ตอนที่ 14 การประชุมประจำตระกูล
ฉู่ชิงหยุนฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งหมดเรี่ยวแรง จากนั้นเขานั่งลงบนพื้นและนำเม็ดยาเสริมพลังวิญญาณกับเม็ดยาหลอมกายาออกมาเพื่อให้พลังปราณของเขาฟื้นคืนกลับมา
เมื่อเขาฟื้นพลังเสร็จ เขาเริ่มฝึกหนักอีกครั้ง โดยที่ไม่เกรงกลัวต่อความเหน็ดเหยื่อยและความยากลำบาก
ภายในมิติของหินสังสารวัฎ ในที่สุดฉู่ชิงหยุนก็ฝึกฝนกระบวนท่าแรกของ "ทักษะดาบวายุอัสนีคลั่ง" ได้สำเร็จหลังจากที่ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาสิบวัน
เวลาสิบวันภายในหินสังสารวัฎนั่นหมายความว่าโลกภายนอกผ่านไปแค่สองวันเท่านั้น
"สิบวันที่ข้าฝึกฝนอย่างหนัก อย่างน้อยข้าก็ประสบความสำเร็จเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน" ฉู่ชิงหยุนพูดอยู่ในใจ และออกมาจากมิติภายในหินสังสารวัฎ แล้วเดินตรงไปที่ลานกว้าง
เขายืนอยู่ตรงกลางลานกว้าง โคจรพลังปราณไปทั่วร่างกายและรวบรวมไปที่แขนแล้วทำร่างกายกับจิตใจให้สงบ โดยจินตการว่าตัวเขาเป็นสายลมขณะรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งกับดาบที่อยู่ในมือ
"ย๊าก!"
ฉู่ชิงหยุนก้าวออกไปข้างหน้าและกระโจนออกไปอย่างกะทันหัน
ความเร็วของเขาเทียบเท่ากับลมพายุ มันเหมือนกับว่ามือของเขาเลือนรางหายไปและเห็นแค่แสงของดาบเท่านั้น มันรวดเร็วมากจนยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า
ตู้ม!
ดาบของเขากระแทกไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ ทำให้บนก้อนหินขนาดใหญ่ปรากฏรอยแตกร้าวลึกสองนิ้วจากการโจมตีของเขา
"ไม่เลว" ฉู่ชิงหยุนเก็บดาบด้วยสีหน้าพึงพอใจ
มันมีอยู่สองเหตุผลว่าทำไมฉู่ชิงหยุนถึงเลือกฝึกฝน "ทักษะดาบวายุอัสนีคลั่ง"
อย่างแรก การฝึกฝน "ทักษะดาบวายุอัสนีคลั่ง" จะทำให้เขารวมเป็นหนึ่งกับสายลมและสายฟ้า และในขณะฝึกฝนเขาต้องใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน เพื่อให้กล้ามเนื้อและโลหิตของเขาจะแข็งแกร่งขึ้น
อย่างที่สอง กระบวนทั้งสามของทักษะดาบวายุอัสนีคลั่งจะยกระดับขึ้นทีละขั้น ซึ่งเหมาะสมกับเขามากสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ท้ายที่สุด ยิ่งทักษะยุทธมีระดับสูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งฝึกฝนยากมากขึ้นเท่านั้น ถ้าฉู่ชิงหยุนกำลังฝึกฝนทักษะยุทธระดับศักดิ์สิทธิ์หรือระดับสวรรค์ แม้จะให้เวลาเขาครึ่งปีก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะฝึกสำเร็จ
จากต่ำไปสูง ก้าวหน้าทีละก้าว เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา
"ดาบที่ข้าฟาดฟันออกไปเมื่อครู่มันรวดเร็วมาก เทียบได้กับจอมยุทธระดับจิตวิญญาณทั่วไป ถ้าข้าออกไปเผชิญหน้ากับฉู่หยางอีกครั้ง ด้วยทักษะนี่ มันจะไม่มีโอกาสแม้แต่เคลื่อไหว"
ตอนนี้เขาอ่อนแอกว่าตัวเองในชีวิตที่แล้วหลายพันเท่า แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขาฝึกฝนกระบวนท่าแรกของ "ทักษะวายุอัสนีคลั่ง" จะทำให้ฉู่ชิงหยุนมีความสามารถที่จะปกป้องตัวเขาเอง
"หืม?" ในขณะนั้น ดวงตาของฉู่ชิงหยุนแข็งทื่ออย่างกะทันหัน
ในร่างกายของเขา ห้วงจิตวิญญาณของเขากำลังหมุนเวียน พลังปราณกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายและพุ่งปะทะไปที่กำแพงสู่ขั้นถัดไป
กำแพงระดับพลังถูกทำลายอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของฉู่ชิงหยุนสั่นเล็กน้อย ทั้งร่างกายของเขากำลังพลุ่งพล่านไปด้วยพลังปราณ
"ทะลวงผ่าน!" ฉู่ชิงหยุนตะโกนด้วยสีหน้าแสดงออกถึงความสุข
ในช่วงสิบของการฝึกฝนอย่างหนัก ฉู่ชิงหยุนได้กินเม็ดยาไปจำนวนมาก และตอนนี้ เขายังฝึกฝนกระบวนท่าแรกของทักษะดาบวายุอัสนีคลั่งสำเร็จแล้ว ตอนนี้เขาอารมณ์ดีเป็นอย่างมากและเต็มไปด้วยความกล้าหาญ หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับหลอมกายาขั้นสี่
"การฝึกฝนไม่เพียงแค่เป็นการฝึกฝนร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนจิตใจของตัวเองด้วย ดูเหมือนว่าประโยคนี่จะเป็นความจริง" ฉู่ชิงหยุนยิ้มเล็กน้อย
"พี่หยุน ใกล้จะถึงเวลาแล้ว" ในขณะนั้น เมื่อสุ่ยหลิวเชียงเห็นฉู่ชิงหยุนกำลังยืนอยู่กลางลาน นางจึงเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ
หลังจากที่กลับมาจากเมืองซีเฟิง ฉู่ชิงหยุนได้รับความมั่งคั่งกลับมามากมาย และชีวิตของเขาจะไม่อนาจเหมือนกับแต่ก่อน
ในขณะนั้น สุ่ยหลิวเชียงกำลังสวมชุดสีเหลือง ใบหน้าของนางไม่ดูซีดขาวอีกต่อไป แต่ดูแดงเล็กน้อย
นางยิ้มให้กับฉู่ชิงหยุน และปรากฏลักยิ้มอยู่ที่ตรงแก้มของนาง
"พี่หยุนถึงเวลาแล้ว" เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาที่เร่าร้อนของฉู่ชิงหยุน สีหน้าของสุ่ยหลิวเชียงกลายเป็นสีแดงก่ำ
จากนั้น ฉู่ชิงหยุนกลับมาตั้งสติได้ เขาเกาหัวและพูดพรางหัวเราะแห้งๆออกมา "เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ"
ฉู่ชิงหยุนเดินออกจากลานพร้อมกับสุ่ยหลิวเชียง ขณะที่ฉู่หู่รอคอยพวกเขาอยู่ด้านนอกนานแล้ว และจากนั้นทั้งสามคนก็เดินมุ่งหน้าไปที่ตำหนักบรรพบุรุษของตระกูลฉู่
วันนี้เป็นวันประชุมประจำตระกูลฉู่
ตามกฎของตระกูลฉู่ ทุกปีสมาชิกของตระกูลฉู่ทุกคนจะต้องเข้าร่วมการประชุม นอกเหนือจากการพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางความเป็นไปของตระกูลฉู่ในปีถัดไปแล้ว พวกเขาจะรวมจิตใจของผู้คนให้รวมเป็นหนึ่งเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลฉู่
ตลอดทาง ฉู่ชิงหยุนเห็นสมาชิกตระกูลฉู่ที่เดินผ่านไปมามองเขาด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและบางคนเริ่มกระซิบนินทา
"ไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก" ฉู่ชิงหยุนไม่คิดที่จะลดตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านั้น และพูดให้ฉู่หู่สงบสติอารมณ์ลงจากคำพูดซุบซิบนินทา และทั้งสามคนยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ไหวติ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงตำหนักบรรพบุรุษตระกูลฉู่
ในเวลานั้น สมาชิกตระกูลจำนวนมากของตระกูลฉู่ได้รวมตัวกันรออยู่ที่ด้านนอกตำหนักบรรพบุรุษแล้ว และยังคงมุ่งหน้ามารวมตัวกันไม่ขาดสาย และเมื่อพวกเขาเห็นฉู่ชิงหยุนปรากฏตัวออกมา สายตาของผู้คนจำนวนมากเริ่มจับจ้องไปที่เขาพร้อมกับเสียงซุบซิบฃ
ในตำหนักบรรพบุรุษ ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงกำลังนั่งรอด้วยสีหน้าสงบ ซึ่งทำให้ผู้คนไม่อาจมองเห็นได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ชายคนนั้นคือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลฉู่ ฉู่ผิงเทียน
ด้านซ้ายและด้านขวาของเขาคือผู้อาวุโสรองของตระกูลฉู่ และผู้อาวุโสสามของตระกูลฉู่
ผู้อาวุโสทั้งสามคนอยู่ที่นี่แล้ว ทำให้บรรยากาศของที่นี่ดูตึงเครียดเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลฉู่ จนต้องย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองฉู่ ทรัพย์สินของฉู่ชิงหยุนถูกคนอื่นช่วงชิงไปจนหมด และผู้อาวุโสทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้าเขาคือคนที่ดูแลทรัพย์สินและความมั่งคั่งของตระกูลเกือบทั้งหมด
มันไม่มีการพูดเกินจริงแต่อย่างใดที่จะกล่าวว่า พวกเขาสามคนเป็นแค่ผู้อาวุโสของตระกูล แต่มีอำนาจเด็ดขาดที่สุด
วันนี้พวกเขาได้เข้าร่วมการประชุมประจำตระกูลเพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือบังคับให้ฉู่ชิงหยุนยอมจำนนและส่งมอบตราผู้นำตระกูล แล้วเลือกผู้นำตระกูลฉู่คนใหม่
"พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะกลับมา" ฉู่ชิงหยุนพูดกับฉู่หู่และสุ่ยหลิวเชียง จากนั้น เขาก้าวเท้าออกไปและเดินเข้าไปในตำหนักบรรพบุรุษ
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉู่ชิงหยุนก้าวเท้าเดินเข้ามา ฉู่ผิงเทียนที่นั่งอยู่ตรงกลางลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ฉู่ชิงหยุน ข้าจะไม่พูดจาไร้สาระกับเจ้าอีกต่อไป จงรีบส่งตราผู้นำตระกูลมาให้ข้าแต่โดยดี"
คำพูดของฉู่ผิงหยุนนั้นตรงจนเกินไป ถึงขั้นทำให้ฝูงชนต่างรู้สึกตกตะลึง
พวกเขาต่างรู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสามคนต้องการที่จะกดดันให้ฉู่ชิงหยุนยอมจำนน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้
การประชุมประจำตระกูลเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่ฉู่ผิงเทียนก็บอกให้ฉู่ชิงหยุนส่งตราผู้นำตระกูลซะแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของเขายังเคร่งขรึมและมีแสงที่หนาวเย็นอยู่ในดวงตา ซึ่งเต็มไปด้วยภัยคุกคามอย่างเห็นได้ชัด