ตอนที่ 296 อย่ามองว่าตัวเองเป็นคนนอก
รุ่ยเจียดึงแขนเสื้อคังอี้ ขณะที่นางพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านแม่ ครอบครัวนี้รังแกข้า พวกเขาดูถูกพวกเรา !”
ในที่สุดคังอี้ก็กลับมาสนใจอีกครั้งจากการถูกดึงเสื้อ และนางก็ฟื้นคืนสู่ความสง่างามของนางทันที เมื่อมองไปที่เฟิงจื่อหรู สายตาของนางก็เปล่งประกาย “เจ้าเป็นน้องชายขององค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันใช่หรือไม่ ? เจ้ากลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่หรือ ? ข้าได้ยินว่าเจ้ากำลังศึกษาที่สำนักศึกษาไกลบ้าน นั่นคือเหตุผลที่ข้ามองข้ามเจ้าไป นี่คือความผิดพลาดของข้า จะเป็นการดีหรือไม่ถ้าข้าคนนี้ขอโทษเจ้า ?”
ผู้ใหญ่ที่มีความคิดริเริ่มที่จะขอโทษเด็กนั้นหายากมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางเป็นถึงองค์หญิง นางคิดกับตัวเอง บุตรของครอบครัวไหนบ้างจะไม่พอใจกับสิ่งนั้น แต่เฟิงจื่อหรูส่ายหน้าแล้วก็ป้องมือของเขาพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงทรงสุภาพเกินไปพะยะค่ะ จื่อหรูเป็นเพียงน้องชายขององค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน ไม่จำเป็นที่องค์หญิงใหญ่จะต้องขอโทษจื่อหรู จื่อหรูไม่มีข้อตำหนิ แต่ตอนนี้องค์หญิงรุ่ยเจียทรงตำหนิศิษย์พี่ของจื่อหรู และสิ่งนี้…”
“ข้าพูดอะไรเกี่ยวกับศิษย์พี่ของเจ้าล่ะ ?” รุ่ยเจียกลอกตา “แขกมาที่บ้านของเจ้า แต่เจ้ายืนยันที่จะไปเล่นหมากล้อม เขาเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือไร ? เจ้าเพียงแค่ส่งบ่าวรับใช้ไปบอกเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ปัง ! !
เฟิงจินหยวนไม่สามารถทนฟังอีกต่อไป เขาตบโต๊ะอย่างรุนแรงและตะโกนว่า “องค์หญิงรุ่ยเจียหยุดพูดได้แล้วพะยะค่ะ !”
รุ่ยเจียสั่นด้วยความกลัวและคังอี้ก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ นางรีบดุรุ่ยเจียอย่างรวดเร็ว “ลูกที่รัก ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในเฉียนโจว เจ้าจะคิดว่าทุกคนตามใจเจ้าเหมือนเสด็จลุงไม่ได้”
เฟิงจินหยวนสามารถได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของคังอี้ แต่เขาไม่มีเวลาที่จะกังวลเกี่ยวกับความสุขของนางเพียงแค่พูดว่า “ศิษย์พี่ของบุตรชายคนนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ข้าหวังว่าองค์หญิงทั้งสองจะให้อภัยเสนาบดีคนนี้เพราะเป็นการยากที่จะบอกองค์หญิงทั้งสอง”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?” เสียงของคังอี้เปลี่ยนไปเพราะนางอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฟิงจื่อหรู ศิษย์พี่ของเด็กคนนี้เป็นฮ่องเต้ ผู้ปกครองของราชวงศ์ต้าชุน ? ทำไมนางถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เมื่อนางถามเกี่ยวกับตระกูลเฟิง คังอี้ก็รู้ทันทีว่ามีปัญหาในข้อมูลที่นางได้รับ ด้วยความประหลาดใจของนาง ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน “เสนาบดีเฟิง ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย รุ่ยเจียก็ยิ่งไม่รู้เรื่องนี้ !”
รุ่ยเจียก็งุนงงเช่นกัน นางไม่เคยคิดว่าเด็กเหลือขอนี้มีภูมิหลังแบบนี้ นอกจากนี้สิ่งที่นางพูดก็นับว่าเป็นการดูถูกฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าชุนหรือไม่ ? ก่อนที่จะมาเสด็จลุงของนางบอกว่านางไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าชุนขุ่นเคืองได้
“ข้าไม่สามารถตำหนิได้พะยะค่ะ” เฟิงจินหยวนเห็นว่าคังอี้และรุ่ยเจียนั้นรู้สึกผิด ดังนั้นเขาจึงยิ้ม และพูดว่า “บุตรชายที่ต่ำต้อยคนนี้มีข้อตกลงกับฮ่องเต้ เสนาบดีคนนี้คงต้องไปส่งเขาไปที่พระราชวัง ด้วยงานฉลองที่เตรียมไว้แล้ว ข้าจะให้ท่านแม่ช่วยดูแลองค์หญิงทั้งสอง !”
คังอี้สำนึกผิดและกล่าวว่า “เอาล่ะ” จากนั้นนางมองไปที่เฟิงจื่อหรู “คุณชายเป็นคนที่มีความสามารถ วันนี้เป็นความผิดของคังอี้ที่ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน ข้าจะนำของกำนัลมาให้เพื่อเป็นการขออภัย”
เฟิงจื่อหรูกล่าวอย่างสุภาพ “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่มากพะยะค่ะ จื่อหรูต้องขอตัวไปก่อนพะยะค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็ติดตามเฟิงจินหยวนและจากไปอย่างรวดเร็ว
เฟิงหยูเฮงปิดปากของนาง ขณะที่นางพบว่าเฟิงจื่อหรูทำลงไปนั้นก่อให้ให้เกิดเรื่องสนุกก่อนที่จะจากไป เด็กคนนี้… ให้เกียรตินางอย่างแท้จริง!
กลุ่มติดตามฮูหยินผู้เฒ่าที่ห้องโถงเพื่อเพลิดเพลินกับงานฉลอง โดยปกติแล้วครอบครัวเฟิงก็ไม่ค่อยเข้มงวดกับกฎเกณฑ์ที่ว่าฮูหยินใหญ่และอนุนั่งอยู่ที่ไหน เนื่องจากเฟิงจินหยวนไม่ได้มีอนุจำนวนมาก พวกเขาทุกคนจึงนั่งทานที่โต๊ะเดียวกัน
แต่วันนี้แตกต่าง วันนี้พวกเขารับรองแขกอย่างองค์หญิงจากเฉียนโจว หากพวกเขายังคงทำตัวไร้ระเบียบ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อแก้ตัว ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงแยกงานเลี้ยงออกเป็น 2 กลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งแยกอันชิ ฮันชิ และจินเฉินออกไป เมื่อคิดว่าพวกนางเป็นแค่อนุจึงถือว่าเหมาะสม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถรับประทานอาหารกับองค์หญิงได้
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟิงจื่อหรู, คังอี้และรุ่ยเจียจึงไม่มีหน้า หลังจากนั่งลงแม้ว่าคังอี้จะยังคงไว้ซึ่งความสง่างามของนาง และรุ่ยเจียก็ลดความจองหองของนางลงอย่างมาก พวกเขายังคงสามารถบอกได้ว่าทัศนคติของครอบครัวเฟิงที่มีต่อพวกเขาตอนนี้ตกต่ำลง มันไม่ดีเท่าเมื่อก่อน
คังอี้กำลังคิดหาวิธีที่จะกอบกู้สถานการณ์ แต่ในเวลานี้บ่าวรับใช้ที่ไปเอาหนังสุนัขจิ้งจอกกลับมาแล้ว วิธีนี้แก้ไขปัญหาสำหรับคังอี้ได้
“ทำไมเจ้าถึงหายไปนานขนาดนี้” นางถามอย่างไม่เป็นทางการ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปรับเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก “ท่านผู้หญิงโปรดดู นี่คือหนังสุนัขจิ้งจอกที่มีแค่ในเฉียนโจวเท่านั้น”
ทุกคนมองและเห็นแสงสีดำมาจากห่อผ้า ความมันวาวนั้นยอดเยี่ยมมาก การมองคังอี้ใช้มือของนางเพื่อรองมันดูราวกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือแม้แต่หัวและใบหน้าก็ยังถูกถลกหนัง หนังที่ถูกถลกออกจากหัวนั้นเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริง ด้วยตาที่ปิดอยู่ก็ทำให้ดูเหมือนมันยังไม่ตาย เห็นได้ชัดว่ามันมีความสุขกับการนอนหลับ
ฮูหยินผู้เฒ่าชอบมันมาก นางต้องการที่จะเอื้อมมือออกไปสัมผัส แต่นางก็ไม่ต้องการที่จะรบกวนการนอนหลับของสุนัขจิ้งจอก สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงการล่อลวงที่ต่อต้านได้ยาก
“ท่านฮูหยินผู้เฒ่าชอบหรือไม่ ?” คังอี้เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าชอบมันมากแค่ไหน แต่นางก็ยังถามเช่นนี้ จากนั้นนางก็พูดว่า “สุนัขจิ้งจอกนั้นยากที่จะตามล่า และไพร่ไม่มีสิทธิ์ที่จะตามล่ามัน นี่คือสุนัขจิ้งจอกที่ถูกล่าโดยผู้ปกครองของเฉียนโจวด้วยตนเอง เราจะมอบเป็นของกำนัลให้แก่ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อทำเสื้อคลุม”
“มันถูกล่าโดยผู้ปกครองของเฉียนโจวจริง ๆ หรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขมาก “นั่นทำให้มันมีค่ามาก !”
“มี แต่สิ่งที่มีค่าเท่านั้นที่คู่ควรกับท่านฮูหยินผู้เฒ่า !”คำพูดนี้ออกมาจากปากของรุ่ยเจีย บุคลิกของผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างดี แม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับมันอย่างแท้จริง แต่เมื่อนางเข้าใจว่าสถานการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นางจะทำทุกวิธีเพื่อให้บุคคลตรงหน้านางนั้นมีความสุข “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้สูงศักดิ์และควรสวมเสื้อคลุมที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอก”
ฮูหยินผู้เฒ่าแอบยิ้มในใจ เมื่อนางได้รับเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก นางไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือจากมัน จนกระนั่งยายโจวรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม นางจึงเดินมารับเสื้อคลุมไปจากฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากนางดึงอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดนางก็สามารถดึงมันออกมาจากมือของฮูหยินผู้เฒ่าได้
สำหรับท่าทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าแสดงออกมา ในที่สุดคังอี้สามารถเปลี่ยนมันได้อีกครั้ง ในตอนแรกนางไม่พอใจกับรุ่ยเจีย แต่นั่นก็หายไป และแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่น
คังอี้เพิ่งหยิบตะเกียบของนางจากนั้นดูเหมือนบังเอิญมองไปที่โต๊ะที่อนุนั่ง นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและถามฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่า ข้าจะถามสิ่งที่ไม่ควรถาม คฤหาสน์มักจะกินอาหารแยกเป็น 2 โต๊ะเช่นนี้หรือ ?”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและกล่าวว่า “ปกติเราจะกินด้วยกันเพราะเฟิงจินหยวนมีอนุเพียงไม่กี่คน ดังนั้นเราจะกินด้วยกัน วันนี้องค์หญิงใหญ่และองค์หญิงรุ่ยเจียมาที่คฤหาสน์ พวกเขาไม่สมควรที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับองค์หญิงเพคะ” นางกล่าวขณะที่มองไปที่เฟิงเฉินหยู เฟิงเซียงหรู และเฟิงเฟินได พร้อมกล่าวกล่าวเสริมว่า “โดยปกติแล้วแม้จะไม่อนุญาตให้บุตรสาวของอนุมานั่งที่โต๊ะนี้ แต่เด็กในคฤหาสน์นี้มีไม่กี่คน หากพวกเขาไม่ได้นั่งที่นี่ก็คงเงียบกว่านี้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เฟิงเฉินหยูและเฟิงเฟินไดรู้สึกอึดอัดใจ ! แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกอึดอัดใจเพียงใด บุตรของอนุก็คือบุตรของอนุ สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดนั้นไม่มีอะไรผิด เฟิงเซียงหรูที่ไม่ได้คิดมากเพราะชาที่นางถือไม่ได้แกว่งไปมาเลย
ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงที่ไม่ได้พูดมานานก็พูดว่า “เหมือนข้าได้ยินว่าพวกเขาแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างฮูหยินใหญ่กับอนุในเฉียนโจว และราชวงศ์ต้าชุนไม่มีกฎมากเท่าที่นั่นใช่หรือไม่เพคะ ?”
คังอี้ยิ้มและพยักหน้า “องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันพูดถูกต้องแล้ว ในเฉียนโจวของข้า การที่ฮูหยินใหญ่และอนุกินข้าวที่โต๊ะเดียวกันนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยนัก นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าคิด… ท่านฮูหยินผู้เฒ่า เนื่องจากโต๊ะนั้นมีเพียง 3 คน ให้ทุกคนมานั่งทานด้วยกันดีหรือไม่ ?”
“โอ้! นั่นคงไม่ดีแน่!” ฮูหยินผู้เฒ่าแปลกใจเล็กน้อย โดยปกติแล้วขุนนางทั่วไปก็ดูถูกอนุ แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงใหญ่จะอนุญาตให้อนุมานั่งกินด้วยกัน
“ไม่มีอะไรเลวร้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้” คังอี้กล่าว “แม้ว่าเราควรปฏิบัติตามกฎของครอบครัว แต่ข้าหวังว่าท่านฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ปฏิบัติต่อข้าและบุตรสาวในฐานะบุคคลภายนอก เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงครอบครัว ทุกอย่างสามารถทำได้ตามกฎของคฤหาสน์เฟิง”
ฮูหยินผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ชั่วครู่หนึ่งนางไม่สามารถตัดสินใจได้และมองไปที่เฟิงหยูเฮง
เฟิงหยูเฮงยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นหนึ่งในพระประสงค์ขององค์หญิงใหญ่ การที่ฮูหยินใหญ่และอนุนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในกฎของเฉียนโจวเช่นกัน ท่านย่าทำตามที่องค์หญิงใหญ่ขอเถิดเจ้าค่ะ !”
รุ่ยเจียไม่สามารถสังเกตเห็นข้อความพื้นฐานของความคิดเห็นนี้ แต่เมื่อคังอี้ได้ยินมันนางเชื่อมั่นอีกครั้งว่าจิตใจขององค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น
ฮูหยินใหญ่กับอนุนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกัน นี่ทำให้นางเป็นฮูหยินใหญ่หรือเปล่า ? แล้วแต่องค์หญิงใหญ่ต้องการ ทำตามพระประสงค์ขององค์หญิง เรื่องนี้ทำให้นางเปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าภาพ
แต่คังอี้เลือกไม่พูด เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า นางก็เริ่มที่จะลุกขึ้นยืนแล้วชวนอีก 3 คนไปที่โต๊ะ
อันชิรู้สึกประหลาดใจรู้สึกว่าคังอี้นั้นมั่นคงในการกระทำของนาง ไม่มีการคิดว่านางเป็นองค์หญิงต่างแคว้น แต่เมื่อมาถึงฮันชิและจินเฉิน พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยความโปรดปรานที่คาดไม่ถึงนี้ พวกเขาขอบคุณนางซ้ำหลายครั้งสำหรับความเมตตาของนาง และฮันชิก็ดูเหมือนจะน้ำตาไหล
ฮูหยินผู้เฒ่ามองคังอี้และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ โชคไม่ดีที่สามีของนางเสียชีวิต มิฉะนั้นเขาจะมีชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้กับฮูหยินผู้มีคุณธรรม
ไม่นานเฟิงจินหยวนกลับมา เมื่อเขาเข้าไปห้องโถง เขาก็เห็นว่าอนุได้รับเชิญมาทางอาหารที่โต๊ะเดียวกัน หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
รุ่ยเจียเป็นคนแรกที่เห็นเฟิงจินหยวน นางตะโกนอย่างอบอุ่น “ใต้เท้าเฟิงกลับมาแล้ว!”
เฟิงจินหยวนยิ้มและพูดว่า “องค์หญิงคุ้นเคยกับอาหารของราชวงศ์ต้าชุนหรือไม่พะยะค่ะ ?”
รุ่ยเจียหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ ข้าคิดว่ามันอร่อยมาก ๆ”
คังอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว แต่สิ่งที่เจ้ากังวลคือการกิน”
ขณะที่พวกเขาพูดกัน เฟิงจินหยวนก็เดินไปข้างหน้า ในตอนแรกเขาควรจะนั่งอยู่ระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากับเฟิงหยูเฮง แต่เมื่อมีคนอีก 3 คนที่ได้รับเชิญมานั่งด้วย เขาก็สับสนเล็กน้อย ในเวลานี้ที่นั่งเดียวที่เหลืออยู่ถัดจากคังอี้
เฟิงหยูเฮงมองที่ที่นั่งเปล่าขณะที่ริมฝีปากของนางขดเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายพูดว่า “ท่านพ่อรีบนั่งเร็วเจ้าค่ะ เมื่อกี้นี้น้ำชาหกใส่เก้าอี้ของท่านพ่อ องค์หญิงใหญ่ทรงเช็ดด้วยแขนเสื้อขององค์หญิง ท่านพ่ออย่าให้เสียความตั้งใจขององค์หญิงคังอี้เลยเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้คังอี้รู้สึกอายมาก แต่นางเป็นคนที่รอดชีวิตจากประสบการณ์ที่ท้าทายมากมาย ดังนั้นจิตใจของนางจึงแข็งกระด้าง นางรู้สึกลำบากใจเพียงครู่เดียวก่อนที่นางจะพูดว่า “เป็นงานฉลองปีใหม่ เด็ก ๆ ของอาณาจักรทางเหนือไม่ล้อเล่นกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทำไมต้องใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยล่ะ ท่านเสนาบดีเฟิงช่วยชีวิตชาวเฉียนโจวจำนวนมากตอนที่บรรเทาภัยพิบัติในช่วงฤดูหนาว ไม่ว่าคังอี้จะทำอะไรก็ไม่ได้พิจารณามากนัก”
เฟิงจินหยวนหัวเราะเสียงดังในใจของเขา ใจเขาเต็มไปด้วยความสุข เดินไปที่ว่างข้างคังอี้แล้วนั่งลง
ในตอนแรกฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากเฟิงจินหยวนนั่งลง เฟิงเฉินหยูยืนขึ้นแล้วไปรินสุราให้บิดาของนาง ก่อนหน้านี้เฟิงเฉินหยูเป็นคนทำส่วนใหญ่ บุตรสาวที่รินสุราให้บิดาปกติมาก และเฟิงจินหยวนก็คุ้นเคยกับสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงผลักถ้วยไปข้างหน้า
แต่ก่อนที่เฟิงเฉินหยูจะรินสุรานี้ สุราอีกกาก็มาถึงและรินลงไปก่อน
เฟิงเฉินหยูตัวแข็งทื่อ และเห็นรุ่ยเจียหัวเราะคิกคักพร้อมกันเอนกายเข้าไปใกล้กับเฟิงจินหยวนแล้วพูดอย่างอบอุ่น “ลุงเฟิงโปรดดื่มด้วย” เมื่อก่อนนางเรียกว่าใต้เท้าเฟิง ตอนนี้เรียกลุงเฟิง
เฟิงหยูเฮงหัวเราะ หลังจากหัวเราะ นางเอนกายลงบนเก้าอี้แล้วถามเงียบ ๆ หวงซวนผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง “คนผู้นั้นมาถึงแล้วใช่หรือไม่ ?”
หวงซวนกล่าว “อีกไม่นานน่าจะถึงเจ้าค่ะ คุณหนูลองนับหนึ่งถึงสิบเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงหัวเราะดังขึ้น “ดีมาก !” จากนั้นนางก็นับถอยหลังอย่างเงียบ ๆ จากสิบ 10, 9, 8, 7… 3, 2, 1
ในเวลานี้เฮ่อจงรีบวิ่งเข้ามาจากนอกห้องโถง