เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0010
ตอนที่ 10 : วิญญาณยุทธ์
เทือกเขาเมฆมังกร มันอยู่ห่างจากเมืองหลวงของจักรวรรดิฉินเทียนราวสองร้อยกิโลเมตร
บริเวณเทือกเขาแห่งนี้มียอดเขาเสมือนป่าชุ่มชื้น ด้วยความสูงล้ำของมัน จึงถูกปกคลุมด้วยทะเลหมอกที่งดงาม
อีกทั้งยังประกอบด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลผ่านเทือกเขาประหนึ่งมังกรกำลังพิโรธ
สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงตั้งอยู่ที่บริเวณด้านนอกของเทือกเขาเมฆมังกร นอกจากแม่น้ำเมฆมังกรแล้ว ยังมีกำแพงหินก้อนใหญ่มหึมาล้อมเอาไว้ นี่เปรียบเสมือนเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่เคร่งครัดและงดงาม จากระยะไกล มันเหมือนกับมีพยัคฆ์น่าสะพรึงกำลังนอนอยู่ข้างแม่น้ำเมฆมังกรด้วยท่าทีพร้อมคุกคาม
หลังพาหนะเคลื่อนเข้าบริเวณประตูหลักขอสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง สิ่งปลูกสร้างที่ทั้งสูงใหญ่และงดงามสามารถพบเห็นได้เต็มไปหมด ทั้งอาคารและตำหนักต่างกระจายตัวกันอยู่ทั่ว อีกทั้งยังมีสวนหย่อมจำนวนแทบนับไม่ถ้วน กระทั่งพระราชวังหลวงที่เขาเคยอยู่ยังกลายเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นก็ไม่ปาน
พาหนะเคลื่อนมาถึงบริเวณทางด้านตะวันตกของสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง หยางฉีเย่ว์ตอนนี้ปลุกฉินหยุนให้ตื่นขึ้นพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าเดินไหวหรือไม่?”
“ไหวขอรับ!”
พลังเก้าตะวันที่ฉินหยุนดูดซับเข้าไปผ่านสร้อยข้อมือเก้าไข่มุกนั้นให้ประสิทธิภาพดีเยี่ยม พวกมันหล่อเลี้ยงและบำรุงร่างกายพร้อมช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายในแก่เขา ตอนนี้นับว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังคงมีอาการอิดโรยแสดงให้เห็น
หยางฉีเย่ว์เกือบจะเข้าช่วยฉินหยุนพยุงตัว แต่แล้วเมื่อนางเห็นเขากระโดดลงจากพาหนะได้ นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความแตกตื่น “เจ้าฟื้นตัวเร็วมาก!”
ฉินหยุนคล้ายรู้สึกผิดอยู่บ้างจึงกล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ ข้าทำท่านประสบปัญหาเสียแล้ว”
“ค่าเล่าเรียนภาคเรียนละ 20,000 เหรียญผลึก ตรงส่วนนี้ข้าจะออกเงินให้เจ้าก่อนเป็นการชั่วคราว สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเข้มงวดนัก หากไม่สามารถผ่านการทดสอบปลายภาคเรียนได้ คนผู้นั้นก็จำต้องถอนตัวออกจากสถาบันไป... ก่อนจะถึงเวลานั้น เจ้าต้องจ่ายคืนเหรียญผลึกทั้งหมดที่ข้าให้ยืมอย่างครบถ้วน”
หยางฉีเย่ว์เผยสีหน้าเคร่งขรึมจนทำให้ใจของฉินหยุนเย็นเยียบ 20,000 เหรียญผลึกไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าตนสามารถรวบรวมจำนวนดังกล่าวมาได้ในภาคเรียนอย่างแน่นอน
“ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องเรียนเพื่อพักผ่อนก่อน เมื่อนักเรียนทั้งหมดกลับมารวมตัวกันที่นี่ เจ้าจะได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้น!”
หยางฉีเย่ว์พาฉินหยุนผ่านเส้นทางซับซ้อน ภายในมีห้องเรียนหลากหลาย และห้องเรียนซึ่งอยู่ใกล้พวกเขาที่สุดคือห้องเรียนที่หยางฉีเย่ว์นำเขามา
ภายในห้องมีนักเรียนอยู่ก่อนแล้วกว่าสิบคน พวกเขาส่วนใหญ่เป็นบุตรหลานของเจ้าผู้ครองไม่ก็แม่ทัพของราชวงศ์ หรือไม่ก็เป็นศิษย์ที่เหนือล้ำจากตระกูลผู้ฝึกตน พวกเขาเหล่านี้ล้วนถูกเลือกโดยหยางฉีเย่ว์ หลายคนต่างตระหนักได้ว่าฉินหยุนเป็นใคร
นักเรียนหลายคนรู้จักฉินหยุน พวกเขาเผยความอึกอัก พวกเขามาถึงที่ฮัวหลิงแห่งนี้ก่อน จึงไม่ทราบว่าก่อนหน้าที่ลานกว้างของพระราชวังหลวงเกิดเรื่องราวใดขึ้น
ฉินหยุนมาถึงก็ได้รับคำทักทายด้วยสายตาอย่าง เดียดฉันท์ สงสัย เย้ยหยัน และตื่นตกใจ...
ทว่าเขาไม่คิดสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาประสบกับเรื่องพวกนี้มากพอจนทำให้ชินและใจเย็นได้
“ในช่วงบ่าย ข้าจะช่วยพวกเจ้าปลุกวิญญาณยุทธ์ขึ้น พวกเจ้าทั้งหมดให้อยู่ที่นี่ รอคอยอย่างอดทนจนกว่าข้าจะกลับมา จดจำเอาไว้ ไม่ว่าจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายเพียงใด ตราบเท่าที่กล้าสร้างปัญหาขึ้นที่นี่ ค่าตอบแทนสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นจะสาหัสนัก” หยางฉีเย่ว์กล่าวเสียงเย็นข่มขู่ อีกทั้งยังประกอบด้วยออร่าคุกคามจนทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงหน้านางไม่กล้าคิดลองดี
หลังนางออกจากห้องเรียน บรรดานักเรียนที่หวาดกลัวกันอยู่จึงเผยเสียงถอนหายใจเล็กน้อยกันออกมา
สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงครอบครองพลังอำนาจเกินจะหยั่ง อีกทั้งยังมีขั้วอำนาจลึกลับสนับสนุนพวกเขาจากเงามืด กระทั่งว่าเป็นจักรวรรดิเทียนฉินก็ยังไม่อาจหาญกล้ายั่วยุพวกเขา
นักเรียนเหล่านี้แม้เลือดร้อนแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะแสดงความอหังการออกมา พวกเขาเพียงนั่งกับที่เงียบงัน รอคอยอย่างอดทนจนกว่าหยางฉีเย่ว์จะกลับมาที่ห้องเรียน
* * *
ในช่วงบ่าย หลังเสร็จสิ้นการคัดนักเรียนเข้าห้องเรียน ห้องเรียนของหยางฉีเย่ว์จึงประกอบด้วยนักเรียนทั้งสิ้นยี่สิบคน
“ตอนนี้ถึงเวลาเริ่มการปลุกวิญญาณยุทธ์แล้ว!”
ชั่วขณะที่หยางฉีเย่ว์เข้ามาในห้องเรียน นักเรียนทุกคนต่างยื่นขึ้น สีหน้าของนางตอนนี้ทำให้ทุกคนเกิดความกังวลไม่มากก็น้อย
การปลุกวิญญาณยุทธ์คือสิ่งสำคัญที่สุดในการก้าวสู่เส้นทางการฝึกตน มันสามารถส่งผลต่ออนาคตของคนผู้หนึ่งที่ครอบครอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักเรียนทุกคนถึงเกิดความกังวลกันขึ้น
“นั่งลงได้!” หยางฉีเย่ว์เผยน้ำเสียงเข้มงวดกวาดสายตามองพวกเขาและพยักหน้าให้ ถัดจากนั้น นางนำเอาเจดีย์ขนาดเล็กที่มีรอยสลักอย่างพิถีพิถันออกมา นางบรรจงวางมันลงเอาไว้ที่แท่นบรรยาย
ขณะนี้ มือของนางวางสัมผัสที่เจดีย์ผลึกขนาดเล็กและเอ่ยคำขึ้น “สิ่งนี้คือเจดีย์เบิกวิญญาณ มันสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ในกายบุคคลขึ้นมาได้ หลังจากวิญญาณยุทธ์ตื่นขึ้น เจดีย์เบิกวิญญาณจะส่องแสงออกมา”
“ยิ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสูงเพียงใด สีของเจดีย์วิญญาณนี้จะเป็นตัวบ่งบอก เริ่มจากทองเหลือง เงิน ทองคำ แพลทินัม และทองม่วง วิญญาณยุทธ์มีทั้งสิ้นด้วยกันห้าระดับ”
“อาจารย์หยางครับ ระดับของวิญญาณยุทธ์ตัดสินจากคุณสมบัติอะไร?” นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นและกล่าวถาม
หยางฉีเย่ว์พยักหน้ารับและกล่าวคำ “ต่อให้วิญญาณยุทธ์ระดับเงินเป็นที่ยอมรับ แต่วิญญาณยุทธ์ระดับทองก็ดียิ่งกว่า แพลทินัมคือดีที่สุด สำหรับวิญญาณยุทธ์ระดับทองม่วงนั้น... บุคคลผู้ซึ่งสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับนั้นได้ ล้วนหาได้ยากยิ่งเหมือนอย่างขนหงส์เพลิงอมตะหรือไม่ก็เขากิเลนเลยทีเดียว”
“อาจารย์คะ วิญญาณยุทธ์ของอาจารย์อยู่ระดับใด?” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
สีหน้าที่ขาวราวหยกแก้วของหยางฉีเย่ว์พลันเผยซึ่งร่องรอยความภาคภูมิ นางวางมือขาวละเอียดนั้นที่เจดีย์วิญญาณ และทันใดนั้นเอง เจดีย์ผลึกเริ่มส่องแสงสีทองคำขาวรุนแรงออกมาจนแสบตาทุกผู้คนที่กำลังรับชม
“วิญญาณยุทธ์ระดับแพลทินัม!” หลังจากมือขาวราวหยกนั้นปล่อยออกจากเจดีย์วิญญาณ แสงสว่างสีทองคำขาวนั้นก็พลันหายวับไป
เมื่อได้เห็นวิญญาณยุทธ์หายากระดับแพลทินัม ทุกผู้คนในห้องล้วนตื่นเต้นและคาดหวังว่าพวกเขาจะมีวิญญาณยุทธ์ระดับใกล้เคียงนี้บ้าง
“ได้เวลาเริ่มทำการปลุกวิญญาณยุทธ์ของพวกเจ้าแล้ว!” หยางฉีเย่ว์ถือหนังสือรายชื่อขึ้นพร้อมตะโกนเอ่ยนาม “หวังเสี่ยวกัง!”
เขาจึงได้เห็นชายร่างเตี้ยผ่ายผอมวัยเยาว์คนหนึ่งเดินอย่างมั่นใจทั้งใบหน้าที่เชิดขึ้น
หวังเสี่ยวกังวางมือลงที่ยอดเจดีย์และเอ่ยถาม “แล้วยังไงต่อครับ?”
“หลับตาลงและผ่อนคลายร่างกาย” หยางฉีเย่ว์กล่าว
หวังเสี่ยวกังหลับตาลงทันทีพร้อมผ่อนคลายร่างกาย ไม่ช้า ร่องรอยความรู้สึกเย็นเยือกเริ่มกระจายทั่วร่างกายของเขา
สายลมเย็นเยือกพัดผ่านหน้าต่างขนาดเล็กเหนือเจดีย์ ขณะนี้เอง เจดีย์วิญญาณเริ่มส่องสว่างขึ้น มันปรากฏเป็นแสงสีเงินอ่อนจาง ความเป็นประกายช่างห่างไกลกับของหยางฉีเย่ว์เมื่อครู่มากนัก
“วิญญาณยุทธ์ลมระดับเงิน ไม่เลว!”
หยางฉีเย่ว์พยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจขณะจรดปากกาลงกับสมุด
หลังได้รับท่าทีตอบสนองไม่เลวจากอาจารย์หญิงงาม หวังเสี่ยวกังจึงยินดีกับตนเองไม่น้อยขณะเดินกลับไปนั่งที่
บุคคลถัดมาที่เข้ารับการทดสอบเป็นเด็กสาวในชุดสีแดง นางค่อนข้างน่ารัก ทว่าดวงตานั้นเปี่ยมไปด้วยความทะนง
“ถังฉิงอวี้ เริ่มเลย!” หยางฉีเย่ว์กล่าว
ด้วยความรวดเร็ว ผลลัพธ์ของถังฉิงอวี้ปรากฏ หน้าต่างขนาดเล็กด้านบนเจดีย์ปรากฏเป็นน้ำออกมาพร้อมแสงสว่างสีเงิน
“นี่คือวิญญาณยุทธ์น้ำระดับเงิน ไม่เลว” หยางฉีเย่ว์พยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ
วิญญาณยุทธ์ระดับเงินออกมาถึงสอง หยางฉีเย่ว์นับว่าคัดเลือกนักเรียนได้ดีเลยทีเดียว
หลังจากนักเรียนคนที่สามเดินขึ้นไป ประกายเปลวเพลิงก็ถูกพ่นออกจากหน้าต่างบนยอดเจดีย์
วิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองคำ!
“เยี่ยนจงหมิง วิญญาณยุทธ์ไฟระดับทองคำ! ดีมาก!” หยางฉีเย่ว์ที่เย็นเยือกเผยใบหน้าประดับรอยยิ้มมีเสน่ห์ให้ได้เห็น
เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มรับ เป็นเพราะเขา เยี่ยจงหมิงได้ครอบครองวิญญาณยุทธ์ระดับทองคำ นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในเวลานี้แล้ว
“หลัวฉิงเฮ่า วิญญาณยุทธ์ไฟระดับเงิน!”
“หม่าหงหมิง วิญญาณยุทธ์น้ำแข็งระดับเงิน!”
“...”
การทดสอบนักเรียนหลายสิบคนดำเนินต่อไป พวกเขาส่วนใหญ่จะได้รับระดับเงินและระดับทอง
ระดับแพลทินัมนั้นยังไม่มีแม้สักคน แต่จะว่าก็ไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
“เย่เหว่ยเสวียน? ถึงคราวเธอแล้ว!” หยางฉีเย่ว์ตะโกน ดวงตาของนางเผยร่องรอยของความคาดหวัง
“เย่เหว่ยเสวียน? โอ้ ตระกูลเย่ ได้ยินมาว่าทุกคนจากตระกูลเย่ครอบครองวิญญาณยุทธ์สายฟ้า นับเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ทรงพลังอำนาจยิ่ง สงสัยจริงว่าเขาจะได้ระดับไหนไปครอง?”
“วิญญาณยุทธ์สายฟ้า แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่าทรงพลังมากแน่นอน! วิญญาณยุทธ์ที่พวกเราปลุกขึ้นก่อนหน้ามีแต่ธรรมดาอย่างน้ำแข็ง ลม น้ำ ไฟ และดิน”
กลุ่มนักเรียนเริ่มกระซิบกระซาบกัน
เมื่อได้เห็นทุกคนมองทางตน มุมปากของเย่เหว่ยเสวียนจึงโค้งเล็กน้อย เผยให้เห็นซึ่งรอยยิ้มทะนงตนขณะเดินเข้าหาเจดีย์น้อยที่วางบนแท่น
หลังจากสัมผัสเข้าที่เจดีย์ด้วยมือ เขาได้เห็นสายฟ้าแปลบปลาบพุ่งออกจากหน้าต่างเล็กที่ยอดเจดีย์ และสิ่งที่ชวนตื่นตกใจมากที่สุดคือเจดีย์กำลังส่องแสงสีทองคำออกมา
“วิญญาณยุทธ์สายฟ้าระดับทองคำ!” หยางฉีเย่ว์ทึ่งไม่น้อยก่อนจะกล่าวว่า “สมกับเป็นตระกูลเย่ที่มีชื่อเสียง”
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับอาจารย์ ข้าจะใช้งานวิญญาณยุทธ์นี้เป็นอย่างดี” เย่เหว่ยเสวียนยิ้มรับอย่างภาคภูมิไม่แม้ถ่อมตน
“ฉินหยุน ถึงคราวเจ้าแล้ว!” หยางฉีเย่ว์ตอนนี้หันมองไปทางฉินหยุนและกล่าวเรียก