เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0016
ตอนที่ 16 : ผู้ชนะ
“รักษาคำพูดด้วยละ!” เมื่อเย่เหว่ยเสวียนพบว่าฉินหยุนยอมรับจึงรู้สึกยินดีไม่น้อย
เป็นเพราะเขาค่อนข้างมั่นใจในหมัดสายฟ้าของตระกูล อย่างไรแล้วมันก็เป็นวิชายุทธ์ระดับวิญญาณ ดังนั้นแล้วจะไม่ให้มั่นใจได้อย่างไรกัน?
ผู้อาวุโสเบื้องล่างลานประลองเอ่ยตะโกนขึ้น “ห้องเก้าและห้องสิบเอ็ด เริ่มได้!”
ชั่วขณะที่เสียงของผู้อาวุโสเลือนหาย ฉินหยุนและเย่เหว่ยเสวียนจึงพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วสูง พวกเขาทั้งสองใช้การเคลื่อนไหวเพื่อออกวิ่งเสริมแรงของพลังอำนาจหมัด
ทุกผู้คนแทบกลั้นหายใจขณะรับชมการประลองบนลาน ฉินหยุนและเย่เหว่ยเสวียนเป็นเด็กใหม่ แต่แล้วการประลองนี้กลับเรียกความตื่นเต้นได้ดียิ่ง!
ที่ชวนตะลึงยิ่งกว่าคือหมัดขวาของเย่เหว่ยเสวียน ตอนนี้เส้นเลือดแทบผุดขึ้นจนเห็นได้เด่นชัด ทันใดนั้นเองเสียงฟ้าคำรามพลันบังเกิดเป็นผลให้เสียงแตกหักดังขึ้น
เพียงแค่มองก็สามารถบอกได้ว่าพลังปราณของสายฟ้านี้แข็งแกร่งยิ่ง หมัดสายฟ้านี้ถูกฝึกจนถึงระดับหนึ่งแล้ว
ฉินหยุนและเย่เหว่ยเสวียนพุ่งเข้าปะทะกันพร้อมเสียงดังสนั่น ทั้งสองตอนนี้มีสภาพคือหมัดชนหมัด
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะ หมัดของเย่เหว่ยเสวียนปรากฏแสงสายฟ้าวาบออก ทางด้านหมัดของฉินหยุนก็มีเปลวเพลิงสีทองพวยพุ่งออกมา!
เปลวเพลิงพรั่งพรูก่อนจะเผาไหม้หมัดของฉินหยุน!
นี่คือเปลวเพลิงที่เกิดขึ้นจากพลังปราณ!
เมื่อผู้ชมที่รับชมเรื่องราวบนลานประลองได้พบเห็นฉินหยุนปล่อยเปลวเพลิงออก พวกเขาถึงกับต้องร้องด้วยความแตกตื่น
เพื่อทำให้เกิดเปลวเพลิงแข็งแกร่ง นี่หมายความถึงพลังปราณที่ต้องปลดปล่อยออกจากวิญญาณยุทธ์
ตัดสินจากเปลวเพลิงนั้น มันสามารถบ่งบอกได้ว่าฉินหยุนได้ฝึกฝนวิชาพลังภายในจนถึงขั้นต้นแล้ว!
พลังปราณของฉินหยุนเหนือล้ำยิ่งกว่าเย่เหว่ยเสวียนที่มีเพียงปราณสายฟ้าอ่อนจาง!
เย่เหว่ยเสวียนพลันโดนปกคลุมด้วยคลื่นอากาศ เขาทราบว่าพลังภายในของฉินหยุนทรงพลังยิ่ง แต่พอรู้ก็สายเกินไป เขาถึงกับหวาดกลัวลงลึกในหัวใจ
ตู้ม!
หมัดทั้งสองพอปะทะกัน เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกทั่วทิศทางพร้อมแสงที่ระเบิดออก!
เย่เหว่ยเสวียนกรีดร้องอย่างน่าเวทนา ทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง เขาพยายามกลิ้งไปทั่วลานประลองเพราะแรงกระทำที่ทรงพลังนี้จนในที่สุดก็กลิ้งหล่นลงกับพื้นนอกลานประลอง!
อาจารย์เร่งรีบเข้ามาดับไฟให้
แขนของเย่เหว่ยเสวียนกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นไหม้ลอยฟุ้ง เพียงมองก็ทราบว่านี่หมดสภาพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยาล้ำค่าเพียงใด มันก็ยากจะรักษาเอาไว้ได้
ทุกคนในที่นี้ล้วนแตกตื่นเมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของเย่เหว่ยเสวียน พวกเขาล้วนไม่เชื่อสายตาตนเองว่าอีกฝ่ายจะแพ้ให้กับหมัดวิญญาณพยัคฆ์ที่มาจากนักเลงข้างถนน!
ฉินหยุนเพิ่งได้รับวิชาหยางสีดำจากหยางฉีเย่ว์เมื่อวานนี้ เพียงข้ามคืนกลับฝึกฝนจนถึงขั้นต้นได้ แม้ยังไม่เชี่ยวชาญ แต่พลังปราณและวิญญาณยุทธ์สามารถหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์ และมันก็นำมาซึ่งการปลดปล่อยเปลวเพลิงที่ทรงพลัง
ความสามารถระดับนี้สมควรเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอัจฉริยะ!
เมื่อได้เห็นว่าฉินหยุนครอบครองความสามารถระดับท้าทายสวรรค์เช่นนี้ ศิษย์หลายคนจากสำนักที่มีชื่อเสียงต่างเผยดวงตาแดงก่ำด้วยความริษยา!
“ฉินหยุนจากห้องเก้าชนะ!” ผู้อาวุโสตะโกนขึ้นท่ามกลางการประลองของเด็กใหม่ห้องอื่น ทางด้านฉินหยุนเองก็แตกตื่นเช่นกัน หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขามีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน เขาคงถูกมองเป็นอัจฉริยะแท้จริงมีอนาคตรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัดไปแล้ว
หลังจากฉินหยุนเดินลงจากลานประลอง ผู้อำนวยการจางจึงเดินเข้ามา หัวเราะคิกคัก จากนั้นจึงส่งกล่องทั้งสองให้หยางฉีเย่ว์
“สิ่งนี้คือรางวัลจากการประลอง เหรียญม่วงจำนวน 40 เหรียญสามารถแลกเปลี่ยนเป็น 40,000 เหรียญผลึกได้!”
“เช่นกัน มีเม็ดยาวิญญาณระดับกลางอยู่สี่เม็ด รวมถึงเม็ดยาปราณ อีกทั้งให้ไปยังหอวิชายุทธ์เพื่อเลือกวิชายุทธ์ระดับสูงได้ด้วยตนเอง”
กล่องทรัพยากรทั้งสองที่ได้รับนี้มีเพียงแต่ฉินหยุนที่ครอบครอง!
นักเรียนในชั้นเรียนอื่นที่พ่ายแพ้ไปแล้วกลับเผยรังสีความริษยาผ่านดวงตาจนแดงก่ำเป็นสายเลือด
บุคคลเพียงหนึ่งครอบครองทรัพยากรของสองห้องเรียน กระทั่งนักเรียนชั้นปีสูงกว่าที่รับชมเรื่องราวอยู่ยังต้องดวงตาลุกโชนร้อนแรงด้วยความริษยา
เดิมทีเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายของนักเรียนทั้งห้อง หยางฉีเย่ว์เปี่ยมด้วยโทสะภายใน แต่ตอนนี้เมื่อนางได้เห็นฉินหยุนเอาชนะสองรอบในสาย ความโกรธของนางจึงหายวับไปกับตา
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกที่เปลี่ยนห้องเรียน เจ้าคงไม่ได้สุขสันต์ยินดีกับทรัพยากรจำนวนมากขนาดนี้แน่! 40 เหรียญม่วงไม่นับเป็นอะไร สิ่งสำคัญคือเม็ดยาปราณและวิชายุทธ์ระดับสูงต่างหากที่ล้ำค่า เจ้าต้องหวงแหนมันเอาไว้ให้ดีละ”
ดวงตางดงามเย็นเยียบนั้นจ้องมองเหล่านักเรียนที่ทำเรื่องขอย้ายห้อง ความเย็นเยือกในสายตาของนางเปี่ยมด้วยความเย้ยหยันและเดียดฉันท์ อย่างน้อยที่สุด นางก็ภูมิใจในตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“อาจารย์ ข้าขอคืนให้ท่าน 20 เหรียญม่วง” ก่อนหน้านี้ฉินหยุนได้หยิบยืมเงิน 20,000 เหรียญผลึกจากหยางฉีเย่ว์ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะหามาคืนให้นางเร็ววันถึงเพียงนี้
เหรียญม่วงและเหรียญผลึก ทั้งสองต่างมีพลังวิญญาณพิเศษบรรจุเอาไว้ พลังวิญญาณพิเศษเหล่านี้สามารถนำไปใช้เพื่อตั้งค่ายอาคมหรือไม่ก็ใช้เพื่อเป็นปุ๋ยให้สมุนไพรวิญญาณได้ ประโยชน์ใช้งานนับว่ากว้างขวาง เหรียญผลึกได้รับจากการขุดเหมืองผลึก ขนาดของมันราวเล็บนิ้วและเป็นรูปสี่เหลี่ยม
“วันนี้ข้าอารมณ์ดี เรื่องคืนเงินไม่จำเป็น ถือเป็นรางวัลให้เจ้าไปก็แล้วกัน! โอ้ ใช่ เจ้าอยู่ที่หอพักเพียงคนเดียวงั้นสินะ งั้นให้เจ้าย้ายมาอยู่กับข้าน่าจะสะดวกเรื่องการสอนสั่งและชี้แนะมากกว่า!”
“เอ่อ... ไม่ดีมั้งขอรับ!” ฉินหยุนเผยสีหน้าลำบากใจ เขารู้สึกเขินอาย
“อย่าได้สน!” พูดจบคำหยางฉีเย่ว์ก็จับมือฉินหยุนเอาไว้และลากออกจากลานฝึกแห่งนี้โดยทันที
นักเรียนกลุ่มใหญ่รับชมพวกเขาเดินจากไปจนกระทั่งไม่เห็นแผ่นหลัง ทั้งสองจับมือกัน ดวงตาของพวกเขาแทบระเบิดออกด้วยเปลวเพลิงแห่งความริษยาอย่างถึงที่สุดแล้ว!
กับนักเรียนผู้ซึ่งขอเปลี่ยนห้องเรียน พวกเขาโกรธแค้นจนแทบกระอักออกเป็นสายเลือด
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาออกกันมาจนหมด ฉินหยุนต้องไม่มีทางได้รับโอกาสเช่นนี้อย่างแน่นอน
นี่เป็นเพราะพวกเขา ฉินหยุนถึงได้รับทรัพยากรของสองห้องเพียงลำพัง อีกทั้งยังจะได้อยู่ร่วมกับอาจารย์ที่เป็นสาวงาม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว!
กลับกลายเป็นจักรพรรดินีที่สร้างโอกาสดีเลิศแก่ฉินหยุน ทั้งหมดเป็นเพราะนาง! แล้วตอนนี้ฉินหยุนได้รับผลอย่างไรกันเล่า? พวกเขาได้เพียงแต่คิด
อย่างไรแล้ว ที่โกรธกริ้วยิ่งกว่าคือที่พระราชวัง เมื่อจักรพรรดินีได้รับฟังเรื่องราว ความโกรธของนางแทบพ่นไฟออกจากปาก นางถึงกับขว้างปาข้าวของทุกชิ้นในห้องจนเละเทะ
* * *
ฉินหยุนตามหยางฉีเย่ว์ไปยังบริเวณทะเลสาบทางทิศใต้ของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง ถัดจากทะเลสาบคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ อีกทั้งยังมีคฤหาสน์หลังเล็กจำนวนหนึ่งตั้งเรียงห่างกันพอสมควร เหล่านี้ล้วนเป็นบ้านพักของอาจารย์
บ้านของหยางฉีเย่ว์ตั้งอยู่ในป่าไผ่ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีภูเขาจำลองตั้งไว้ในสวน ทั้งยังมีสระน้ำและศาลา นับเป็นบ้านพักที่หรูหราไม่น้อยเลยทีเดียว
หยางฉีเย่ว์พาฉินหยุนเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนกล่าวว่า “ปล่อยพลังปราณออกมาให้รุนแรงที่สุดให้ข้าเห็น”
ฉินหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก และปลดปล่อยพลังปราณออกจากฝ่ามือ
หยางฉีเย่ว์มองนาน คิ้วขมวดกันแน่น สถานการณ์ของฉินหยุนทำให้นางสับสนไม่ใช่น้อย นางพบว่าเรื่องนี้น่าสนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบพานบุคคลซึ่งครอบครองวิญญาณยุทธ์ระดับทองม่วงในระยะใกล้
นางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หรือเป็นเพราะเจ้ามีเส้นวิญญาณเพียงหนึ่งตะวัน จึงทำให้เกิดขึ้นเป็นวิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองม่วง? ตอนนี้พลังปราณของเจ้าแข็งแกร่งมาก เกือบเทียบเท่ากับขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่ห้าแล้ว! หากเจ้าได้กินเม็ดยาปราณทั้งสี่เม็ดเข้าไป มีโอกาสสูงมากที่จะก้าวสู่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับห้า”
“จริงหรือขอรับ?” ฉินหยุนลอบยินดีทว่าปิดไม่มิด หากเขาสามารถก้าวสู่ระดับห้าได้ แบบนั้นเด็กใหม่ทุกคนที่เพิ่งเข้าสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงพร้อมเขาก็โดนทิ้งห่างเป็นไปไกลแล้ว
“อย่าได้ดีใจเร็วจนเกินไป เจียงหลางผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์เสียงไม่ใช่คนที่เจ้าจะล้อเล่นด้วยได้ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมากผู้หนึ่ง! สมองของนักเรียนทั้งสองคนที่สู้กับเขาได้รับความเสียหายจากคลื่นเสียง” หยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าเคร่งเครียด “ตระกูลเจียงก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจของจักรวรรดิเทียนฉินเช่นกัน”
ฉินหยุนจดจำเรื่องนี้เอาไว้ขณะพยักหน้าและกล่าวคำ “หากข้าพบเขา ข้าจะระมัดระวังตัวให้ดี”
“กินเม็ดยาปราณเสียก่อน และนับจากนี้ไม่ต้องเข้าห้องเรียน อย่างไรแล้วเจ้าก็คือนักเรียนคนเดียวในชั้นเรียนข้า ดังนั้นให้สอนเจ้าที่นี่คงสะดวกสบายกว่า” หยางฉีเย่ว์เผยรอยยิ้มอ่อนโยนคล้ายดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เบ่งบาน ชัดเจนว่าตอนนี้นางอารมณ์ดียิ่ง
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปฝึกฝน!”
ฉินหยุนก็ไม่ใช่คนชักช้า เขาเร่งร้อนเข้าห้องของตนเองและกลืนเม็ดยาทั้งสองในคราวเดียว
“เม็ดยาปราณเปี่ยมไปด้วยพลังของเก้าตะวันยิ่งกว่าเม็ดยาที่เราได้รับจากพระราชวังเทียนฉินเสียอีก ด้วยสร้อยวิญญาณเทวะเก้าตะวันเราสามารถดูดกลืนมันได้จนหมด”
ถึงตอนนี้เอง ฉินหยุนได้ตระหนักว่าเส้นวิญญาณมีบทบาทสำคัญอย่างไรในการฝึกฝนของตนเอง
ผลลัพธ์ที่ได้จากเม็ดยาประเภทเดียวกันนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหากเปรียบเทียบระหว่างผู้ถือครองเส้นวิญญาณหนึ่งตะวันและเก้าตะวัน
หลังกินเม็ดยาปราณทั้งสอง เขารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่เริ่มขยายและกว้างใหญ่มากขึ้น ทว่า เมื่อถึงครึ่งทางของการขัดเกลาเม็ดยา เขาจึงได้พบว่าพลังปราณกำลังเข้าสู่พลังธาตุก่อนจะหายวับไป