม่ได้
“ข้ายังคงแข็งแกร่งไม่พอ… ต้องทะลวงขอบเขตแก่นทองคำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
หนิงฝานตามเก็บกระเป๋าของกองทัพอสูรที่ถูกสังหารตาย ยามนี้ กลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังหลายสายกำลังตรงมายังตำแหน่งที่หนิงฝานอยู่ คนพวกนั้นสมควรเป็นคนจากวิหารพิรุณที่มาช่วยคนของแคว้นเหว่ย
หากถูกคนเหล่านั้นพบเข้าคงกลายเป็นปัญหา
“นำทางข้าไปนิกายของเจ้า...”
หนิงฝานคว้าตัวฮั่วเหลียนทะยานออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกล่าว เงาร่างของทั้งสองหายไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงร้องราวกับไก่ถูกเชือดของฮั่วเหลียน
เมื่อจับตัวสื่อฟงได้แล้ว หนิงฝานก็จากไปได้อย่างวางใจ
นับว่าการมาเยือนแคว้นเหว่ยไม่สูญเปล่า
หลังหนิงฝานจากไปชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอก ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม 4 คนก็ร่อนลงมาจากนภา เมื่อเห็นกลิ่นอายที่หลงเหลือจากการต่อสู้ สีหน้าทั้งหมดแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง
“เกิดการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มที่นี่ไม่ผิดแน่...” ชายชราคนหนึ่งกล่าว
“ดูเหมือนเพิ่งจะสู้กันเสร็จด้วย… จากกลิ่นอาย หนึ่งคือมนุษย์ อีกหนึ่งคืออสูร ผู้ที่ชนะคือมนุษย์” ชายวัยกลางคนกล่าว
“มนุษย์… น่าแปลก… นอกจากพวกเราสี่คนแล้วยังมีใครมาเยือนแคว้นเหว่ยอีก?” สตรีอายุประมาณ 30 ปีกล่าว
“พี่ใหญ่หยุนเลี่ย ท่านสัมผัสอะไรได้บ้าง?” สตรีที่งดงามนางนี้หันกล่าวกับชายผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์ด้วยความนับถือ
“ข้าสัมผัสอะไรไม่ได้เลย...” ชายหน้าตาอัปลักษณ์กล่าว
การที่สู้ที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น
แม้การต่อสู้จะดูรุนแรง แต่ผู้ที่ต่อสู้ก็ไม่ได้สังหารกันจนตาย… หรือทั้งสองไม่อาจปลิดชีวิตอีกฝ่ายได้ จึงแยกย้ายไป
ชายใบหน้าอัปลักษณ์ดูราวกับเป็นใหญ่ในจำนวนคนทั้ง 4 คนอื่นๆไม่กล้าโต้แย้งมัน
เพราะชายวัยกลางคน ชายชรา และสตรีที่งดงามเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น ส่วนชายบหน้าอัปลักษณ์เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด
“ไปกันเถอะ… ในเมื่อสหายที่จัดการอสูรไปไม่อยากเผยตัว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสืบหาเรื่องราวต่อ” ชายชรากล่าว ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในเมื่อทุกคนแยกจากไป ชายใบหน้าอัปลักษณ์กลับมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัย
กลิ่นอายของมนุษย์ที่สู้กับอสูรนั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย เหมือนมันเคยพบที่ไหนมาก่อน
กลิ่นอายของคนผู้นี้ คล้ายกับผู้เยาว์ที่มันพบในแคว้นเยว่ นิกายกุ่ยเชว่ มันจึงรู้สึกสงสัย
แม้มันพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก
“เป็นใครกัน… ข้ามั่นใจว่าข้าเคยพบคนผู้นี้มาก่อน”
แต่น่าเสียดายที่มันคิดไม่ออกจริงๆ จึงได้พุ่งทะยานหายไปในพริบตา...