ตอนที่แล้วราชันย์เร้นลับ 55 : นิมิต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชันย์เร้นลับ 57 : เรียบเรียงและหาเหตุผล

ราชันย์เร้นลับ 56 : เอาชีวิตรอดจากท้องทะเล


ราชันย์เร้นลับ 56 : เอาชีวิตรอดจากท้องทะเล

ภายในห้องรับแขกที่ค่อนข้างใหญ่ แอนนาและจอยซ์·ไมเยอร์ นั่งลงบนโซฟาคนละตัว คั่นกลางด้วยผู้ปกครองทางฝ่ายแอนนา

 

จอยซ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอก

 

“ขอบพระคุณเทพแห่งจักรกลไอน้ำ ผมโชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาพบหน้าแอนนาได้อีกครั้ง”

 

“จอยซ์ที่น่าสงสารของฉัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

แอนนาไต่ถามด้วยสีหน้าเก็บกังวล

จอยซ์ชำเลืองมองคู่หมั่นตนเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยใบหน้าดำมืด

 

“ผมยังหวาดผวาจนถึงตอนนี้ เหตุการณ์สุดบ้าคลั่งคอยตามหลอกหลอนผมในฝันทุกคืน…

 

“ห้าวันหลังจากเรืออัลฟาฟ่าแล่นออกจากท่าไคเซอร์ พวกเราถูกกลุ่มโจรสลัดที่น่ากลัวดักปล้น พวกมันน่ากลัวมาจริงๆ  แต่โชคดีที่กัปตันกลุ่มโจรสลัดมีนามว่า‘นาสต์’”

 

“นาสต์… ยอดโจรสลัดที่เรียกตัวเองว่าราชาแห่งห้าสมุทรผู้นั้นน่ะหรือ?”

 

บิดาของแอนนา มิสเตอร์เวย์น ไต่ถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

 

แม้จอยซ์·ไมเยอร์จะอยู่ที่นี่นานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่มันก็มิได้เปิดเผยรายละเอียดความโหดร้ายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่ประโยคเดียว สิ่งที่ทำมีเพียงนั่งกังวล ว้าวุ่น และกระสับกระสาย

 

จนกระทั่งแอนนากลับมาสวมกอดมัน

 

“เนื่องจากนาสต์ประกาศตัวว่าเป็นทายาทแห่งจักรวรรดิโซโลม่อนในอดีต มันจึงยึดถือหลักการไม่เอาชีวิตพลเรือน พวกมันเพียงจี้ปล้นและขโมยสิ่งมีค่า ลูกเรือบางคนยังนำอาหารมาให้พวกเราในยามหิวโหย”

 

จอยซ์เริ่มบรรยาย

 

ถึงร่างกายจะสั่นระริก แต่มันก็ไม่หยุดเล่าเหตุการณ์ที่กลายเป็นฝันร้ายอันดับหนึ่งของชีวิต

 

“ผมสูญเสียทรัพย์สินไม่มากนัก เนื่องจากพกติดตัวไม่เยอะ แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น หลังจากการปล้นจบลงและเรือแล่นกลับสู่เส้นทางปรกติ จู่ๆ ลูกเรือและผู้โดยสารเกิดมีปากเสียงรุนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ พวกมันลุกขึ้นตะโกนด่าทอ ลามไปจนถึงชกต่อย ถึงขั้นชักปืนลูกโม่กับดาบยาวออกมายิงแทงใส่กัน…

 

“มีแต่เลือด เลือดเจิ่งนองพื้นเต็มไปหมด มนุษย์คนแล้วคนเล่าจบชีวิตลงอย่างโหดเหี้ยม ผู้โดยสารข้างผมเสียชีวิตทั้งที่ยังลืมตาอยู่ เศษแขนขามนุษย์กระจัดกระจายทั่วเรือ รวมถึงเครื่องในอย่างปอด ลำไส้ และหัวใจ

 

“กลุ่มที่ไม่คลุ้มคลั่งอย่างผม หรือที่เรียกกันว่ากลุ่มยังมีสติ พวกเราไม่มีสถานที่ใดให้หลบซ่อน รอบเรือมีเพียงน้ำทะเลสีฟ้าครามสุดลูกหูลูกตา… บ้างคร่ำครวญร่ำไห้ บ้างร้องขอชีวิต บ้างยอมแลกทุกสิ่งเพื่อเอาตัวรอด แต่ท้ายที่สุด ชะตากรรมคนเหล่านี้มีอันต้องถูกห้อยศีรษะไว้ที่เสากระโดงเรือทั้งหมด

 

“แอนนา คุณต้องเชื่อผม ในวินาทีที่คิดว่าจะไม่ได้กลับมาพบคุณอีก วีรบุรุษคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าของพวกเรา มิสเตอร์ทริส! เขาพาทุกคนไปหลบที่ห้องเก็บของชั้นล่างสุด ที่นั่นมีน้ำและอาหารประทังชีวิตได้นาน เราทุกคนรอคอยจนกว่ากลุ่มเสียสติด้านบนจะหมดแรง หลังจากนั้น มิสเตอร์ทริสได้นำกลุ่มที่ยังเหลือรอดขึ้นมาจัดการกับคนเสียสติอย่างกล้าหาญ…

 

“หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่ผมไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตจบลง เรืออัลฟาฟ่ากลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่แล่นออกจากเส้นทางเดิมเล็กน้อย สาเหตุเพราะ มีลูกเรือเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสามจากตอนแรก”

 

 

ขณะเล่าถึงเหตุสยองขวัญ จอยซ์·ไมเยอร์เอ่ยถึง‘วีรบุรุษ’ที่เรียกตัวเองว่า‘ทริส’บ่อยครั้ง

 

ทริสคือชายหน้ากลมและเป็นมิตร นิสัยขี้อายคล้ายสตรี ชอบนั่งที่มุมห้องตามลำพังโดยไม่สนทนากับใคร แต่หากสนิทสนมเมื่อไร ทริสจะกลายเป็นคนช่างจ้อทันที

 

ช่างขัดกับบุคลิกในตอนที่นำกลุ่มผู้เหลือรอดไล่ฆ่ากลุ่มคนเสียสติเหลือเกิน

 

“จอยซ์ที่น่าสงสารของฉัน คุณคงหวาดผวามาก… ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ไม่แยกสองเราออกจากกัน”

น้ำตาเริ่มพรั่งพรูสองข้างแก้มแอนนา

 

ขณะเดียวกัน เธอทำสัญลักษณ์สามจุดบริเวณหน้าอก สื่อถึงสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งจักรกลไอน้ำ

 

จอยซ์อมยิ้มขื่นขม

 

“นี่คงเป็นรางวัลที่พระองค์ตอบแทนให้กับผู้ศรัทธา… หลังจากนั้น ด้วยลูกเรือเพียงหนึ่งในสาม เรืออัลฟาฟ่าต้องแล่นผ่านพายุฝนอย่างยากลำบาก ออกจากเส้นทางไปหลายหน แต่สุดท้ายก็สามารถเทียบท่าเอ็นมาร์ทได้ในที่สุด

 

“เนื่องจากบนเรือเกิดเหตุนองเลือดสยดสยอง ทางตำรวจจึงกักตัวทุกคนไว้ ก่อนจะทำการสอบสวนเป็นเวลานานโดยไม่เปิดโอกาสให้ส่งโทรเลข ตัวผมเพิ่งจะถูกปล่อยเป็นอิสระเมื่อเช้านี้เอง

 

“ผมรีบยืมเงินจากเพื่อนและนั่งรถจักรไอน้ำขบวนแรกกลับมายังเมืองทิงเก็น ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ผมกลับมาเหยียบแผ่นดินทิงเก็นได้อีกครั้ง ขอบคุณที่ทำให้ผมกลับมาพบคุณอีก”

 

เมื่อกล่าวตบ จอยซ์จ้องมองเข้าไปในแววตาของคู่หมั่นด้วยสีหน้าเคลือบแคลง

 

“แอนนา ในวินาทีที่คุณสวมกอด ผมสัมผัสได้ถึงความประหลาดใจและความสุข แต่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า เหตุใดคุณถึงต้องรีบลงจากรถม้าและวิ่งเข้าบ้านด้วย? ผมมีแผนจะดักรอทำให้คุณประหลาดใจสักหน่อย”

 

แอนนานึกทบทวนความทรงจำและพยายามเรียบเรียงออกไป

 

“ฉันไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังคุณ จอยซ์ เมื่อคุณหายตัวไป ฉันกระวนกระวายจนตัดสินใจเดินทางไปยังสโมสรพยากรณ์เพียงแห่งเดียวในเมืองทิงเก็น

 

“หมอดูคนนั้น… เอ่อ นักทำนายคนนั้น เขากล่าวกับฉันว่า ‘คู่หมั้นของคุณกลับมาแล้วนะครับ เขาอยู่ในบ้านหลังที่มีกังหันเล็ก’”

“อะไรนะ?”

 

คู่สามีภรรยาเวย์นส่งเสียงประหลาดใจพร้อมกัน

 

แอนนาใช้สองมือปิดหน้าพลางส่ายศีรษะ

 

“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว บางที… โลกนี้อาจมีปาฏิหาริย์อยู่ก็ได้

 

“จอยซ์ นักทำนายคนนั้นขอข้อมูลเกี่ยวกับชื่อ ลักษณะใบหน้า ที่อยู่ และวันเกิดของคุณ จากนั้นก็เริ่มทำนายด้วยโหราศาสตร์

 

“เมื่อได้ผลลัพธ์และเดินออกมาจากห้อง คำถามแรกคือ ‘บ้านหลังที่มีกังหันเล็กเป็นของฉันหรือของคุณ’ เมื่อฉันตอบว่าเป็นของฉัน เขาจึงกล่าวต่อว่า…

 

“มิสแอนนา ขอแสดงความยินดีด้วยครับ มิสเตอร์จอยซ์·ไมเยอร์กำลังเป็นแขกพิเศษที่บ้านคุณ สิ่งที่คุณควรมอบให้มิใช่คำถามซักไซร้ หากแต่เป็นการสวมกอดอย่างอบอุ่นและห่วงใย”

 

“พระเจ้า…”

 

จอยซ์ยากจะเชื่อลง มันมิอาจหาข้อสรุปใดมาอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวได้

 

“เขารู้จักผมหรือ? มีใครแอบส่งโทรเลขจากท่าเรือเอ็นมาร์ทไปรึเปล่า? บางทีอาจเป็นหนึ่งในตำรวจที่สอบสวน…

 

“เดี๋ยวก่อน… แบบนั้นยังอธิบายไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงรู้ว่าผมรออยู่ที่บ้านคุณ และไม่มีทางทราบแน่ว่าคุณจะใช้บริการดูดวง แอนนา คุณได้นัดหมายหมอดูคนนั้นล่วงหน้ารึเปล่า?”

 

“ไม่ค่ะ ฉันไปเลือกที่สโมสร”

 

แอนน่าอธิบายพลางขมวดคิ้ว

 

“บางที เขาอาจเป็นนักทำนายที่มีเครือข่ายข้อมูลกว้างขวางและพร้อมใช้งานข้อมูลเหล่านั้นตลอดเวลา… หรือไม่ก็ อาจเป็นสุดยอดนักทำนายตัวจริงเสียงจริง”

 

บิดาของแอนนา มิสเตอร์เวย์นถอยหายใจยาวหนึ่งครั้งก่อนสรุป

 

“จากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ถูกจารึกไว้กว่าพันปี รวมถึงเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้อย่างเลือนลางในยุคสมัยที่สี่ ศาสตร์การทำนายของแท้นั้นมีอยู่จริง และมันยังคงไม่สูญหายไปในยุคสมัยปัจจุบัน… นั่นอาจเป็นคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด”

 

จอยซ์ส่ายศีรษะเบาๆ พร้อมกับถาม

 

“นักทำนายคนนั้นชื่ออะไร?”

 

แอนนาครุ่นคิด

 

“ไคลน์·โมเร็ตติ”

 

 

ณ ห้องรับแขกสโมสรพยากรณ์เมืองทิงเก็น

 

ขณะได้ยินไคลน์กล่าวบางสิ่งกับแอนนาด้วยเสียงค่อย แอนเจลิก้าทราบทันทีว่าเธอไม่ควรเข้าไปใกล้

 

หลังจากนั้นไม่นาน แอนนาทำการจ่ายเงินและรีบวิ่งออกจากสโมสรด้วยสีหน้าสับสนปนกระวนกระวาย

 

แอนเจลิก้าตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งลงที่โซฟาข้างไคลน์และเอ่ยปากถาม

 

“ผลทำนายออกมาดีหรือคะ?”

 

เธอไม่ถามถึงผลลัพธ์โดยละเอียด นั่นอาจเป็นการขัดต่อหลักของหมอดู

 

“ใช่ครับ”

 

ไคลน์พยักหน้าพร้อมกับหยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญยื่นให้เธอ

 

“หนึ่งในแปดของค่าบริการจะถูกหักให้สโมสรใช่ไหม?”

 

“ใช่ค่ะ”

 

แอนเจลิก้าก้มมองเหรียญทองแดงในมือ ก่อนจะเห็นว่าเป็นเหรียญเพนนีหนึ่งเหรียญ และเหรียญครึ่งเพนนีสองเหรียญ

 

เธอรีบกล่าวทักท้วง

 

“เกินมาครึ่งเพนนีค่ะ”

 

ไคลน์ยังคงรักษารอยยิ้ม

 

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกค้าแทนผมครับ ในเมื่อหล่อนจ่ายทิป คุณก็สมควรได้รับเช่นกัน”

 

และขอบคุณที่ช่วยแนะนำลูกค้าคนแรกให้

 

ไคลน์กล่าวประโยคหลังภายในใจ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

แอนเจลิก้าแอบเกิดความเคลือบแคลงในตัวไคลน์เล็กๆ  แต่เหตุผลของเขาก็ฟังขึ้น จึงไม่มีสาเหตุให้ต้องปฏิเสธ

 

ไคลน์เดินกลับไปยังห้องประชุมรวมโดยหวังว่าจะมีลูกค้าเพิ่มอีกสักสองสามราย

 

ทว่า หลังจากผ่านไป 45 นาที ตนยังไม่ได้รับลูกค้าใหม่แม้แต่รายเดียว

 

ไม่ใช่เพราะธรุกิจดูดวงของสโมสรตกต่ำ เพียงแต่ลูกค้าประจำมักเลือกใช้หมอดูคนเดิมๆ เช่นกัน

 

หมอดูขาประจำอาจถูกแนะนำจากปากต่อปาก หรือไม่ก็สนิทสนมกับลูกค้าอยู่แล้ว…

 

หรือก็คือ ตัวเรายังขาด‘ค่าชื่อเสียง’อยู่สินะ ไคลน์อมยิ้มกับตัวเองหลังจากใช้ศัพท์เกมอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน

 

เมื่อดื่มชาดำซิบป์ถ้วยที่สามหมด ไคลน์ตัดสินใจสวมหมวกและหยิบไม้ค้ำเดินออกจากห้องประชุม

 

ขณะเดียวกัน แอนเจลิก้าที่เพิ่งฉุกคิดถึงคำขอของกลาซิสได้ เธอรีบส่งเสียงตะโกนขัดจังหวะไคลน์ไว้

 

“มิสเตอร์โมเร็ตติคะ คุณจะเข้าสโมสรในวันไหนบ้าง? ครั้งหน้าเป็นเมื่อไร? มิสเตอร์กลาซิสต้องการแสดงความขอบคุณด้วยตัวเองค่ะ”

 

“ผมจะเข้าก็ต่อเมื่อผมว่าง หากโชคชะตานำพา ผมกับกลาซิสต้องได้พบกันสักวันแน่”

 

ไคลน์ตอบเป็นปริศนาคล้ายกับพฤติกรรมของนักต้มตุ๋น ในพักหลัง มันโกหกจนติดเป็นนิสัยราวกับกลายเป็นนักต้มตุ๋นไปแล้วจริงๆ

 

ชายหนุ่มรีบเดินออกจากสโมสรก่อนที่แอนเจลิก้าจะถามสิ่งใดเพิ่ม จากนั้นก็โบกรถม้ากลับถนนดารารัตน์ บ้านครอบครัวโมเร็ตติแสนอบอุ่น

 

เมื่อเปิดประตูและเดินเข้าไป ไคลน์เห็นเบ็นสันกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนเมลิสซ่ากำลังประกอบเฟือง สปริง และลูกปืนเข้าด้วยกันภายใต้แสงแดดยามเย็นที่ส่องผ่านมุขหน้าต่าง

 

“สายันห์สวัสดิ์ มาดามชาเดอร์ได้แวะมาที่นี่รึเปล่า?”

 

ไคลน์ถามเป็นกันเอง

 

เบ็นสันไม่วางหนังสือพิมพ์ลง มันเลือกที่จะเงยหน้าขึ้น

 

“มาดามชาเดอร์เพิ่งกลับไปเมื่อสิบห้านาทีก่อน เธอนำของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย ดูเหมือนหล่อนจะชอบมัฟฟินกับเค้กเลม่อนที่บ้านเรามาก และยังชวนให้ไปที่บ้านของเธอด้วยหากมีโอกาส หล่อนเป็นพวกเข้ากับคนได้ง่าย คุยเก่ง และกริยามารยาทเรียบร้อย”

 

“ติดอยู่อย่างเดียวคือ เธอศรัทธาเทพแห่งวายุสลาตัน โบสถ์ดังกล่าวเชื่อว่า เด็กผู้หญิงไม่สมควรไปเรียนที่โรงเรียน แต่ต้องศึกษาด้วยตัวเองที่บ้าน”

 

เมลิสซ่าบ่นอุบอิบ เป็นอาการหงุดหงิดที่ค่อนข้างชัดเจน

 

“อย่าถือสาเรื่องความเชื่อของผู้อื่นเลย หากไม่ทำให้เราเดือดร้อน เธอจะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ดีมากคนหนึ่ง”

 

ไคลน์พยายามปลอบน้องสาวด้วยรอยยิ้ม

 

อาณาจักรโลเอ็นยอมรับในหลายศาสนา ไม่เหมือนกับอาณาจักรฟุซัคของทวีปเหนือที่นับถือเทพแห่งการต่อสู้เพียงพระองค์เดียว และอาณาจักรเฟเนพ็อตของทวีปใต้ที่นับถือพระแม่ธรณีเพียงพระองค์เดียว

 

ในความเป็นจริง คงเลี่ยงไม่ได้ที่ศาสนาเทพธิดารัตติกาล เทพแห่งวายุสลาตัน และเทพแห่งจักรกลไอน้ำจะเกิดความขัดแย้ง สาเหตุเพราะ หลักคำสอนและหลักประพฤติของแต่ละศาสนาล้วนแตกต่าง แต่หลังจากผ่านมานานนับพันปี ความขัดแย้งเหล่านั้นก็บรรเทาลงจนสามารถอยู่ร่วมกันได้

 

“เข้าใจแล้ว”

 

เมลิสซ่าทำแก้มป่องก่อนจะเพ่งสมาธิกลับไปยังเศษเครื่องจักรในมือ

 

หลังจากมื้ออาหารค่ำ ไคลน์นั่งทบทวนความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ จนกระทั่งเมลิสซ่าและเบ็นสันอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่มจึงเดินไปล้างหน้าและแยกย้ายเข้าห้องนอน

 

มันล็อคกลอนประตูแน่นก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง

 

ไคลน์จำต้องจัดระเบียบข้อมูลใหม่ที่ได้รับในแต่ละวัน รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในวันนั้นๆ  เพื่อมิให้หลงลืมหรือพลาดสิ่งสำคัญในจุดใดไป

 

การกระทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ไคลน์มีสติเยือกเย็นในสถานการณ์ไม่คาดฝัน

 

ชายหนุ่มหยิบปากกาหมึกซึมออกมา ก่อนจะเปิดสมุดโน้ตและเขียนลงไปด้วยภาษาจีนกลางว่า…

 

“เหตุใดกุญแจสำคัญของพลังโอสถถึงเป็นการสวมบทบาท?”

 

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์

ติดตามผู้แปลได้ที่ : www.facebook.com/bjknovel/

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด