เทพราชันเก้าตะวัน ตอนที่ 0009
ตอนที่ 9 : สถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
“อาจารย์หยาง... พละกำลังของฉินหยุนนั้นน่าหวั่นเกรงเกินไป เรื่องนี้ไม่ปกติ เขากระทั่งโจมตีอย่างไร้ซึ่งปราณี หากท่านยอมรับปีศาจตนนี้เป็นศิษย์ ต่อให้เป็นท่าน ท่านก็ต้องประสบปัญหาในสักวันแน่ โปรดปล่อยมือจากปีศาจผู้นี้และส่งมันมา ข้าจะกระทำเพียงแค่ทำลายพลังและเส้นวิญญาณของมัน ไม่ได้คิดเอาชีวิตแต่อย่างใด”
ชายชราในชุดแดงนี้มีระดับการฝึกฝนอยู่ที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า ทว่าเขาฝึกฝนในเส้นทางวรยุทธ์เต๋ามากว่าหกสิบถึงเจ็ดสิบปีแล้ว ตรงหน้ากลับเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งทัดเทียมเขาได้
“ข้าจะเป็นคนบอกเองว่าการฝึกฝนของฉินหยุนเป็นวิชาของปีศาจหรือไม่ หากมีผลกระทบใดตามมา ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง!”
หยางฉีเย่ว์ยืนหยัดตรงหน้าฉินหยุน ขณะที่นางรับมือกับข้าราชบริพารชราในชุดแดง นางพลันรู้สึกได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านข้างกายนางจากทางด้านหลังไป
เป็นฉินหยุนที่พุ่งเข้าใส่รุนแรงประหนึ่งพยัคฆ์ตะปบเหยื่อที่เป็นข้าราชบริพารชราในชุดสีแดง เขาถึงขั้นออกแรงตบรุนแรงที่ใบหน้าชรานั้น!
“เฒ่าสารเลว!” ฉินหยุนคำรามกราดเกรี้ยวขณะระเบิดพลังออกจากฝ่ามือด้วยเสียงเสมือนสายฟ้าผ่าลงมาอย่างอึกทึก
ข้าราชบริพารชราในชุดแดงไม่คิดว่าฉินหยุน ผู้ซึ่งเมื่อครู่โดนการโจมตีด้วยพลังปราณของตนเข้าไป กลับยังมีกำลังวังชาน่าหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ ใบหน้านั้นถึงกับถูกเผาไหม้แสบร้อนด้วยความเจ็บปวดเพราะการโจมตีตอบโต้นี้!
เขาคือผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ครอบครองขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่เก้า เป็นผู้อาวุโสที่ได้รับการนับหน้าถือตา แต่แล้วเขากลับโดนตบหน้าฉาดหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าธารกำนัล!
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียหน้า แต่มันยิ่งสะพรึงกว่านั้น พละกำลังการต่อสู้ของเขาถูกขัดอย่างกะทันหัน เป็นผลให้พลังภายในตันเถียนเกิดการปั่นป่วน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดมือและถอยกลับ เหตุนี้เขาจึงโชคดีพอที่จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บนี้ของตนเองได้
ทุกผู้คนล้วนแทบหัวใจหยุดเต้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนับถือความกล้าของฉินหยุน ด้วยสภาพเช่นนั้น เขายังคงมีแรงมากพอจะตบใบหน้าของข้าราชบริพารชราในชุดแดงอย่างไร้ซึ่งความปราณีได้!
ก็เป็นดังที่พูดไป การตบที่ใบหน้าไม่ได้เป็นการบาดเจ็บจริงแต่อย่างใด แต่นี่คือการเหยียดหยามข้าราชบริพารชราในชุดแดงอย่างสาหัส!
ข้าราชบริพารชราหลายคนเร่งรีบโคจรลมปราณเพื่อสะกดอาการบาดเจ็บของข้าราชบริพารชราในชุดแดง ทว่า การโจมตีนี้อดไม่ได้ที่จะต้องกระอักเลือดออกมากองหนึ่งและล้มกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ชัดเจนว่าเขาบาดเจ็บไม่ใช่น้อยแล้ว
“ฉินหยุน เจ้าไม่เป็นไรหรือ?” หยางฉีเย่ว์ร้องออกอย่างแตกตื่น นางไม่คิดว่าฉินหยุนจะยังขยับกายไหว
“ห้าปีก่อน ข้า ฉินหยุนอายุเพียงสิบปี ข้าเป็นเพียงเด็กอ่อนแอผู้หนึ่งที่ไร้ซึ่งพลังใดต่อต้านพวกเจ้า! แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ข้าคือผู้ฝึกตนที่ขอบเขตกายวรยุทธ์ระดับที่สี่ แม้พลังของข้ายังห่างไกลจากปีศาจเฒ่าเลวทรามอย่างพวกเจ้านัก แต่ตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าจะไม่ยอมก้มหัวแก่พวกเจ้า และไม่คิดหลบหนีด้วย!”
น้ำเสียงของฉินหยุนสร้างแรงดึงดูดและเปี่ยมไปด้วยความอหังการจนผู้คนตื่นตระหนก
ข้าราชบริพารเฒ่าเริ่มปรึกษากันเองร่วมกับจักรพรรดินี สีหน้าพวกเขายิ่งมายิ่งน่าเกลียด จักรพรรดินีบีบเค้นสีหน้าอย่างหนักหน่วงก่อนในที่สุดจะปล่อยลมหายใจยาวออกมา ราวกับนางสะกดข่มอดกลั้นเอาไว้
เมื่อครู่ พวกเขาเกือบขัดแย้งกับหยางฉีเย่ว์ หากเรื่องนี้ดำเนินต่อ อาจลุกลามถึงความขัดแย้งที่บานปลายกว่านี้ พวกเขาไม่อาจหาญกล้ายั่วยุสถาบันยุทธ์ฮัวหลิง
ร่างของหยางฉีเย่ว์ยังคงงดงาม ทว่านางนั้นยืนต่อหน้าฉินหยุนประหนึ่งภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ไม่ไหวหวั่น
นางสำรวจมองจักรพรรดินีและคนอื่นก่อนแค่นเสียงกล่าวขึ้น “ฉินหยุนชนะในศึกปะทะกับฉินเทียนอี้ด้วยพละกำลังของเขา”
ฉินหยุนทุบเข้าที่หน้าอกตัวเองก่อนจะโขลกไอออกมาหลายครั้ง เขากล่าวว่า “กระทั่งเด็กอายุสิบปีพวกมันยังกระทำการอย่างโหดเหี้ยม ต่อให้เป็นเรื่องบ้าบอแค่ไหนพวกมันล้วนกล้าลงมือ”
จักรพรรดินีจ้องมองฉินหยุนคิดกินเลือดเนื้อ สายตานั้นเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือกรุนแรง นางกล่าว “ช่างมัน สถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเพียงปกป้องเจ้าได้ชั่วคราว แต่ไม่ใช่กับตลอดชั่วชีวิตของเจ้า! ข้าจะไม่ปล่อยเรื่องที่เจ้าทำอี้เอ๋อพิการไปโดยง่าย!”
ยามเมื่อนางเห็นว่าหยางฉีเย่ว์ออกตัวปกป้องฉินหยุน นางทำได้เพียงพับเรื่องราวนี้เก็บไว้ชำระความคราวหน้า
ไม่ว่าพวกนางจะทรงอำนาจเพียงใด แต่พวกนางไม่มีทางเลือก การคิดหาเรื่องสถาบันยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ มันอาจนำมาซึ่งสงคราม!
“วันนี้ตระกูลผู้ฝึกตนของจักรวรรดิเทียนฉินล้วนรวมตัวกันที่นี่ ข้าขอใช้โอกาสนี้ประกาศเรื่องราวสำคัญหนึ่ง!” ข้าราชบริพารชราผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น
เรื่องสำคัญ? มันเรื่องอะไรกัน?
ขณะที่ทุกคนให้ความสนใจและสงสัยใคร่รู้ พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอ่ยถ้อยคำถัดมา “เมื่อหลายทศวรรษก่อน เทียนเชี่ยวและเทียนฉินได้ลอบตกลงกันถึงเรื่องพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเย่ว์หลานและฉินหยุน ตอนนี้ ประเทศทั้งสองกลับมาพิจารณาเรื่องนี้ก่อนตัดสินว่าควรประกาศยกเลิก!”
“แม้ข้อผูกมัดยกเลิกไปแล้ว ทว่าทุกคนหาได้ต้องกังวลใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองไม่ เพราะจักรวรรดิเทียนเชี่ยวได้ยินยอมให้เจ้าหญิงเย่ว์หลานได้หมั้นหมายเข้าพิธีกับองค์ชายรัชทายาทพระองค์ใหม่ ด้วยเหตุนี้นี่จึงนับเป็นข่าวดีสำหรับประเทศเรา!”
เชี่ยวเย่ว์หลานคือเจ้าหญิงของจักรวรรดิเทียนเชี่ยว ไม่เพียงนางเป็นหญิงงามไร้ผู้ใดทัดเทียม พรสวรรค์วรยุทธ์เต๋าของนางยังน่าทึ่ง นางครอบครองเส้นวิญญาณเจ็ดตะวัน อีกทั้งยังเข้าเรียนที่สถาบันยุทธ์เทียนเสวียนด้วยอายุเพียงสิบหก เรื่องนี้จึงทำให้นามของนางเป็นที่รู้จักแทบจะทั้งโลก
แต่แล้ว สิ่งหนึ่งผู้คนไม่ทราบคือโฉมงามผู้นั้นกลับมีการหมั้นหมายไว้กับฉินหยุน เคราะห์ดีที่ถูกยกเลิกไปแล้ว หากไม่ คงไม่มีผู้ใดยอมรับได้แน่หากเชี่ยวเย่ว์หลานต้องแต่งงานกับคนพิการอย่างฉินหยุน!
ฉินหยุนหาได้กล่าวคำใดไม่ เขาเพียงมองเฉยชาจนทำให้ผู้คนคิดว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้
อันที่จริง เขาทราบนานยิ่งแล้วผ่านทางมหาอุปราชที่ส่งมอบจดหมายเรื่องการหมั้นหมายไว้ในกระเป๋าแก่เขาก่อนนางจากไป
จักรพรรดินีเพียงแค่นเสียงรับคำ “เส้นวิญญาณทั้งสี่ของฉินหยุนถูกแยกออก ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทถูกยึดคืน หากต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงเย่ว์หลาน คงเป็นการเสื่อมเสียเกียรติรุนแรงแก่ทั้งสองจักรวรรดิแล้ว”
สีหน้าของฉินหยุนยังคงสงบ ทว่าความรู้สึกภายในไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
เขายังคงมีความประทับใจต่อเจ้าหญิงเย่ว์หลานจากจักรวรรดิเทียนเชี่ยว เขาเคยพบนางหลายครั้งตอนยังเยาว์ ย้อนไปครั้งนั้น เขาเรียกหานางเป็นน้องสาวผู้หนึ่ง แต่แล้ว จากเรื่องราวที่เขาจดจำได้ เจ้าหญิงเย่ว์หลานทั้งตัวเล็กและอ่อนแอ ตัวตนของนางจึงเป็นที่รัก ทว่าเรื่องราวนี้ก็หลายสิบปีเนิ่นนานมาแล้ว
จักรพรรดินีเพียงยิ้มเย็นขณะกล่าวต่อ “หนึ่งปีให้หลัง เจ้าหญิงเย่ว์หลานจะมาเยือนพระราชวังหลวงของพวกเราเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่ร่วมกับองค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิเทียนฉิน! ฉินหยุน ถึงเวลานั้น หากเจ้ายังมีชีวิตรอด เจ้าสมควรต้องเข้าร่วมงานพิธีด้วย!”
ฉินหยุนเพียงลอบกัดฟันแน่นและกล่าวตอบกลับ “ข้าจะมาเข้าร่วมแน่!”
เขายอมรับการยกเลิกพิธีอภิเษกสมรสได้ เพราะอย่างไรแล้วเขาหาได้มีความรู้สึกใดต่อเชี่ยวเย่ว์หลานไม่
ทว่า หลังสัญญาแต่งงานถูกบอกเลิก เขาไม่อาจยอมรับเรื่องที่เชี่ยวเย่ว์หลานต้องแต่งงานให้แก่บุตรชายของจักรพรรดินีโฉดชั่ว!
เขาในตอนนี้มีพรสวรรค์ถึงเส้นวิญญาณเก้าตะวัน เขาเชื่อมั่นว่าตนจะมีพลังมากพอเข้าขัดขวางในวันพิธีอภิเษกสมรสได้
ตอนนี้ทุกคนต่างลอบคิดถึงเรื่องนี้...
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฉินหยุนถูกทำให้พิการ จักรพรรดินีคือผู้ได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สุด และตอนนี้บุตรของนางซึ่งเป็นองค์ชายรัชทายาทก็ผสานรวมเข้ากับเส้นวิญญาณของฉินหยุน
ถึงตอนนี้ ทุกผู้คนต่างลอบเชื่ออยู่ภายในส่วนลึกแล้ว ว่าเรื่องราวของฉินหยุนและมหาอุปราชครั้งนั้นเป็นการจัดฉากครั้งใหญ่
“พิธีอภิเษกสมรส พวกเราจะเชื้อเชิญเหล่าตระกูลใหญ่ของทั้งสองจักรวรรดิเข้าร่วมเป็นสักขีพยานด้วย!” ข้าราชบริพารเฒ่าประกาศเสียงดังก้อง
ทุกคนต่างมองไปถึงพิธีอภิเษกสมรสในอีกไม่กี่ปีถัดจากนี้แล้ว หากฉินหยุนเข้าร่วม ด้วยนิสัยของเขา เขาจะต้องลงมือกระทำอะไรบางอย่างแน่นอน และถึงวันนั้น พวกเขาก็จะได้เห็นใบหน้าของโฉมงามล่มเมืองอย่างเจ้าหญิงเย่ว์หลานด้วย
หยางฉีเย่ว์เผยดวงตาสั่นไหวขณะคิดเรื่องบางอย่างภายใน นางกระซิบกับฉินหยุน “ข้าจะพาเจ้ากลับสถาบันยุทธ์ฮัวหลิงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ช่วงบ่ายน่าจะถึง ไว้เจ้าตื่นแล้วจะบอกเรื่องการปลุกวิญญาณยุทธ์ให้ฟัง”
นางเลิกทำหน้าที่รับสมัครผู้คน พาร่างฉินหยุนที่บาดเจ็บขึ้นพาหนะโดยสารและออกจากลานกว้างไป การกระทำนี้ชัดเจนว่านางให้ความสำคัญแก่ฉินหยุนมากเพียงใด