เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0017
ตอนที่ 17 : เชี่ยวเย่ว์หลาน
“แปลกแล้ว ปราณทั้งหมดจากเม็ดยาหายไปไหน? พลังธาตุก็ใหญ่ขึ้น แล้วมันไปซ่อนอยู่ตรงไหนได้กัน?”
ฉินหยุนสับสนยิ่ง เม็ดยาทั้งสองไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังปราณแก่เขาเลย
ด้วยการใช้สร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวัน เขาจึงสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณเก้าประเภทที่บรรจุเอาไว้ภายในเม็ดยาปราณได้ แต่มันกลับไม่ได้ช่วยเสริมสร้างพลังปราณแก่เขา
“ลองกินอีกสองแล้วจับตาดูอีกทีแล้วกัน!”
ฉินหยุนทำได้เพียงทดลอง ครั้งนี้ เขาเลือกเฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวัง หากเขาเห็นเรื่องราวเดียวกับก่อนหน้า เขาก็ต้องทราบว่าเหตุผลคืออะไร
เม็ดยาปราณนั้นบรรจุเอาไว้ซึ่งพลังวิญญาณปริมาณมหาศาล ระหว่างขั้นตอนการดูดกลืนพลังวิญญาณ เขาไม่รู้สึกหิวหรือรู้สึกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปแม้เพียงนิด
กลางดึกสงัด ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว ดินแดนที่ร้อนแรงในที่สุดก็ได้พักผ่อนและตกอยู่ในความเงียบงัน
ภายในห้อง ฉินหยุนกำลังขัดเกลาพลังภายในเม็ดยาอยู่
อย่างกะทันหัน เขาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้ายินดีและพึมพำกับตนเอง “เป็นแบบนี้นี่เอง!”
เม็ดยาทั้งสองที่เขากินเข้าไปคราวนี้ก็ยังไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังปราณที่พลังธาตุให้แก่เขา แต่ใจของเขากลับเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น
ในที่สุดเขาก็รู้เหตุผล!
ฉินหยุนเพิ่งพบว่ามันมีพลังธาตุอีกแห่งอยู่ภายในตันเถียนของตน!
สิ่งนี้คือพลังธาตุแห่งที่สอง มันเพิ่งก่อกำเนิดขึ้นมา!
หลังทำการปลุกวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง พลังภายในของเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองม่วงตามไปด้วย แต่ทว่า พลังภายในที่สองซึ่งกำลังพัฒนาอยู่นั้นกลับเป็นสีดำ!
พลังธาตุดังกล่าวก่อเกิดขึ้นเพราะวิญญาณยุทธ์สั่นไหวสีดำที่ลึกลับ!
วิญญาณยุทธ์สั่นไหวสมควรเป็นวิญญาณยุทธ์ในตำนาน โดยปกติแล้วเขาจำเป็นต้องใช้พลังภายในเพื่อปกป้องร่างกาย ดังนั้นหลังจากฉินหยุนกลืนเม็ดยาปราณที่มีปริมาณพลังวิญญาณมหาศาลเข้าไป ร่างกายจึงตอบสนองด้วยการสร้างพลังธาตุสีดำขึ้นมาโดยเขาไม่รู้ตัว
“ดี คราวนี้วิญญาณยุทธ์สั่นไหวสีดำนี่ให้ผลประโยชน์ในทางลับแล้ว มันลึกลับยิ่งกว่าพลังปราณสีทองม่วงเสียอีก แม้ขนาดยังเล็ก แต่ก็ทรงพลังมาก”
ฉินหยุนวางมือลงกับโต๊ะขณะลอบโคจรพลังปราณ ขณะที่มันพรั่งพรูออกจากฝ่ามือ มันจึงเริ่มก่อเกิดขึ้นเป็นคลื่นกระแทก จากนั้น... โต๊ะพลันแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผสานรวมปราณไฟกับปราณสั่นไหวเข้าด้วยกัน?”
ฉินหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาไม่กล้าเร่งร้อนทดลองเพราะอาจก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
วิญญาณยุทธ์สีดำนั้นประหลาดเกินไป เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้
“เม็ดยาปราณสี่เม็ดไม่พอให้ข้ามระดับ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มันกลั่นตัวเกิดขึ้นเป็นพลังปราณและพลังธาตุแห่งที่สองได้ พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากวิญญาณยุทธ์ที่สองแข็งแกร่งยิ่งกว่า พลังปราณของวิญญาณยุทธ์ทั้งสองสามารถใช้ร่วมกันได้ และปราณไฟสีม่วงสามารถดูดกลืนปราณที่สองได้”
ฉินหยุนหลังการทดลองจึงพบวิธีใช้งาน
เริ่มจากใช้พลังปราณจากพลังธาตุทั้งสองแห่งและปลดปล่อยมันออก พลังนี้ทัดเทียมกับขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า!
พื้นฐานของขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าคือการปล่อยพลังปราณออกจากร่างและให้คงอยู่บริเวณโดยรอบ!
เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าถึงการฝึกฝนพลังปราณและพลังธาตุในระดับหนึ่ง พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกจากร่าง และนั่นก็คือขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า!
กรณีที่เรียกใช้พลังธาตุเพียงหนึ่ง ฉินหยุนจะอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ แต่หากเขาเรียกใช้พลังปราณจากพลังธาตุทั้งสองแห่ง เขาจะมีความสามารถเทียบเท่าขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้า!
“ต่อให้เป็นเราทดสอบพลังภายใน ก็จะพบว่าอยู่เพียงระดับสี่” ฉินหยุนรู้สึกพึงพอใจมากที่ได้กลืนเม็ดยาปราณเหล่านี้เข้าไป เพราะมันทำให้เขาได้ครอบครองพลังธาตุแห่งที่สอง
* * *
ช่วงเช้าตรู่ หลังฉินหยุนตื่นขึ้น เขาเดินไปยังห้องก่อนจะพบว่าโต๊ะขนาดใหญ่ตรงหน้าเต็มไปด้วยอาหารเช้า เหล่านี้ล้วนเป็นหยางฉีเย่ว์เตรียมไว้ให้เขา
“รีบเข้ามาแล้วก็กินได้แล้ว!” หยางฉีเย่ว์เอ่ยคำ “นี่เจ้าเลื่อนระดับหรือยัง?”
วันนี้นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนที่ค่อนข้างรัดกาย ด้วยท่าทีและกลิ่นหอมของนางนั้นก็ดึงดูดมากพอแรงแล้ว แต่ด้วยชุดที่สวมใส่ยิ่งทำให้นางดูสูงศักดิ์มากยิ่งขึ้น ส่วนโค้งเว้าของร่างกายอันงดงามยิ่งทำให้นางมากเสน่ห์และวาบหวิวมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น
“ไม่!” ฉินหยุนเพียงส่ายหน้า ขณะทานมื้อเช้าในวันนี้ เขาถึงกับได้ชื่นชมหญิงงามตรงหน้าไปด้วย
“ดูเหมือนปัญหาจะอยู่ที่เส้นวิญญาณงั้นสินะ เจ้านั้นมีเส้นวิญญาณเพียงแค่หนึ่ง ดังนั้นจึงสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้เพียงหนึ่งประเภทจากตัวเม็ดยา” หยางฉีเย่ว์เผยเสียงถอนหายใจดังออกมา ใบหน้างดงามของนางตอนนี้กำลังครุ่นคิด
เดิมนางคิดว่าเมื่อฉินหยุนทำการดูดกลืนเม็ดยาปราณจำนวนหนึ่งเข้าไปผ่านทางวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วงจะทำให้สามารถเลื่อนระดับได้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม
“ไว้รอเจ้ากินมื้อเช้าเสร็จ เดี๋ยวข้าจะร่วมทางไปหอวิชายุทธ์กับเจ้าเพื่อช่วยคัดเลือกวิชายุทธ์ จากนั้นค่อยหาทางชี้แนะเจ้าระหว่างการฝึกฝนวิชายุทธ์” หยางฉีเย่ว์มีเพียงฉินหยุนที่เป็นนักเรียนในปกครอง เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะดูแลเขาดีเป็นพิเศษเช่นนี้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
อย่างกะทันหัน มีคนเคาะประตูสวนที่ด้านนอก เมื่อหยางฉีเย่ว์เดินไปเปิดประตูให้ นางตื่นตกใจขณะเร่งร้อนกลับเข้ามาในบ้าน
“ใครหรือขอรับอาจารย์? นี่ข้าจะมีปัญหาหรือเปล่า?” เมื่อฉินหยุนได้เห็นสีหน้าของหยางฉีเย่ว์ เขาอดรู้สึกกังวลไม่ได้
เพราะเขาทำเย่เหว่ยเสวียนกับเยี่ยนจงหมิงบาดเจ็บไม่ใช่น้อย เขาจึงคิดว่าสองตระกูลมาตามล่าตัวเขา
“เป็นเชี่ยวเย่ว์หลาน! นางอยู่ที่หน้าประตูรั้ว!” ใบหน้าของหยางฉีเย่ว์กลับกลายเป็นแตกตื่นและสงสัยขณะเอ่ยถาม “นางบอกข้าว่า ให้บอกเจ้าว่านางต้องการพบได้หรือไม่?”
ฉินหยุนยังคงเคี้ยวมื้ออาหารอยู่ แต่พอได้ยินชื่อของเชี่ยวเย่ว์หลาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะสำลักจนติดคอ!
ธิดาแห่งสวรรค์ของจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เจ้าหญิงเย่ว์หลาน ผู้ซึ่งครอบครองเส้นวิญญาณเจ็ดตะวัน ถึงกับมาพบเขาด้วยตนเอง!
“เหตุใดนางตามหาข้า? หรือนางคิดจะมาเหยียดหยันข้าถึงที่นี่?” ฉินหยุนเร่งร้อนกลืนอาหารลงท้อง เขากำลังสับสนอย่างถึงที่สุดขณะพบว่าการตัดสินใจพบเชี่ยวเย่ว์หลานหรือไม่เป็นเรื่องยากขึ้นมา
“ข้าจะรู้หรือ!” หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเสียงเบา “นี่เป็นเรื่องของเจ้า เจ้าก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเองแล้ว”
ฉินหยุนตอนนี้ครอบครองพรสวรรค์ระดับตำนานเพราะเส้นวิญญาณเก้าตะวันจากวัตถุ อีกทั้งเขายังมีวิญญาณยุทธ์คู่อยู่ภายในพลังธาตุทั้งสอง นับว่าเขาไม่ได้อยู่ห่างไกลกับเชี่ยวเย่ว์หลานที่ครอบครองเส้นวิญญาณเจ็ดตะวันและวิญญาณยุทธ์ในตำนานเลย
พอคิดเช่นนี้เขาจึงมั่นใจขึ้นมาและกล่าวว่า “ให้นางเข้ามา!”
“ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดแล้ว อายุมากกว่าเจ้าเพียงหนึ่งปีเท่านั้นเอง นับว่าน่าทึ่งนัก!” หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจขณะออกไปเชิญเชี่ยวเย่ว์หลานให้เข้ามา
ใจของฉินหยุนต้องระรัวอีกครั้ง เชี่ยวเย่ว์หลานอายุเพียงสิบหก แต่แล้วนางกลับเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
อีกไม่นานนางคงก้าวขึ้นสู่ระดับที่เก้า ถึงตอนนั้นนางจะทรงพลังอำนาจทัดเทียมหยางฉีเย่ว์!
เหล่าข้าราชบริพารเฒ่าและแม่ทัพชราของพระราชวังหลวงส่วนใหญ่ก็เพียงแค่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่แปดหรือเก้าเท่านั้น แม้พลังระดับนั้นทว่าอายุมาก แต่พวกเขาก็ยังคงทะนงตนในเรื่องดังกล่าว
แต่หากเป็นกรณีตรงหน้าของเขานี้ มีโอกาสสูงมากที่เชี่ยวเย่ว์หลานจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าตั้งแต่ยังเยาว์!
ชั่วขณะที่เชี่ยวเย่ว์หลานเข้ามาในห้อง มันให้ความรู้สึกคล้ายสายลมเย็นเยือกพัดผ่านเข้าหา เป็นผลให้ฉินหยุนสั่นสะท้าน! ร่างของนางคล้ายปรากฏแสงสว่างเรืองรองออกมาพร้อมกลิ่นหอมจางลอยในอากาศเย็น นับเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกถึงความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง
เชี่ยวเย่ว์หลานสวมใส่หมวกไผ่สานและชุดรัดรูปสีดำ นางสูงทัดเทียมหยางฉีเย่ว์ แม้นางอายุเพียงสิบหก แต่ส่วนโค้งเว้าของความงามนั้นสามารถทัดเทียมหยางฉีเย่ว์ได้อย่างไม่ด้อยไปกว่ากัน
เชี่ยวเย่ว์หลานบรรจงถอดหมวกไผ่ออก ในที่สุดฉินหยุนก็ได้เห็นใบหน้าของเด็กสาวสวรรค์ประทาน รูปลักษณ์ของนางไม่ทำให้เขาผิดหวังแม้แต่น้อย
ผมที่ยาวพอสมควรของนางมัดไว้เป็นหางม้า ทำให้รูปลักษณ์การแต่งกายนี้ดูเรียบง่าย ด้วยใบหน้าขาวกระจ่างงดงามมันยิ่งขับความงามของนางให้มากขึ้น ทว่ามันกลับเปี่ยมไปด้วยความเย็นเยือก ทั่วทั้งร่างของนางคล้ายปล่อยออร่าเย็นเยือกออกมาไม่หยุดหย่อน ไม่ทราบว่าเพราะนางประสบพบเจอกับอะไรมาถึงได้เย็นเยือกมากเพียงนี้กันแน่
สิ่งที่ทำเอาฉินหยุนตื่นตะลึงที่สุดคือเด็กสาวตรงหน้าแก่กว่าเขาเพียงหนึ่งปีเท่านั้นเอง แต่ดวงตาเย็นเยือกนั้นกลับสามารถเผยเจตนาฆ่าฟันอย่างชัดเจนและไม่คิดปิดบัง
มือข้างหนึ่งของเชี่ยวเย่ว์หลานสัมผัสไว้ที่ฝักดาบสีดำข้างเอวของนาง มันจับไว้เช่นนั้นไม่มีทีท่าปล่อยวาง เป็นผลให้นางที่กำลังเข้ามาหาเขานี้ทั้งมีความทะนงตนและเผยความคุกคาม
หยางฉีเย่ว์เองก็เป็นโฉมงามที่เย็นชา ทว่านางมีเสน่ห์ อ่อนโยน และมีด้านที่สวยงามให้เขาได้เห็น นางที่เป็นอาจารย์นั้นดูเย็นชา แต่ที่นางเย็นชาและเข้มงวดก็เพราะนักเรียนเหล่านั้นล้วนทะนงตนกันทั้งสิ้น
แต่กับเชี่ยวเย่ว์หลาน นางเย็นชาอย่างสมบูรณ์ เจตนาฆ่าฟันของนางไม่คิดปิดบังแม้แต่น้อย กับเด็กสาวอายุเพียงเท่านี้ถึงกับสามารถปลดปล่อยความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงออกมาได้ไม่หยุดหย่อน!
เชี่ยวเย่ว์หลานสำรวจมองฉินหยุนด้วยดวงตาสดใสและงดงามของนาง ทว่า มันก็ยังคงเผยเจตนาฆ่าฟันไม่คิดเปลี่ยนแปลง
ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลขณะโดนดวงตาคู่นั้นจับจ้องด้วยเจตนาฆ่าฟัน นี่คือแรงกดดันทางจิต!
ชั่วขณะที่เขาเห็นเชี่ยวเย่ว์หลาน เขาถึงกับลืมเลือนรสอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปเมื่อครู่ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาออกมา!
มันไม่ใช่เพราะความงดงามหาใดเปรียบของเชี่ยวเย่ว์หลาน แต่เป็นเพราะเจตนาฆ่าฟันที่เย็นเยือกไม่ลดละของนาง!
“นี่เจ้ามาเพื่อฆ่าข้างั้นหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม