ตอนที่ 169 การทดสอบที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์ (ฟรี)
เฒ่าชราทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อเห็นตัวเลขที่บันทึกเอาไว้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา เหตุใดผู้อาวุโสผู้นั้นถึงได้ถอดสีหน้าไปได้ถึงเพียงนั้น กำลังเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ถู่ฟางถอนหายใจออกมาแล้วตอบแทนไปว่า “หากข้าจำไม่ผิด ถ้ำแห่งนั้นยังไม่เคยมีผู้ใดผ่านการทดสอบได้มาก่อน”
ถังหว่านเอ๋อตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็รีบเอ่ยถามออกไป “ถ้ำแห่งนั้นมีอายุมากถึงเพียงใดกัน?”
ในขณะที่ถามย้ำออกไปอีกครั้งด้วยความไม่สบายใจ ถังหว่านเอ๋อก็สังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสมีใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปในทันที
“หนึ่งพัน……กับอีกยี่สิบห้าปี” ผู้อาวุโสตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
เมื่อสิ้นเสียงนั้นทั่วทั้งบริเวณก็ได้เข้าสู่ความเงียบงันราวกับป่าช้า ทุกครั้งที่ผ่านการท้าทายเหล่าร่างจิตวิญญาณเหล่านั้นก็จะถูกชำระพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกทั้งยังต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้
สิ่งนี้ไม่ต่างอันใดไปจากการเลี้ยงหมูตัวหนึ่งจนอ้วนพี เมื่อร่างกายได้ที่แล้วก็ฆ่าทิ้ง เช่นนั้นหลังจากที่มีผู้ผ่านการทดสอบไปได้ อายุถ้ำของพวกเขาก็จะต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มารร้ายที่ถูกเด็ดศีรษะออกไปแล้วต่างก็ตายตกไปเพียงร่างศพที่ผนึกอยู่ ทว่าร่างจิตวิญญาณกลับไม่ได้สูญสลายไป อีกทั้งยังต้องพักฟื้นเพื่อเพิ่มพูนพลังที่สูญเสียไปให้กลับมา เมื่อได้ร่างศพที่เหมาะสมแล้วจึงจะสามารถผนึกเข้าไปใหม่อีกครั้ง
ตามกฎในการทดสอบของหมู่ตึก หากเป็นมารร้ายที่อยู่ในการทดสอบระดับจิตใจที่มีอายุถ้ำมากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป เหล่าผู้อาวุโสจะต้องเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเองด้วยการสังหารมารร้ายผู้นั้นจนสลายพลังอันมหาศาลภายในจิตวิญญาณ จากนั้นก็ทำการเปลี่ยนร่างศพใหม่
เพราะมารร้ายที่มีอายุถ้ำมากกว่าห้าร้อยปีนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ผู้มีพรสวรรค์ขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งจะสามารถจัดการได้ หากเข้าไปแล้วมีแต่จะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น
ผู้อาวุโสที่ถือสมุดบันทึกถอดสีหน้าซีดเผือดไปในทันที เขาเป็นผู้ที่ถูกมอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องการทดสอบและถ้ำเหล่านี้ทั้งหมด แล้วเหตุใดถึงทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงเช่นนี้ไปได้ เรียกได้ว่าเป็นความผิดมหันต์อย่างไม่น่าให้อภัย
“ผู้อาวุโสถู่……” ผู้อาวุโสผู้นั้นจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสถู่ฟางด้วยความหดหู่ใจ ความผิดครั้งนี้อาจทำให้ทางหมู่ตึกสูญเสียผู้มีพรสวรรค์ผู้หนึ่งไป มีแต่ต้องรับโทษสถานเดียวเท่านั้น
ถู่ฟางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ผิดหรอก”
ถู่ฟางนั้นอยู่ที่หมู่ตึกพลิกสวรรค์มาเนิ่นนานแล้ว เขาย่อมเข้าใจผู้อาวุโสผู้นี้ดีที่สุด แน่นอนว่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดปรารถนาจะให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอยู่แล้ว
อีกทั้งห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ ถ้ำศิลาทั้งหมดต่างก็มีอายุเกินกว่ามาตรฐานไปแล้ว หากว่าถูกชำระจนกลายเป็นศูนย์ไปตามเงื่อนไขก็มีแต่น่าเสียดาย ทว่าหากหลงเหลือเอาไว้ก็จะกลายเป็นการสร้างความยุ่งยากขึ้นมาเฉกเช่นตอนนี้
และช่วงเวลาห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่มีผู้เข้ารับการทดสอบคนใดเลือกสรรถ้ำแห่งนั้น เช่นนั้นถู่ฟางจึงหวนนึกคิดไปถึงคำพูดของจ้าวสำนัก นี่คงจะเป็นชะตาฟ้าลิขิตของหลงเฉินที่ไม่อาจสอดมือเข้าไปขัดขวางได้
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสถู่ฟางทอสีหน้าชาด้านและไม่กล่าววาจาอันใดต่อราวกับว่ากำลังละทิ้งความผิดพลาดของเขาให้ผ่านพ้นไปอย่างง่ายดาย จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“อายุถ้ำมากเกินไปแล้ว หลงเฉินจะผ่านไปได้อย่างไรกัน พวกท่านยังไม่รีบเข้าไปช่วยเขาอีกหรือ?” ถังหว่านเอ๋อปะทุเพลิงโทสะขึ้นมายกใหญ่
ถู่ฟางส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “เวลาได้ผ่านมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว เข้าไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด รอคอยเพียงโชคชะตาของหลงเฉินเท่านั้น”
“ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ถังหว่านเอ๋อเกิดอาการร้อนรนและไม่สบายใจจนน้ำตาไหลพรากออกมาเป็นสาย ถ้ำที่นางเข้าไปเมื่อครู่นี้มีอายุถ้ำสี่ร้อยกว่าปี เพียงเท่านี้ก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
ถังหว่านเอ๋อกัดฟันกรอด พลันก็ขยับเท้าข้างหนึ่งแล้วพุ่งทะยานร่างไปที่ผาศิลาอีกครั้ง
“หว่านเอ๋อกลับมา!” ชิงยวูแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด นางทราบว่าถังหว่านเอ๋ออยากจะไปช่วยหลงเฉิน ทว่ากลับไม่คิดว่าจะรวดเร็วเช่นนี้ ในขณะที่กำลังจะรั้งเอาไว้ ร่างบางสายนั้นก็ไปถึงผาศิลาเสียแล้ว
“ตูม”
ในขณะที่ผู้คนโดยรอบกำลังแตกตื่นตกใจกับการเคลื่อนไหวของถังหว่านเอ๋ออยู่นั้น จู่จู่ที่เบื้องบนก็ได้มีเสียงระเบิดดังลอดออกมาจากปากทางเข้าถ้ำ เสียงดังกังวานดังสะท้อนราวกับเป็นคลื่นใต้น้ำ
ผู้คนทั้งหมดละสายตาไปจากแผ่นหลังของถังหว่านเอ๋อไปที่ต้นเสียงสายนั้นในทันที แล้วทุกสายตาก็ประสบพบกับถ้ำศิลาที่แหลกละเอียดออกเป็นผุยผง จากนั้นก็ได้มีเงาร่างสายหนึ่งลอยละล่องออกมาด้วยความเร็วอย่างไร้ที่เปรียบ
“หลงเฉินหรือ?”
ผู้คนไม่น้อยส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ เงาร่างนั้นจะต้องเป็นหลงเฉินแน่นอน ในขณะที่หลงเฉินลอยตัวออกมาจากถ้ำได้แล้ว เขาก็ค่อยๆ ร่อนกายลงมาเหยียบพื้นอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่ยืนทรงตัวได้แล้ว ด้านหลังของเขาก็ได้มีฝ่ามือขนาดใหญ่ตามออกมาด้วย อีกเพียงนิดเดียวก็จะฟาดโดนหลงเฉินแล้ว ช่างใกล้จนคุกคามต่อชีวิตอย่างถึงที่สุด
เงาฝ่ามือสีดำทมิฬนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาล อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนให้ขนหัวลุก เสียงกรีดร้องของคนผู้หนึ่งดังสนั่นจนบาดแก้วหูของผู้คนทั้งหมด แม้แต่ศิลาที่แข็งแรงก็ยังเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาเป็นสาย
ก่อนที่จะมาถึงหลงเฉิน เงาฝ่ามือสีดำทมิฬก็ได้กระแทกเข้ากับขุมพลังกลางอากาศที่ว่างเปล่า เสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นมาตามหลัง “เจ้าเด็กบัดซบ กล้าหลอกเหล่าฝู่อย่างข้าหรือ จงมารับความตายซะ!”
เสียงนั้นช่างดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแฝงด้วยไว้ด้วยจิตสังหารที่รุนแรง ในขณะที่เสียงนั้นได้ทอดยาวมาตามถ้ำ เงาร่างสีดำทมิฬสายหนึ่งก็ลอยตามออกมา ร่างกายนั้นถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหมอกอันมืดมิดกลุ่มหนึ่ง
ในขณะที่กำลังลอยทะยานออกมานั้นก็ได้ต้องกับผนึกถ้ำจนเกิดประกายแสงกระจายไปโดยรอบ ทันใดนั้นร่างกายของคนผู้นั้นก็ถูกเผาผลาญจนเกิดเสียงดังเพียะพะขึ้นมาเป็นสาย
“อาอาอา……ข้าแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว เจ้าหนู เจ้าต้องอยู่กับข้า” เงาร่างสายนั้นสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก แม้จะต้องเผชิญกับประกายแสงอันแรงกล้านั้น ทว่าเขาก็ยังพยายามตะเกียกตะกายไล่ตามหลงเฉินออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“หลงเฉิน”
ทันทีที่ถังหว่านเอ๋อมาถึงก็ประจวบกับช่วงเวลาที่หลงเฉินลอยออกมา ใบหน้าอันงดงามหมดจดปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ
“เด็กโง่ เจ้าขึ้นมาทำอันใดกัน หนีเร็ว!”
เมื่อเห็นถังหว่านเอ๋อยืนยิ้มอยู่ หลงเฉินก็ได้ใช้ฝ่ามือใหญ่ผลักไปที่ร่างของนางจนปลิวออกไปประดุจมีเมฆหมอกห่อหุ้มร่างกายอย่างไรอย่างนั้น
“ตูม”
หลังจากที่ถังหว่านเอ๋อเพิ่งจะพ้นออกมาจากปากทางเข้าถ้ำ เงาฝ่ามือขนาดใหญ่สายนั้นก็ลอยทะยานออกมาฟาดเข้าไปที่ร่างของหลงเฉินในทันที หลงเฉินส่งเสียงดังชิแล้วก็ถูกตรึงอยู่กับพื้นดิน
“เพล้ง”
พื้นดินที่หลงเฉินถูกกระแทกเข้าใส่ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา แม้แต่แท่นศิลาที่อยู่โดยรอบก็ยังแตกละเอียด
เหตุการณ์ในตอนนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนมากมายยังคงแตกตื่นอยู่กับฉากต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา จนเมื่อหลงเฉินถูกโจมตี ถู่ฟางก็ได้ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ตั้งค่ายกลพยัคฆ์กักนาคา”
จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสนับสิบคนก็ได้ตะโกนขึ้นมาเฉกเช่นเดียวกัน แล้วฟาดฝ่ามือของพวกเขาไปยังแท่นศิลาที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างกายทั้งหมดสิบหกแท่นจนปรากฏร่องรอยบางอย่างขึ้นมา ร่องรอยนั้นคล้ายกับตาข่ายขนาดใหญ่ ทว่ากลับมีขนาดถึงสิบลี้พุ่งทะยานเข้าไปปกคลุมเงาร่างสีดำทมิฬนั้นไว้ในทันที
หลงเฉินค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาจากหลุมยักษ์ แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าด้วยการโจมตีเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อยเลย ภายในดวงตาปรากฏดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนขึ้นมา
เมื่อกวาดสายตาไปมองยังเบื้องหลัง เขาก็พบว่ากุ่ยซากำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ในตาข่ายขนาดใหญ่ ในที่สุดเขาก็มีชีวิตรอดกลับมาได้จึงอดไม่ได้ที่จะถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เงาร่างของคนผู้นั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีดำทั้งหมดจนไม่อาจมองเห็นเงาร่างและหน้าตาที่แม้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน ทว่าพวกเขากลับสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นมารร้ายที่เก่งกาจอย่างถึงที่สุด
จากการทดสอบที่ผ่านมา หากมีผู้ใดถอยออกมาจากถ้ำ เหล่ามารร้ายที่ไล่ตามออกมาก็ต้องเผชิญกับลำแสงเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ทว่าร่างเหล่านั้นกลับแหลกสลายไปในพริบตา
แต่มารร้ายผู้นี้กลับสามารถต้านทานประกายแสงอันแรงกล้าเอาไว้ได้อย่างเนิ่นนาน อีกทั้งยังมีท่าทีที่จะออกมาจากถ้ำได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เงาสีดำทมิฬนั้นถูกค่ายกลกักตัวเอาไว้ได้แล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจสลัดหลุดได้เลย
“หลงเฉิน การทดสอบในครั้งนี้เกิดข้อผิดพลาดที่เหนือความคาดหมาย ฉะนั้นเจ้าสามารถอยู่ในการทดสอบต่อไปได้ อีกทั้งยังสามารถเลือกที่จะถอยออกมาได้เช่นกัน ทว่าหากเจ้าเลือกที่จะถอยออกมาในครั้งนี้จะถือว่าการทดสอบล้มเหลว” ถู่ฟางกล่าวต่อหลงเฉิน
หลงเฉินกรอกดวงตาขาวไปมา นี่ล้อเล่นกันอยู่หรือ ให้ข้าเข้าไปสู้กับเจ้ามาร้ายที่มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้อีกอย่างนั้นหรือ? การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการหาที่ตายให้เขาเลย
ทว่าในขณะที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้นหลงเฉินก็ได้ร่ำเรียนเคล็ดวิชาท่าร่างภูตมืดสงัดของกุ่ยซามาโดยตลอด ช่างเป็นเรื่องที่ยินดีอยู่ไม่น้อย
เพราะเคล็ดวิชานั้นทั้งสูงส่งและลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง หลงเฉินสามารถจดจำวิชาได้ขึ้นใจ ไม่เพียงแต่ท่องออกมาได้ทั้งหมด ทว่าสามารถล่วงรู้ถึงความพิสดารที่มีอยู่มากมายของทักษะยุทธ์ชนิดนี้ได้ ไม่เว้นแม้แต่หลักในการไหลเวียนพลัง เพราะเขาได้สอบถามจากกุ่ยซามาจนกระจ่างแจ้งแล้ว
เดิมทีกุ่ยซาเพียงใช้เคล็ดวิชามาหลอกล่อหลงเฉินเท่านั้น ทว่าหลงเฉินกลับใช้กลยุทธ์ทางวาจาล้วงลึกถึงรายละเอียดจนกุ่ยซาปล่อยออกมาหมดเปลือก แม้ในตอนนั้นกุ่ยซาจะระเบิดเพลิงโทสะขึ้นมาภายในจิตใจอยู่หลายครั้ง ทว่าเพื่อเป้าหมายสูงสุดแล้วจึงต้องอดกลั้นเอาไว้ แล้วอธิบายออกมาไม่หยุด
และในทุกครั้งที่กุ่ยซาถูกหลงเฉินถามถึงความลับของเคล็ดวิชาเสมือนกับถูกสายฟ้าฟาดลงมาที่หัวใจ หลงเฉินก็มักจะข่มขู่ว่าหากไม่สอน เขาก็จะไม่ยอมช่วย
กุ่ยซาถูกหลงเฉินบีบคั้นจนแทบคลั่ง และหลงเฉินเองก็เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก นอกจากนี้ยังล่วงรู้ถึงการไหลเวียนของพลัง รวมไปถึงเส้นทางการไหลเวียนได้อย่างแม่นยำ เรียกได้ว่ามีความคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าผีเฒ่าอย่างเขาเสียอีก ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจแต่งเรื่องขึ้นมาได้เลย ทำได้แค่เพียงสอนท่าร่างภูตมืดสงัดออกไปอย่างว่าง่าย
ในขณะที่ถ่ายทอดวิชาอยู่นั้นเขาก็ได้กล่าวปลอบใจตัวเอง ขอเพียงเปลี่ยนถ่ายร่างกายกับหลงเฉินได้ก็จะทำการกลืนกินจิตวิญญาณของหลงเฉินในทันที หากการสั่งสอนเพียงหนึ่งเคล็ดวิชาจะทำให้เขาสมหวังก็ย่อมไม่เป็นเรื่องใหญ่อันใด
เมื่อยู่ในนั้นหลงเฉินก็พยายามฝึกฝนเคล็ดวิชายู่หลายครั้งจนในที่สุดเขาก็สามารถไหลเวียนพลังลมปราณอันแสนประหลาดขึ้นมาได้ อีกทั้งยังทำให้ร่างกายมีพลังลมปราณเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมหาศาล
เมื่อการร่ำเรียนดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว กุ่ยซาก็เริ่มดึงจิตวิญญาณของเขาออกมาจากร่างศพเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดตันเถียนของหลงเฉิน
เริ่มจากให้หลงเฉินใช้นิ้วจิ้มไปที่หว่างคิ้วของเขา แล้วเขาก็จะเริ่มไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาเพื่อทะลวงผนึกออกไป ในขณะที่กุ่ยซากำลังไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่นั้น ที่ร่างศพก็ได้เกิดวิถีประหลาดขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน พยายามที่จะผนึกพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่าด้วยพลังอันแข็งแกร่งของกุ่ยซาก็ได้ทำให้หว่างคิ้วของตัวเองแหวกออกจนกลายเป็นรู หลังจกานั้นเขาด็ได้ไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณแล่นไปตามนิ้วเพื่อเข้าสู่จุดตันเถียนของหลงเฉิน
หลงเฉินพยักหน้าไปมาเพื่อตอบรับ แล้วกุ่ยซาก็เริ่มใช้พลังอักขระออกมาต่อต้านพลังอันมหาศาลที่ผนึกร่างกายเอาไว้อีกทางหนึ่ง ช่วงเวลาที่กำลังดึงจิตวิญญาณต่อต้านกับร่างศพนั้นช่างกินทั้งแรงและเวลาไปอย่างมาก
หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวของพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลอย่างไร้ที่เปรียบของกุ่ยซา ทว่าในขณะที่คนผู้นั้นกำลังต่อต้านร่างศพด้วยพลังอักขระอยู่นั้น พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ ลดทอนลงไปอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินเองก็ได้เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อจิตวิญญาณของกุ่ยซาแทรกซึมเข้ามาที่ปลายนิ้วแล้วแผ่กระจายเข้าสู่แขน ในที่สุดก็เป็นโอกาสอันดีที่จะนำพลังแห่งอัสนีบาตที่กักเก็บเอาไว้มาเนิ่นนานไล่จิตวิญญาณของกุ่ยซาให้ถอยร่นออกไป
พลังแห่งจิตวิญญาณโดยทั่วไปมักจะหวาดกลัวต่อพลังแห่งอัสนีบาต ถึงแม้ว่ากุ่ยซาจะแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ทว่าก็ไม่อาจทนทานรับเอาไว้ได้จนส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นร่างศพนั้นก็ได้ลอยกระเด็นออกไปไหล แน่นอนว่าจิตวิญญาณของเขาคงได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อยเลย
เมื่อสบโอกาสหลงเฉินก็รีบขยับฝีเท้าเพื่อหลบหนีออกจาสถานที่แห่งนั้นในทันทีโดยใช้ความเร็วที่มีทั้งหมดปะทุออกมามุ่งหน้าไปยังปากทางเข้าถ้ำในทันที
ทว่ากุ่ยซาผู้นั้นก็ช่างมีพลังเหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณไปมากกว่าครึ่งก็ยังสามารถฟื้นคืนกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกุ่ยซาทราบแล้วว่าหลงเฉินได้หลอกลวงเขามาโดยตลอดจึงได้เริ่มโจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นหลงเฉินส่งสายตาดูแคลนกลับมา ถู่ฟางจึงได้ยื่นข้อเสนอออกไปว่า “เจ้าสามารถเชื้อเชิญพวกพ้องของเจ้ามาช่วยได้นะ”....
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 488 แล้วครับ)