GE156 สายโลหิตเผ่าขนนก [ฟรี]
เหตุการณ์ในวันนี้เหมือนกับเหตุการณ์ที่หนิงฝานได้พบปราณน้ำแข็งม่วง วันนั้นเขาช่วยให้นางได้รับปราณน้ำแข็งม่วง เมื่อนางดูดซับ นางก็เข้าสู่นิทราเป็นเวลานาน แต่เมื่อนางตื่น นางก็สนใจในวิชาอสูร
ตัวนางในยามนี้ดูราวกับมีความสุขมาก
หนิงฝานเชื่อในคำกล่าวของนาง เพราะยังไงเขาก็ต้องพึ่งพานาง และช่วยนางให้ออกจากสร้อยหยินหยาง
หนิงฝานลังเลเล็กน้อย ก่อนอนุญาติให้นางใช้วิชา
เมื่อหนิงฝานเชื่อใจตน นางจึงยิ้มอย่างมีความสุข นางนับว่าใกล้ชิดกับหนิงฝานมากขึ้น
‘วิชาเซียนตรวจสอบ’ เป็นวิชาที่ใช้ทดสอบสายโลหิตของผู้เชี่ยวชาญ เพราะในแดนสวรรค์ทั้ง 4 นั้น สายโลหิตถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุด เพราะสายโลหิตคือการสืบทอดวิชา ดังนั้นวิชาเซียนตรวจสอบจึงเป็นที่แพร่หลาย
การที่นางจะใช้วิชาในยามนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางพยายามใช้วิชาทั้งหมด 5 ครั้ง และสำเร็จในครั้งสุดท้าย หนิงฝานสั่นเทา เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แทรกผ่านเข้ามาในร่าง
ทำให้สัมผัสได้ถึงเส้นลมปราณ โลหิต และชีพจรได้อย่างชัดเจน
ผ่านไปนาน นางก็ถอนวิชาและยิ้มพลางกล่าว
“เจ้ามีสายโลหิตอสูรจริงๆ แต่เบาบางมาก… สายโลหิตที่เบาบางขนาดนี้ในแดนสวรรค์ เป็นสายโลหิตที่ไม่คู่ควร ต่อให้เจ้าเป็นเผ่าอสูร ก็ไม่อาจฝึกฝนได้… แต่เจ้าต่างออกไปตรงที่เจ้ามีเส้นลมปราณหยินหยาง และมีข้าคอยช่วยเหลือ เจ้าสมควรใช้วิชาอสูรได้ไม่ยาก.... แม้ว่าตัวเจ้าจะโด่ดเด่นไปทางปีศาจและเทพ แต่เจ้าก็ยังฝึกฝนวิชาอสูรได้ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าตัวเจ้าจะฝึกฝนไปได้ไกลขนาดไหน แต่ข้าบอกได้เลยว่า คนอย่างเจ้าในแดนสวรรค์ก็หาได้ยากมาก”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
สาเหตุที่หนิงฝานได้ครอบครองสายโลหิตอสูร นางไม่สนใจ เพราะหนิงฝานเองยังไม่สนใจเช่นกัน
หนิงฝานกำพร้าบิดามารดา ต่อให้รู้สายโลหิตและจะเป็นอย่างไร? เมื่อจดจำบิดามารดาและตระกูลได้ จะให้เขากลับไปตระกูลอย่างนั้นหรือ?
หนิงฝานสนใจเพียงว่าตนเองมีโลหิตอสูร และอาจช่วยให้ฝึกฝนวิชาอสูรได้
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร?”
“ข้าไม่ใช้เผ่าอสูรจึงไม่รู้ว่าควรจะฝึกฝนแบบใด แต่หากเป็นการกระตุ้นโลหิตในร่าง ข้าพอมีวิธี มันเรียกว่าการกระตุ้นเส้นลมปราณ”
การกระตุ้นโลหิตของเผ่าอสูรเป็นเรื่องที่ยากมาก… ในเผ่าอสูร การกระตุ้นเส้นลมปราณของผู้เยาว์ในเผ่า จะช่วยห้โลหิตอสูรในร่างเข้มข้นขึ้น และใช้วิชาได้สูงขึ้นเช่นกัน
ในเผ่าอสูร ก่อนที่ทุกคนจะบรรลุขอบเขตประสานวิญญาณ พวกมันจะถูกกระตุ้นโลหิตจนสมบูรณ์ทั้งหมด เป็นเหมือนการข้ามขั้นคล้ายมนุษย์ที่ต้องบรรลุขอบเขตแก่นทองคำ
การกระตุ้นโลหิตคือการทำให้โลหิตเดือดพร่าน เพื่อดึงศักยภาพของโลหิตที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดออกมา
การกระตุ้นโลหิตทำให้เจ็บปวดเป็นอย่างมาก คนทั่วไปไม่อาจทนได้ แต่สำหรับหนิงฝานไม่นับเป็นอันใด
ความเจ็บจากการกระตุ้นโลหิตนั้น เจ็บปวดน้อยกว่าโอสถจักรพรรดิหยกและวิชากระดูกยักษ์
การกระตุ้นโลหิตดำเนินไปถึง 10 วันเต็ม แต่ยังไม่อาจกระตุ้นโลหิตของหนิงฝานได้สำเร็จ ต้องพักการกระตุ้นไปอีกหลายเดือน ก่อนจะเริ่มการกระตุ้นได้อีกครั้ง
หากยังฝืนกระตุ้นต่อไป จะทำให้หนิงฝานบาดเจ็บสาหัส
ผ่านไป 1 วัน… ผ่านไป 5 วัน…
กระทั่ง 10 วันยังไม่อาจกระตุ้นโลหิตอสูรของหนิงฝานได้สำเร็จ ทำให้หลั่วโยว่เป็นกังวล
“หยุดก่อน!” นางกล่าว แม้นางจะอยากช่วยหนิงฝาน แต่นางไม่อยากให้เขาเป็นอันตราย
“ไม่เป็นไร” เหงื่อผุดกลางหน้าผากหนิงฝาน กล้ามเนื้อบิดกระตุก แต่ยังฝืนยิ้ม
หากเป็นคนทั่วไป อาจทนได้มากสุดเพียง 10 วัน แต่หนิงฝานทนได้นานกว่านั้น เพราะหนิงฝานเคยเผชิญกับความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่านี้มาแล้ว
นอกจากนี้ หนิงฝานไม่อาจทนรอได้ เขาต้องกระตุ้นโลหิตให้สำเร็จในครั้งแรก!
สิ่งที่ทำได้คือต้องอดทน ไม่ว่าจะต้องอดทน 20 วัน หรือ 30 วันก็ต้องทน
ในวันที่ 15 หนิงฝานเริ่มสัมผัสได้ถึงโลหิตปีศาจภายในร่างอย่างเลือนราง
ในวันที่ 19 หนิงฝานสัมผัสได้ถึงโลหิตอสูรได้อีกครั้ง ครั้งนี้ชัดเจนมากกว่าเดิม แต่ก็ยังกระตุ้นโลหิตไม่สำเร็จ
หากเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปคงไม่อาจทนกับความเจ็บปวดในระดับนี้ได้ พวกมันคงยอมแพ้… แต่เมื่อต้องทนกับความเจ็บปวดมานาน จิตใจของหนิงฝานก็เริ่มไม่มั่นคง แต่เขาก็พยายามกัดฟันทน
ผ่านไปอีก 5 วัน หนิงฝานก็ตั้งสมาธิไปกับการสัมผัสถึงโลหิตจนลืมความเจ็บปวด
ในวันที่ 24 หนิงฝานก็สัมผัสถึงโลหิตอสูรได้อย่างชัดเจน
เมื่อโลหิตถูกกระตุ้น กลิ่นอายของหนิงฝานก็เปลี่ยนไป ราวกับอสูรที่ถือกำเนิดใหม่ ใบหน้ามีร่องรอยคล้ายอสูรปรากฏ ผมดำขลับยาวขึ้นไปจนถึงเอว ปราณอสูรพวยพุ่งออกจากร่าง
“มาแล้ว!” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยน ราวกับแววตาของอสูร
แม้ปราณอสูรของหนิงฝานจะปรากฏ แต่หลั่วโยว่กลับส่ายหน้าราวกับผิดหวัง
“เผ่าขนนก? เป็นเผ่าพันธุ์ที่ธรรมดามาก… ข้าคิดว่าเจ้าจะโชคดีกว่านี้ อย่างเช่นได้ครอบครองสายโลหิตวิญญาณแท้จริง”
“ท่านประเมิณข้าสูงไป… ข้าเป็นเพียงมนุษย์ มนุษย์ที่ได้ครอบครองสายโลหิตอสูรก็หาได้ยากแล้ว” หนิงฝานยิ้มเจื่อน
การที่มนุษย์ได้ครอบครองโลหิตอสูรไม่ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะรุ่นบรรพบุรุษอาจเคยร่วมรักกับเผ่าอสูร
ผู้ที่ครอบครองสายโลหิตจิตวิญญาณแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นมังกรสายฟ้าโบราณ หงส์เพลิงโบราณ และวิหคทมิฬโบราณ เป็นสัตว์อสูรที่ครอบครองสายโลหิตที่หาได้ยาก เหตุใดหนิงฝานจะไปมีโลหิตแบบนั้นได้
เผ่าขนนกคือเผ่าพันธุ์อสูรที่มีความหลากหลาย ในโลกพิรุณเองก็มี ทั้งยังมีกระจัดกระจายอยู่ในโลกอีกหลายใบ นั่นอาจทำให้หนิงฝานได้ครอบครองโลหิตปีศาจที่เบาบาง
แม้เผ่าขนนกจะอ่อนแอ แต่ข่าวลือว่าในโลกอสูร สายโลหิตของเผ่าขนนกถือเป็นสายโลหิตสำคัญ ยิ่งผสานโลหิตและการเคลื่อนที่ จะทำให้เคลื่อนที่ได้เร็วมา แต่สายโลหิตของหนิงฝานในยามนี้ ยังไม่อาจเทียบชั้นได้
ยามนี้ หนิงฝานสมควรฝึกได้ทั้งวิชาอสูร วิชาเทพ และวิชาปีศาจ
หนิงฝานขยับนิ้วเป็นท่าทาง และลองใช้วิชาอสูรดูอีกครั้ง ยามนี้ เขาใช้วิชาได้ง่ายขึ้น
หนิงฝานนำคัมภีร์โลหิตทั้ง 3 ม้วนออกมาแล้วอ่านทำความเข้าใจอีกครั้ง
ในคัมภีร์มีบันทึกวิชาพื้นฐานทั่วไปมากมาย
คัมภีร์ม้วนที่สองมีบันทึกถึงวิชาที่ปีศาจบุบผาแดงใช้ เป็นวิชาที่เน้นไปกับการดูดซับปราณจากสตรี
ในคัมภีร์ม้วนที่สามมีบันทึกวิชาในระดับดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลาง ‘ดาวตกอสูร’ เป็นวิชาที่ปีศาจบุบผาแดงใช้จู่โจมเรือเหาะหนิงฝาน วิชานี้เป็นการหยิบยืมพลังจากดารา เป็นหนึ่งในวิชาจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัว
คัมภีร์ทั้งสามเกือบจะทำให้หนิงฝานมุ่งไปในเส้นทางฝึกตนของอสูร แต่เขายังไม่กระจ่างว่าจะรวมความเป็นเทพ ปีศาจ และอสูรเข้าด้วยกันได้อย่างไร… เทพคือวิชาที่ใช้... ปีศาจคือการขัดเกลาร่างกาย… แต่อสูร หนิงฝานยังไม่แน่ใจ
เขาตัดสินใจเก็บคัมภีร์ทั้งหมดไป ยังไม่เริ่มฝึกวิชาอสูร เขาไม่มีรากฐานการฝึกฝนของเผ่าอสูรมาก่อน หากฝืนฝึกจะเสียเวลามาก
ดังนั้นเขาจึงหันไปสนใจสิ่งที่ได้จากการต่อสู้อีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าขอไปพักก่อน… ใช้วิชาตรวจสอบอยู่หลายครั้งทำให้ข้าเหนื่อย...” นางหาวหวอด
“ขอบคุณที่ช่วยข้า ข้าติดหนี้ท่านแล้ว”
“เจ้าก็อย่าลืมตอบแทนข้าด้วยหล่ะ...”
หนิงฝานกางข่ายอาคมภายในห้องลับ นำปีศาจบุบผาแดงออกมาจากแหวน
หนิงฝานถอนดรรชนีคลายหยินออกจากร่างนาง แต่ด้วยหมอกสีแดงภายในแหวนยังคงทำให้นางไม่ได้สติ
หนิงฝานนำแผ่นหยกออกมา ตรวจสอบอักษรที่สลักบนหน้าผากของนางอย่างดู แล้วลอกอักษรเหล่านั้นลงไปบนแผ่นหยก
ก่อนหน้านี้เจตจำนงค์อสูรของผู้เป็นนายได้แฝงอยู่กับอักษรบนหน้าผากของนาง แต่หนิงฝานก็สังหารมันไปแล้ว เหลือเพียงอานุภาพการจู่โจมที่ทรงพลัง
เมื่อสลักอักษรเลียนแบบลงบนแผ่นหยก แผ่นหยกแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิตทันที
หนิงฝานสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจากแผ่นหยก จนทำให้เขาหวาดกลัว
นี่คือการจู่โจมของผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณ หากจู่โจมผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นสูงสุด พวกมันย่อมบาดเจ็บสาหัส แต่หากเป็นแผ่นหยกที่หนิงฝานสลักตัวอักษรลงไป มันมีอานุภาพขนาดที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางบาดเจ็บสาหัสได้
“ยิ่งมีอาวุธในมือมากเท่าไหร่ ไปทะเลไร้สิ้นสุดก็ยิงปลดภัย”
หนิงฝานนำปีศาจบุบผาแดงเข้าแหวน นำซากศพของปีศาจเฒ่าที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมออกมา
ศพของปีศาจเฒ่าสร้างขึ้นจากการแปลงศพ และด้วยศพของมัน หากนำมาสร้างเป็นสมบัติป้องกัน ย่อมสามารถต้านการจู่โจมของผู้เพชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มทั่วไปได้
“กลั่นศพ!”
ผ่านไป 10 วัน ภายในห้องลับหนิงฝานปรากฏชายในชุดเกราะสีดำ
มันสวมใส่ชุดเกราะตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้เป็นดวงตาก็ไม่อาจมองเห็น เกราะที่มันสวมใส่เป็นสมบัติวิญญาณคุณภาพสูง แต่จุดที่ไม่ธรรมดาจริงๆคือร่างของชายคนนั้น
ร่างกายของมันไม่ได้แผ่สัญญาณชีพออกมา ตัวมันเคลื่อนไหวไปตามสัมผัสเทพหนิงฝาน เพราะมันถูกสร้างมาจากซากศพของปีศาจเฒ่า จึงมีพละกำลังไม่ธรรมดา เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำลายศิลาฝึกยุทธิ์ได้
ยามนี้ เสียงศิลาระเบิดดังก้องไปทั่วเรือ ทำให้ชู่ซวนเชียนสื่อตกใจ
ศิลาฝึกยุทธิ์ที่ว่าแข็งยังพัง
และนั่นมาจากกำลังกายเท่านั้น
“ศพนี้สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้นได้ หรือต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่มขั้นกลางก็ไม่อาจทำให้ศพเสียหาย… การป้องกันของมันไม่ธรรมดา อีกเพียงครึ่งก้าวมันก็บรรลุศพปีศาจ ไม่รู้ว่าถ้ามันบรรลุแล้ว...จะทรงพลังขนาดไหน อยากเห็นจริงๆ”
แววตาหนิงฝานเป็นประกาย ก่อนนำโลงศพสีครามในแหวนออกมา
ภายในโลงศพสีครามมีศพนางสวรรค์
หนิงฝานจำได้ว่าศพนางสวรรค์มีใบหน้าที่คล้ายมู่เหว่ยเหลียง
“ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าซ่อนความลับอะไรไว้...
หนิงฝานขยับนิ้ว ฝาโลงเคลื่อนออก
แต่เมื่อฝาโลงเปิด เจตสังหารที่รุนแรงแผ่ออกมาจากภายใน ตนทำให้คนบนเรือทั้งหมดหวาดกลัว
“เจ้า… ตาย...” ศพนางสวรรค์ที่มีใบหน้าคล้ายมู่เหว่ยเหลียงได้เพ่งเจตนาสังหารกดดันเข้าใส่หนิงฝาน
นางกลายเป็นศพปีศาจไปแล้ว!
“เกราะดำ จัดการ!”
แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยนเย็นชา ศพในชุดเกราดำที่เขาสร้าง เหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับกรงเล็บของศพนางสวรรค์
ผลการปะทะเกินกว่าที่หนิงฝานคาดการไว้ เพราะเกราะดำที่แม้แต่วังวนมังกรเพลิงที่ 6 ยังยากจะจัดการ กลับถูกกรงเล็บของศพนางสวรรค์ทะลวงผ่านเกราะ หากหนิงฝานไม่บังคับมันเร่งถอย คงถูกศพนางสวรรค์ฉีกร่างไปแล้ว
นางสวรรค์ที่กลายเป็นศพปีศาจนั้นน่าสะพรึงกลัว หนิงฝานคิดว่านางในยามนี้อาจทรงพลัง จนแม้ผู้เชี่ยวชาญตัดวิญญาณทั่วไปก็ไม่อาจเทียบเคียง
หากศพนางสวรรค์เพิ่มพูนความแข็งแกร่งอีกหมื่นปี ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยกยังไม่อาจต้าน
หนิงฝานเร่งกระตุ้นข่ายอาคมขนาดใหญ่ในห้องลับ เพื่อป้องกันไม่ใช้ศพนางสวรรค์หลบหนี ก่อนใช้ย่างก้าวพริบตา ปรากฏตัวยังด้านหลังของนาง แล้วใช้ดรรชนีคลายหยินจู่โจม
เมื่อต้องดรรชนี ร่างของนางอ่อนกำลังลง แต่ถึงอย่างนั้น ร่างของนางยังแข็งราวกับโลหะ จนหนิงฝานรู้สึกราวกับกระดูกนิ้วแทบหัก
ดรรชนีคลายหยินไม่เป็นผล อานุภาพของดรรชนีไม่อาจแทรกผ่านร่างนางได้
แววตานางแปรเปลี่ยนโกรธแค้นยิ่งขึ้นจากการลอบจู่โจม
นางจดจำได้อย่างเลือนลางว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้า เป็นผู้พรากความบริสุทธิ์ของตนไป
นางทำมือเป็นกรงเล็บตะปบเข้าใส่หนิงฝานอย่างรวดเร็ว จนทำให้หนิงฝานต้องหลบ
“เกราะดำ!”
ชายในเกราะดำปรากฏตัวเบื้องหน้าหนิงฝาน เพื่อต้านรับการจู่โจมของนาง
กรงเล็บของศพนางสวรรค์ทพลวงเข้าเกราะหน้าอก โชคดีที่ชายผู้นี้เป็นศพ ไม่งั้นคงได้ตายไปแล้ว
หนิงฝานเลิกล้มความตั้งใจที่จะตรวจสอบศพนางสวรรค์ เขาเข้าประชิดนาง ซัดฝ่ามือเข้าใส่เอวเพื่อผลักนางเข้าไปในโลงแล้วปิดฝา
โลงศพนี้สามารถผนึกนางเอาไว้ได้ ไม่ว่านางจะพยายามดิ้นรนยังไงก็ไม่อาจเปิดฝาโลงออกได้
“เหว่ยเหลียง… เจ้าเกี่ยวข้างกับศพนี้ยังไงกันแน่...” หนิงฝานส่ายหน้า หากเขาไม่แข็งแกร่งพอจะสยบนางได้ นางจะไม่นำนางออกมาอีก
หนิงฝานเก็บโลงศพ หันมองชายในชุดเกราะดำที่ไม่อาจต้านการจู่โจมของศพนางสวรรค์พลางยิ้มเจื่อน
เขาต้องซ่อมแซและสร้างศพใหม่อีกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น ชายชุดเกราะดำก็มีประโยชน์ หากไม่ได้มันหนิงฝานคงไม่กล้ารับมือศพนางสวรรค์
ชายชุดเกราะดำนับเป็นปราการป้องกันที่ดี
หากมันรู้ว่าหนิงฝานเอาร่างของมันที่ตายไปแล้วมาทำเป็นโล่ มันคงโกรธน่าดู
ภายนอกห้องลับหนิงฝาน… จิงสั่วแล้วชู่ซวนเชียนสื่อมา แววตาตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น?” ชู่ซวนเชียนสื่อเป็นกังวล นางรู้ว่าหนิงฝานทรงพลัง แต่เจตนาสังหารที่น่าสะพรึงกลัวนั้นไม่ใช่ของผู้เชี่ยวชาญดวงจิตแรกเริ่ม
“ไม่มีอะไร แค่เรื่องเล็กน้อย...” หนิงฝานเก็บชายชุดเกราะดำไป แล้วเดินออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นหนิงฝานไม่เป็นอะไรนางก็ผ่อนคลาย เพียงแต่นางรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
หนิงฝานในวันนี้ดูเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งยังมีกลิ่นอายของอสูรด้วย
ยามนี้ ดวงตาข้างซ้ายของหนิงฝานปรากฏแสงของดาราที่อ่อนจาง จนยากจะมองเห็น
หากวันหนึ่งแสงดาราแปรเปลี่ยนเป็นดารา หนิงฝานจะได้ความสามารถใหม่
“ไปกันเถอะ หลายวันแล้วที่ข้าไม่ได้ฟังขลุ่ยของเจ้า… ดูท่าเจ้าคงรอข้าอยู่นานแล้ว” หนิงฝานยิ้มพลางกล่าว
“ใครรอเจ้า!” นางซ่อนขลุ่ยไว้ข้างหลัง สีหน้าโกรธเคืองและอับอาย
นางกำลังรอที่จะบรรเลงเพลงขลุ่ยให้หนิงฝานฟัง และนางไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงต้องรอ
ตะวันกำลังตกดิน เสียงเพลงขลุ่ยขับขาน ทิวทัศน์แคว้นเชิ่งงดงาม กล่อมจิตใจให้สงบ
ยามนี้ หนิงฝานจากเมืองหนิงมาได้ 9 เดือนแล้ว...