เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0019
ตอนที่ 19 : สระราชสีห์สวรรค์
หลังจากหยางฉีเย่ว์เดินจากไป ฉินหยุนก็เริ่มการฝึกก้าวอัคคีเมฆา
เขาหลับตาลงและเริ่มย่อยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิชาก้าวอัคคีเมฆาที่อยู่ภายในใจ
ปรมาจารย์วิชายุทธ์ได้อธิบายเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว และก็ยังได้หยางฉีเย่ว์ช่วยชี้แนะเส้นทางอย่างไม่มีปิดบัง ทำให้ภายในใจของฉินหยุนเกิดความซับซ้อนทางคำอธิบายภายในใจจนต้องเริ่มประมวลความคิดให้ดี
ทว่าเรื่องราวกลับแปลก ขณะที่เขาจัดเรียงความคิดอยู่นั้น พวกมันกลับเริ่มกระจ่างขึ้นมา
“เป็นแบบนี้!” ฉินหยุนลืมตาขึ้นและยิ้มออก เขาคล้ายรู้แจ้งได้อย่างกะทันหัน
หลังจากนั้น เขาเริ่มโคจรพลังปราณตามวิธีการที่ได้เรียนรู้มา
เพียงอึดใจถัดจากนั้น ฉินหยุนสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนของอากาศภายในร่าง คลื่นอากาศนั้นยิ่งมายิ่งร้อนแรงขึ้น มันยิ่งขยายขนาดใหญ่มากขึ้น
ไม่นานนัก เขารู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองเบาลงทีละน้อย
“เพื่อใช้งานก้าวอัคคีเมฆา เราต้องเร่งความเร็วการสร้างคลื่นอากาศความร้อน ตอนนี้ออกจะช้าไปบ้าง”
หลังฝึกฝนครั้งแรกเรียบร้อย ฉินหยุนจึงเริ่มอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ใช้เวลาราวสามสิบวินาที หากเขาอยู่ในระหว่างการต่อสู้ คงไม่มีเวลามากถึงขนาดนี้อย่างแน่นอน
“ดูเหมือนต้องฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะได้เรื่อง!”
คราวนี้เขาจึงเน้นการฝึกจัดสันปันส่วนพลังภายใน และค่อยเริ่มการควบแน่นพลังภายในให้เข้ากับเคล็ดวิชา
หากมองเคล็ดวิชานี้โดยผิวเผิน มันคือเคล็ดวิชาท่าเท้าที่งดงาม มีเพียงต้องผสมผสานเคล็ดวิชาพลังภายในจึงสามารถแสดงผลร่วมกันให้เกิดเป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ได้ หากทำได้ถึงขั้นนั้นเท่ากับว่าเขาสำเร็จการฝึกขั้นต้นแล้วนั่นเอง
กว่าหยางฉีเย่ว์จะกลับมาก็ช่วงบ่าย นางเพียงนำมื้ออาหารกลางวันมาให้ฉินหยุนก่อนเร่งร้อนออกไป ซึ่งครั้งนี้เขาไม่ทราบว่านางไปที่ใดหรือทำอะไร
หลังฉินหยุนจัดการมื้อเที่ยงเรียบร้อย เขาก็เริ่มการฝึกก้าวอัคคีเมฆาต่ออีกครั้ง พร้อมกันนั้นก็เริ่มการโคจรก้าวอัคคีเมฆาด้วยพลังปราณไปด้วย
ในช่วงบ่าย ดวงตะวันทั้งเก้ากำลังเผาไหม้ผืนแผ่นดิน
ภายใต้ดวงตะวันร้อนแรง ร่างท่อนบนของฉินหยุนเต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกโชก
ในตอนนี้เขาสามารถปลดปล่อยพลังปราณของก้าวอัคคีเมฆาได้ภายในสิบห้าวินาทีแล้ว เป็นผลให้ร่างกายของเขาเบาขึ้น แต่เขายังรู้สึกเวลาเท่านี้ยังไม่น่าพอใจ
“สำหรับวิชาเคลื่อนไหว จำเป็นต้องปล่อยพลังปราณให้ได้ภายในสามวินาที หากไม่ถึงขั้นนั้นแล้วก็ไม่มีทางใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้”
ที่เขาทำก็คือการโคจรพลังปราณและฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยิ่งแสงตะวันเข้มข้นเพียงใด พลังวิญญาณที่ดวงตะวันทั้งเก้าถ่ายทอดออกมาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ฉินหยุนใช้สร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวันเพื่อดูดซับพลังของตะวันทั้งเก้าเข้าสู่ร่างกาย มันไหลเวียนอย่างรวดเร็วและฟื้นฟูเขาจากความรู้สึกเหนื่อยล้า
หากเป็นผู้อื่น พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีทางเอาแต่ฝึกฝนพลังปราณเพื่อวิชาเคลื่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้ เพราะพวกเขาไม่มีพลังปราณมากพอจะหล่อเลี้ยง
หลังจากช่วงบ่ายผ่านพ้นการฝึกอันหฤโหด ไม่เพียงฉินหยุนรู้สึกคุ้นเคยกับพลังปราณอัคคีเมฆา เขายังได้รับความสามารถในการควบคุมพลังธาตุและพลังปราณเพิ่มมากขึ้น
“ตอนนี้เราสามารถปลดปล่อยพลังปราณอัคคีเมฆาได้ภายในสิบวินาที สงสัยจริงว่าประมาณนี้คือระดับใด?” ฉินหยุนเช็ดคราบเหงื่อขณะนั่งลงพักผ่อน
ตอนนี้ตะวันใกล้ลาลับฟ้าแล้ว ขณะเขามองดวงตะวันตกดินที่ลึกลับทั้งเก้าและงดงามอยู่นั้น สายตาเขาคล้ายเหม่อมองไปไกลยิ่งกว่า
พลังที่ประทานแก่เขาโดยดวงตะวันทั้งเก้าเป็นผลให้เขารู้สึกคารวะโลกนี้จากใจจริง ถึงตอนนี้ เขารู้สึกได้ถึงความสงสัยแรงกล้าและความปรารถนาที่จะอยากรู้จักโลกใบนี้มากขึ้น
“ทำไมดวงตะวันทั้งเก้าถึงเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณเก้าตะวันได้กัน?” ฉินหยุนคิดเช่นนี้กับตนเองขณะมองดวงตะวันสีแดงทั้งเก้าคล้อยลับขอบฟ้าไป
หยางฉีเย่ว์นำมื้อเย็นกลับมาด้วย เป็นเนื้อสัตว์สำหรับบำรุงกำลังชั้นดี รวมทั้งยังมีจานอื่นที่ประกอบด้วยสมุนไพรมีสรรพคุณทางยา กระทั่งมีซุปเนื้อ
“อาจารย์ เรื่องการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังฉินหยุนล้างมือเรียบร้อย เขาจึงกลับมาที่โต๊ะและเอ่ยถามทั้งรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้เริ่มลงทะเบียน และการประลองอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้นภายในอีกห้าวัน” หยางฉีเย่ว์นำอาหารออกจากกล่องไม้ขนาดใหญ่ “เจ้ากินตามสบายเลย ข้ากินมาเรียบร้อยแล้ว”
“วันนี้อาจารย์ไปที่ใดมากัน? วันนี้ทั้งวันข้าไม่เห็นท่านเลย” ฉินหยุนเอ่ยถามระหว่างกินไปด้วย
“สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงมีความคิดย้ายข้าไปที่อื่น และจะให้เจ้าเข้าร่วมกับห้องเรียนอื่นแทน” หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจกล่าว “พวกเขาคิดว่าให้ข้าสอนนักเรียนเพียงคนเดียวคือเรื่องที่เสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ”
เมื่อฉินหยุนได้ยินดังนี้ เขาแทบกินต่อไปไม่ได้ เขาไม่อยากแยกจากหยางฉีเย่ว์ในตอนนี้
หยางฉีเย่ว์ยิ้มให้ฉินหยุนและกล่าว “ไม่ต้องกังวล ข้าพูดคุยกับผู้อำนวยการจางเรื่องวันนี้เรียบร้อย เขาเข้าใจและจะให้ข้าสอนเจ้าต่อจนครบภาคการศึกษา หลังทำหน้าที่อาจารย์เรียบร้อยข้าจึงค่อยจากไป เพราะแบบนั้นในภาคเรียนนี้ข้าจะต้องอัดแน่นพื้นฐานแก่เจ้า และหลังจากนั้น ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
ฉินหยุนโล่งอก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดใจ หลังภาคการศึกษานี้ เขาต้องแยกจากหยางฉีเย่ว์!
หยางฉีเย่ว์เอ่ยถาม “แล้วก้าวอัคคีเมฆาเป็นอย่างไร? เรียนรู้ยากใช่หรือไม่? วิชายุทธ์นี้ค่อนข้างยากเรียนรู้กว่าวิชาฝึกฝนพลังภายในพอสมควร”
ฉินหยุนเป็นกังวลว่าความคืบหน้าของตนจะทำให้อาจารย์ไม่พอใจนัก เขากล่าวอ้อมแอ้ม “ข้า... ข้าเพียงใช้พลังปราณอัคคีเมฆาทำให้ร่างกายเบาลงเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มท่าเท้าเลยขอรับ”
หลังหยางฉีเย่ว์ได้ยินเช่นนั้น นางถึงกับประหลาดใจแล้วค่อยยิ้มออก “ไม่เลว! งั้นข้าขอตัวไปพักก่อน เจ้าล้างจานพวกนี้แล้วก็วางไว้ได้ โอ้ใช่ แล้วก้าวอัคคีเมฆานั้นมีส่วนใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ!”
ฉินหยุนเอ่ยคำถามที่ค้างคาไว้จำนวนหนึ่งโดยทันที หลังได้รับคำตอบเรียบร้อย นางจึงกลับห้องของนางและบอกเขาให้พักผ่อนให้ดี วันพรุ่งนี้เขาจะไปกับนางเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์
หยางฉีเย่ว์บอกให้ฉินหยุนพักผ่อนให้ดี แต่ค่ำคืนนี้เขาแทบไม่ได้พัก เขายังเอาแต่ฝึกฝนก้าวอัคคีเมฆาไม่เลิกรา
“ก้าวอัคคีเมฆาก็แค่วิชายุทธ์ระดับสูง แต่กลับยากทำความเข้าใจนัก เราต้องเรียนท่าเท้าให้ดีและเชี่ยวชาญมันให้ได้”
ตัวเขานั้นอ่อนแอ อีกทั้งยังมีวิชายุทธ์ติดตัวน้อยนิด เขาไม่เหมือนผู้อื่นที่มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องเชี่ยวชาญผ่านความอุตสาหะฝึกฝนเคล็ดวิชาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ยิ่งก้าวเดินไกลเท่าไหร่ยิ่งยากลำบากเท่านั้น!” ฉินหยุนขมวดคิ้วและถอนหายใจออก
สิ่งที่เขาไม่ทราบคือความเชี่ยวชาญของเขาต่อก้าวอัคคีเมฆานั้นรวดเร็วมากนัก จากมุมมองของหยางฉีเย่ว์ เขาสมควรต้องใช้เวลาอย่างน้อยเกือบเดือนถึงจะเรียนรู้ก้าวอัคคีเมฆาได้
ตะวันกำลังเคลื่อนตัวขึ้น แสงแดดยามเช้าค่อนข้างอ่อนโยน ตอนนี้คือเวลาที่พลังวิญญาณเก้าตะวันบริสุทธิ์ที่สุด
เมื่อฉินหยุนเห็นแสงแรกของวัน เขาเร่งร้อนหลับตาลงเพื่อชักนำพลังวิญญาณสู่ร่างเพื่อชำระร่างกายจากความเหนื่อยล้า
การฝึกฝนตลอดทั้งคืนของเขานั้น เพียงดูดซับพลังวิญญาณเก้าตะวันในช่วงเช้าสักชั่วโมงหนึ่งก็เพียงพอ ให้เขากลับเป็นมีกำลังและไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด เรื่องนี้คือหลักฐานว่าพลังวิญญาณเก้าตะวันล้ำเลิศเพียงใด!
หยางฉีเย่ว์ตื่นช่วงเช้าตรู่ในทุกวัน วันนี้นางเพียงสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินบาง นางทั้งละเอียดอ่อนและสง่างาม ออร่าที่ปลดปล่อยออกมาเสมือนเทพเซียน ความงามของนางที่ผ่านการขัดเกลาโดยสวรรค์นี้ยิ่งทำให้ฉินหยุนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้
หลังฉินหยุนจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย หยางฉีเย่ว์ก็จัดการเตรียมการให้เขา พวกเขาทั้งสองมุ่งหน้าไปยังหอราชสีห์สวรรค์!
ไม่ช้าพวกเขาก็ถึงหอราชสีห์สวรรค์
ทั่วทั้งหอหลักแห่งนี้กว้างใหญ่และโอ่อ่า ที่ประตูหลักด้านหน้านั้นประดับด้วยรูปปั้นราชสีห์ทองคำตระหง่าน
พวกเขามาถึงแต่เช้า ประตูหอหลักยังไม่เปิด
หยางฉีเย่ว์มองรูปปั้นราชสีห์ทองคำและเอ่ยคำ “เจ้าสามารถเข้าร่วมการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์ครั้งนี้หากอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่หรือห้า แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถผ่านการทดสอบ หากต้องการเข้าร่วมการประลองยุทธ์ บุคคลผู้นั้นจำเป็นต้องพิสูจน์พลังระดับหนึ่งให้เห็น ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องผ่านการทดสอบเล็กน้อยก่อนเป็นด่านแรก”
ฉินหยุนมองหอราชสีห์สวรรค์ มันโอ่อ่ามากเกินไปจนทำให้เขารู้สึกว่านี่คือสถานที่สำคัญของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง เขาเอ่ยถามขึ้น “อาจารย์ หากข้าได้อันดับหนึ่งในการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์ครั้งนี้ รางวัลใดกันที่ข้าจะได้รับ?”
หยางฉีเย่ว์เดินไปหยุดตรงหน้ารูปปั้นราชสีห์ นางมองขึ้นที่รูปปั้นซึ่งสูงกว่าสิบเมตรและกล่าวว่า “หากเจ้าชนะและได้อันดับหนึ่ง เจ้าสามารถเข้าไปฝึกฝนที่บ่อราชสีห์สวรรค์ได้!”
“น้ำพุจากบ่อราชสีห์สวรรค์นั้นร้อนแรงยิ่งและยากทานทน กล่าวไว้ว่ามันถูกสร้างขึ้นจากโลหิตของราชสีห์และน้ำพุพิเศษที่ผุดขึ้นจากใต้ผืนโลก มันคือโอกาสอันดีที่จะเสริมสร้างพละกำลัง ด้วยเหตุนี้เจ้าจำเป็นต้องเตรียมตัวให้ดีเสียแต่ตอนนี้เพื่อคว้าเอาที่หนึ่งในการทดสอบเบื้องต้นของการประลองยุทธ์ราชสีห์สวรรค์!”
ฉินหยุนพยักหน้ารับทราบ ภายในใจของเขาตอนนี้ ภาพที่ตนกำลังยืนรับรางวัลอันดับหนึ่งอยู่นั้นคือความปรารถนาอันแรงกล้า